1
จากหนังสือ จิต มโน วิญญาณ P1395
สติปัฐฐาน ๔ ความเกิด-ความดับ แห่งกาย เวทนา จิต ธรรม
ความเกิดแห่ง กาย ย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง อาหาร
ความดับแห่งกายย่อมมี เพราะความดับแห่งอาหาร
ความเกิดแห่ง เวทนา ย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง ผัสสะ
ความดับแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ
ความเกิดแห่ง จิต ย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง นามรูป
ความดับแห่งจิตย่อมมี เพราะความดับแห่งนามรูป
ความเกิดแห่ง ธรรม ย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง มนสิการ
ความดับแห่งธรรมย่อมมี เพราะความดับแห่ง มนสิการ
.......................................................................................
2
จาก หนังสือ จิต มโน วิญญาณ หน้า 37 (P1412)
รายละเอียดของสังขารทั้งหลาย (สังขาร 3) 5 นัยยะ
นัยยะที่ ๑
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
-ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร เพราะความเกิดขึ้นแห่งอวิชชา
-ความดับแห่งสังขารย่อมมี เพราะความดับ แห่งอวิชชา
-มรรคมีองค์ ๘ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร
นัยยะที่ ๒
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
-ลมหายใจเข้า และลมหายใจออก จึงเป็นกายสังขาร (มีในกาย เนื่องด้วยกาย)
-วิตกและวิจาร จึงเป็น วจีสังขาร (บุคคลย่อมคิด ก่อนเปล่งวาจา)
-สัญญา และเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร (เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต)
นัยยะที่ ๓
บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ปรุงแต่งวจีสังขาร ปรุงแต่งมโนสังขาร ที่เป็นไปเพื่อ
-ความเบียดเบียน ครั้นปรุงแต่งแล้ว ผัสสะย่อมเสวยทุกข์โดยส่วนเดียว เช่นสัตว์นรก
-ไม่มีความเบียดเบียน ครั้นปรุงแต่งแล้ว ผัสสะย่อมเสวยสุขโดยส่วนเดียว เช่นเทวดา
-เบียดเบียนบ้าง ไม่เบียดเบียนบ้าง ครั้นปรุงแต่งแล้ว ผัสสะ ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เช่นมนุษย์ เทวดาบางพวก วินิบาตบางพวก
นัยยะที่ ๔
ก็สังขารทั้งหลายเป็นอย่างไร หมู่แห่งเจตนา ๖ คือ สัญเจตนาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรม
- ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร เพราะความเกิดขึ้นแห่งผัสสะ
- ความดับแห่งสังขาร เพราะความดับแห่งผัสสะ
- อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งสังขาร
นัยยะที่ ๕
สุขและทุกข์ อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ เกิดขึ้น
-เมื่อกายมีอยู่ สุข และทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางกาย
-เมื่อวาจามีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางวาจา
-เมื่อมโนมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางมโน
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อมปรุงแต่ง กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ด้วยตนเองบ้าง โดยผู้อื่นบ้าง โดยรู้สึกตัวบ้าง โดยไม่รู้สึกตัวบ้าง
เพราะความจางคลายดับไป โดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว กาย วาจา มโน ผืนนา พืช (เพื่อการงอก) อายตนะ อธิกรณ์(เครื่องทำให้งอก) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์จึงไม่มี
.......................................................................................
3
อวิชชา - วิชชา (3 นัยยะ)
นัยยะที่ 1
อวิชชา คือความไม่รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (ไม่รู้อริยสัจสี่)
1.ความไม่รู้ใน ทุกข์
2.ไม่รู้ใน เหตุให้เกิดทุกข์
3.ไม่รู้ใน ความดับแห่งทุกข์
4.ไม่รู้ใน หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์
นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ถึงแล้วซึ่ง อวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
วิชชา ภิกษุผู้ถึงแล้วในวิชชา
วิชชา คือ ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับแห่งทุกข์ ความรู้ในหนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์
นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ถึงแล้วซึ่ง วิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
-----------------------------------------------------------------------------------
นัยยะที่ 2
อวิชชา คือความไม่รู้ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่ามีความเกิดขึ้น และ เสื่อมไป เป็นธรรมดา (ไม่รู้ขันธ์ 5)
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่งรูป ว่ารูป มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา
(กรณีของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ทำนองเดียวกัน)
นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ถึงแล้วซึ่ง อวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ปุถุชนผู้ได้สดับ
ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่งรูป ว่ารูป มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา
(กรณีของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ทำนองเดียวกัน)
นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ถึงแล้วซึ่ง วิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
-----------------------------------------------------------------------------------
นัยยะที่ 3
อวิชชา คือไม่รู้ชัดซึ่งรูป เหตุเกิด เหตุดับ และข้อปฏิบัติ(ไม่รู้จักขันธ์5ในแง่อริยสัจสี่)
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
1.ย่อมไม่รู้ชัดซึ่ง รูป
2.ไม่รู้ชัดซึ่ง เหตุเกิดแห่งรูป
3.ไม่รู้ชัดซึ่ง ความดับแห่งรูป
4.ไม่รู้ชัดซึ่ง ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งรูป
(กรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ตรัสทำนองเดียวกัน)
นี้เราเรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
ปุถุชนผู้ได้สดับ
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เหตุเกิดแห่งรูป ความดับไม่เหลือแห่งรูป และรู้ชัด ซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งรูป
(กรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ตรัสทำนองเดียวกัน)
นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ถึงแล้วซึ่ง วิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
.....................................................................................
4
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้ หน้า 485
หมด อาหาร ก็นิพพาน
ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา
ในอาหาร คือ คำข้าว ก็ดี
ในอาหาร คือ ผัสสะ ก็ดี
ในอาหาร คือ มโน สัญเจตนา ก็ดี
ในอาหาร คือ วิญญาณ ก็ดี แล้วไซร้
วิญญาณก็เป็น สิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในสิ่งนั้นๆ
วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด
การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มี ในที่นั้น
การก้าวลงแห่งนามรูป ไม่มีในที่ใด
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มี ในที่นั้น
ความเจริญ แห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด
การบังเกิดใน ภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มี ในที่นั้น
การบังเกิดใน ภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด
ชาติชราและมรณะต่อไป ย่อมไม่มี ในที่นั้น
ชาติชราและมรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด
เราเรียก “ที่” นั้นว่า เป็น “ที่ไม่โศก ไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้น” ดังนี้
.....................................................................................
5
คำสอนที่ทรงสั่งสอนบ่อยมาก
(ตรัสกับอัคคิเวสนะ หนังสือตามรอยธรรม หน้า 43 )
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน
สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน
..................................................................................
6
พระไตรปิฎก(มหาจุฬา) เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๓๓๕
ความพินาศ ๑๑ อย่างของภิกษุ (พยสนสูตร)
ภิกษุใดก็ตามด่าบริภาษเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ว่าร้ายพระอริยะ เป็นไปได้ ที่ภิกษุนั้นจะถึงความพินาศอย่าง ๑ ใน ๑๑ อย่าง
ความพินาศ ๑๑ อย่าง อะไรบ้าง คือ
๑. ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๒. เสื่อมจากธรรมที่ได้บรรลุแล้ว
๓. สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
๔. เป็นผู้เข้าใจผิดว่าได้บรรลุสัทธรรม
๕. เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
๖. ต้องอาบัติที่เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
๗. บอกคืนสิกขากลับมาเป็นคฤหัสถ์
๘. เป็นโรคร้ายแรง
๙. ถึงความวิกลจริต หรือจิตฟุ้งซ่าน
๑๐. หลงลืมสติมรณภาพ
๑๑. หลังจากมรณภาพแล้วจะไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
...................................................................................
7
หนังสือจิตมโนวิญญาณ หน้า10
วิญญาณดวงแรก เป็นความเกิดของสัตว์
... ภิกษุทั้งหลาย จิต ดวงแรกใดเกิด แล้วในครรภ์ แห่งมารดา วิญญาณ ดวงแรกปรากฏแล้ว อาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกนั้นนั่นแหละ เป็นความเกิดของสัตว์นั้น.
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตร มีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์
....................................................................................
8
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
-บาลีมหา. ที. ๑๐/๗๔/๖๐.
อานนท์
ถ้าหากว่าวิญญาณ ไม่ก้าวลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจะก่อตัวขึ้นมาได้ไหม...ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.
ถ้าหากว่าวิญญาณ ก้าวลงในท้องแห่งมารดาแล้วสลายลงเสีย นามรูปจะบังเกิดขึ้นได้ไหม...ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.
ถ้าหากว่าวิญญาณ ของเด็กอ่อนที่เป็น ชายหรือเป็นหญิงก็ตาม ขาดความสืบต่อ นามรูปจะถึงซึ่งความเจริญความงอกงามความไพบูลย์ ได้ไหม...ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า
...นั่นแหละคือเหตุ นั่นแหละคือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย นั่นแหละคือปัจจัย ของนามรูป นั้นคือวิญญาณ
....................................................................................
9
วิญญาณย่อมเวียนกลับมา ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลย
ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
เมื่อวิญญาณนั่นแหละมีอยู่ นามรูป จึงมี
เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
เมื่อนามรูปนั่นแหละมีอยู่ วิญญาณ จึงมี
เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
ภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิญญาณนี้ย่อมเวียนกลับมา ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลยด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง
..................................................................................
10
คัดย่อ จากหนังสือ จิต มโน วิญญาณ
วิญญาณย่อมตั้งอยู่งอกงาม ในที่มีอาหารหล่อเลี้ยง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน กวฬีการาหาร ในผัสสาหาร ในมโนสัญเจตนาหาร และในวิญญาณาหาร ไซร์
วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น (ในอาหาร ๔)
ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้นย่อมมีการหยั่งลงแห่ง นามรูป
ในที่ใด มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมมีความเจริญแห่ง สังขารทั้งหลาย
ในที่ใด มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อมมีการเกิดใน ภพใหม่ ต่อไป
ในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้นย่อมมี ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป
ในที่ใด มีชาติ ชรา มรณะ ต่อไป เราเรียกที่นั้นว่ามี ความโศก มีธุลี (คือราคะ) มีความคับแค้น
.................................................................................
11
เห็นจิตในจิต (นัยสติปัฏฐานสูตร)
-บาลีมู. ม. ๑๒/๑๑๐/๑๔๐.
จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากโมหะ
จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่าจิตฟุ้งซ่าน
ฯลฯ.....
เห็นจิตในจิต (นัยอานาปานสติสูตร)
-บาลีมหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๔/๑๔๐๓
ภิกษุย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
เรา เป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า ว่าเราเป็นผู้รู้พร้อม
เฉพาะซึ่งจิต หายใจออก
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า ว่าเราเป็นผู้ทำจิต
ให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก
เรา เป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้า ว่าเราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่น หายใจออก
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า ว่าเราเป็นผู้ทำจิต
ให้ปล่อยอยู่ หายใจออก
สมัยนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่า เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้
...............................................................................
12
จิตหลุดพ้น 3 นัยยะ
-บาลีขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๓/๑๐๓.
จิตหลุดพ้น (นัยที่ ๑) เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแหละว่าไม่เที่ยง
ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง
ย่อมเบื่อหน่าย เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไป
แห่งราคะ เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ กล่าวได้ว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
(กรณีของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ทำนองเดียวกับรูป)
จิตหลุดพ้น (นัยที่ ๒)
เห็นความไม่เที่ยงของ อายตนะภายใน ๖
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั่นแหละ
ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเห็นอยู่
โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ
จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมี
ความสิ้นไปแห่งนันทิ เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและ
ราคะ กล่าวได้ว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
(กรณีของ โสต ฆานะ ชิวหา กาย มนะ.... ก็ทำนองเดียวกับจักษุ)
จิตหลุดพ้น (นัยที่ ๓)
เห็นความไม่เที่ยงของ อายตนะภายนอก ๖
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแหละว่า
ไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเห็นอยู่
โดยถูกต้อง ย่อมเบื่อหน่าย เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ
จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมี
ความสิ้นไปแห่งนันทิ เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ
กล่าวได้ว่า จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี
(กรณีของ เสียง กลิ่น รส โผฏทัพพะ ธรรมารมรณ์ ก็ทำนองเดียวกับรูป)
...............................................................................
13
วิญญาณฐิติ ๔ อย่าง (ที่ตั้งของวิญญาณ)
ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณฐิติ ๔ อย่าง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) พึงเห็นว่า เหมือนกับดิน
นันทิราคะ (ความกำหนัดด้วยอำนาจแห่งความเพลิน) พึงเห็นว่าเหมือนกับนํ้า
วิญญาณ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัย พึงเห็นว่าเหมือนกับพืชสดทั้ง ๕ นั้น
ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณซึ่งเข้าถือเอารูปตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ได้.
วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์...
วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสัญญาตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์..
วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสังขารตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์..
ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติซึ่ง
การมา-การไป
การจุติ(การตาย) การอุบัติ(การเกิด)
ความเจริญความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจาก สังขาร ดังนี้นั้น นี่ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เลย
...............................................................................
14
การเข้าไปหา เป็นความไม่หลุดพ้น
การไม่เข้าไปหา เป็นความหลุดพ้น
-บาลีขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.
การเข้าไปหา ซึ่ง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ ๕)
ถ้าราคะ
ในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ
เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายละได้แล้ว
เพราะละราคะนั้นได้
อารมณ์สำหรับวิญญาณย่อมขาดลง
ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้น ก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
เพราะหลุดพ้นไป ก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเอง ก็ไม่หวั่นไหว เมื่อไม่หวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตนนั่นเทียว
เธอย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีอีก
...............................................................................
15
ผู้ใดติเตียนพระอริยะ ย่อมเข้าถึงนรก
(ย่อเรื่อง โกกาลิกสูตร ฉบับหลวงเล่ม ๒๔ หน้า ๑๔๗ P487)
ภิกษุโกกาลิกะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคฯ ได้กราบทูลว่า "พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก" (อันเนื่องมาจากชักชวนภิกษุบวชใหม่ชาวเมืองเวสาลี 500 รูป ที่ศรัทธาพระเทวทัต ให้กลับมาศรัทธาพระพุทธเจ้า)
พระผู้มีพระภาคกล่าวเตือนพระโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธอจงยังจิตให้เสื่อมใสใน สารีบุตร และโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตร และโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก แม้ครั้งที่ 2..แม้ครั้งที่ 3.. (ทรงห้ามแต่ไม่ฟัง)
เมื่อโกกาลิกะภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ร่างกายมีตุ่มขึ้นตามตัวแตกเป็นหนอง มีเลือดไหลออก ครั้งนั้นท้าวสหัมบดีพรหมเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า โกกาลิกะภิกษุ กระทำกาละแล้ว เกิดในปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ (พรหมเฝ้าสังเกตุมาแต่แรก และรู้ทางไปของโกกาลิกะ หลังกายแตก)
ประมาณอายุในปทุมนรกนานเท่าไรหนอ
พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า
๒๐ อัพพุทะในนรกจึงเป็น ๑ นิรัพพุทะ
๒๐ นิรัพพุทะเป็น ๑ อพัพพะ
๒๐ อพัพพะเป็น ๑ อหหะ
๒๐ อหหะเป็น ๑ อฏฏะ
๒๐ อฏฏะ เป็น ๑ กุมุทะ
๒๐ กุมุทะเป็น ๑ โสคันธิกะ
๒๐ โสคันธิกะเป็น ๑ อุปปละ
๒๐ อุปปละเป็น ๑ ปุณฑรีกะ
๒๐ ปุณฑรีกะเป็น ๑ ปทุมะ
...............................................................................
16
ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา
-บาลีขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๒/๑๒๗
หากว่า รูป จักเป็นอัตตา(มีตัวตน)แล้วไซร้ รูป ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ (เสื่อมไป)
แต่เพราะรูปเป็นอนัตตา(ไม่ใช่อัตตา ไม่มีตัวตน) รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
หากว่า เวทนา จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ เวทนา ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
แต่เพราะเวทนาเป็นอนัตตา เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
หากว่า สัญญา จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ สัญญา ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
แต่เพราะสัญญาเป็นอนัตตา สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
หากว่า สังขาร จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ สังขาร ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
แต่เพราะสังขารเป็นอนัตตา สังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
หากว่า วิญญาณ จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ วิญญาณ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
แต่เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
(ความคิดว่ามีตัวตนจึงเข้าใจผิด เพราะธรรมธาตุในระบบสังขตเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ที่เราเห็นว่าเป็นตัวตนนั้น เป็นของปรุงแต่งหรือ "สังขาร" ทั้งสิ้น ปรุงแต่งรูป ปรุงแต่งเสียง ปรุงแต่งกลิ่น...)
.............................................................................
17
ความเพลินใด ความเพลินนั้นคืออุปาทาน เมื่อมีอุปาทานจึงมีภพ
-บาลีขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๗.
บุคคลบางคนย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมสยบมัวเมาอยู่ ซึ่งรูป
เมื่อเขาเพลิดเพลิน พรำถึง สยบมัวเมาอยู่ซึ่งรูป ความเพลินก็เกิดขึ้น
ความเพลินใดในรูป ความเพลิน นั้นเป็น อุปาทาน เพราะอุปาทานของเขานั้น
เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ....
บุคคลบางคนย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมสยบมัวเมาอยู่ ซึ่งเวทนา
เมื่อเขาเพลิดเพลิน พรำถึง สยบมัวเมาอยู่ซึ่งเวทนา ความเพลินก็เกิดขึ้น
ความเพลินใดในเวทนา ความเพลิน นั้นเป็น อุปาทาน
เพราะอุปาทานของเขานั้น
เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ....
บุคคลบางคนย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมสยบมัวเมาอยู่ ซึ่งสัญญา
เมื่อเขาเพลิดเพลิน พรำถึง สยบมัวเมาอยู่ซึ่งสัญญา ความเพลินก็เกิดขึ้น
ความเพลินใดในสัญญา ความเพลิน นั้นเป็น อุปาทาน
เพราะอุปาทานของเขานั้น
เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ....
บุคคลบางคนย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมสยบมัวเมาอยู่ ซึ่งสังขาร
เมื่อเขาเพลิดเพลิน พรำถึง สยบมัวเมาอยู่ซึ่งสังขาร ความเพลินก็เกิดขึ้น
ความเพลินใดในสังขาร ความเพลิน นั้นเป็น อุปาทาน
เพราะอุปาทานของเขานั้น
เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ....
บุคคลบางคนย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมสยบมัวเมาอยู่ ซึ่งวิญญาณ
เมื่อเขาเพลิดเพลิน พรำถึง สยบมัวเมาอยู่ซึ่งวิญญาณ ความเพลินก็เกิดขึ้น
ความเพลินใดในวิญญาณ ความเพลิน นั้นเป็น อุปาทาน
เพราะอุปาทานของเขานั้น
เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ
ทุกขะโทมนัส อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน ความเกิดขึ้น
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
.................................................................................
18
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 17
ผู้มีอุปาทานย่อมไม่ปรินิพพาน ผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน
(ตรัสกับเทวดา)
รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยจักษุ มีอยู่ เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยแห่ง ความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความ กำหนัด
ถ้าเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ซึ่งรูปนั้น แล้วไซร้ วิญญาณนั้น อันตัณหา ในอารมณ์ คือรูปอาศัยแล้ว ย่อมมีแก่เธอนั้น วิญญาณ นั้น คืออุปาทาน
ถ้าไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ซึ่งรูปนั้นแล้วไซร้ วิญญาณนั้น อันตัณหาในอารมณ์คือรูปอาศัยแล้ว ย่อมไม่มีแก่เธอนั้น วิญญาณ ที่จะเป็นอุปาทาน ย่อมไม่มี
ดูกรจอมเทวดา ผู้มีอุปาทานย่อมไม่ปรินิพพาน ผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน
(กรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ตรัสทำนองเดียวกับรูป)
................................................................................
19
มหาภูต ๔ และอุปาทายรูป ตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามรูป ย่อมดับไม่เหลือในที่ไหน
(ปัญหาของเกวัฏฏ์ -เกวัฏฏสูตร ฉบับหลวง เล่มที่ ๙ สุตตันตปิฎก หน้า ๓๒๖ P484 )
เกวัฏฏ์ ถามพระพุทธเจ้า
1. มหาภูต ๔ (ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาต) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในที่ไหน
2. อุปาทายรูป ที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในที่ไหน
3. นามและรูป ย่อมดับไม่มีเหลือ ในที่ไหน
(อุปาทายรูป คือรูปที่อาศัย หรือความยึดมั่นในรูป ก็คือตัวเรานี้)
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
1. มหาภูต ๔ (ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาต) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในธรรมชาตินี้
2. อุปาทายรูป ที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในธรรมชาตินี้
3. นามและรูป ย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้น ย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้
คำตอบ ธรรมชาตินี้คือ
ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
(ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือนิพพาน)
..............................................................................
20
สักกัจจสูตร ความปริวิตกของพระสารีบุตร
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๙๕
(พระสูตรเต็ม P1367 )
1.ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา จักเคารพในธรรม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
-ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ชื่อว่าไม่เคารพในธรรมด้วย
2.ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม จักเคารพในสงฆ์ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ..
-ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ชื่อว่าไม่เคารพในสงฆ์ด้วย
3.ภุิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ จักเคารพในสิกขา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ..
-ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ชื่อว่าไม่เคารพ ในสิกขาด้วย
4.ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ไม่เคารพในสิกขา จักเคารพในสมาธิ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ..
-ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ไม่เคารพในสิกขา ชื่อว่าไม่เคารพในสมาธิด้วย
5.ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ไม่เคารพในสิกขา ไม่เคารพในสมาธิ จักเคารพในความไม่ประมาท ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ..
-ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดาในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ไม่เคารพในสิกขา ไม่เคารพในสมาธิ ชื่อว่าไม่เคารพในความไม่ประมาทด้วย
6.ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ไม่เคารพในสิกขา ไม่เคารพในสมาธิ ไม่เคารพในความไม่ประมาท จักเคารพในปฏิสันถาร ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ..
-ภิกษุไม่เคารพในพระศาสดา ไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในสงฆ์ ไม่เคารพในสิกขา ไม่เคารพในสมาธิ ในความไม่ประมาท ชื่อว่าไม่เคารพในปฏิสันถารด้วย
...............................................................................
21
พิธีปลงบาปแบบอริยสาวกของพระพุทธเจ้า
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๒๒๔
(ชานุสโสณีวรรคที่ ๒ พระสูตรเต็ม P1411)
(๑) ย่อมละปาณาติบาต ย่อมปลงบาปจากปาณาติบาต (ละการฆ่าสัตว์)
(๒) ย่อมละอทินนาทาน ย่อมปลงบาปจากอทินนาทาน (ละการลักโขมย)
(๓) ย่อมละกาเมสุมิจฉาจาร ย่อมปลงบาปจากกาเมสุมิจฉาจาร (ละประพฤติผิดในกาม)
(๔) ย่อมละมุสาวาท ย่อมปลงบาปจากมุสาวาท (ละการพูดเท็จ)
(๕) ย่อมละปิสุณาวาจา ย่อมปลงบาปจากปิสุณาวาจา (ละพูดส่อเสียด)
(๖) ย่อมละผรุสวาจา ย่อมปลงบาปจากผรุสวาจา (ละพูดหยาบคาย)
(๗) ย่อมละสัมผัปปลาปวาจา ย่อมปลงบาปจากสัมผัปปลาปวาจา (ละพูดเพ้อเจ้อ)
(๘) ย่อมละอภิชฌา ย่อมปลงบาปจากอภิชฌา (ละความโลภ)
(๙) ย่อมละพยาบาท ย่อมปลงบาปจากพยาบาท (ละพยาบาท)
(๑๐) ย่อมละมิจฉาทิฐิ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาทิฐิ (ละความเห็นผิด)
...............................................................................
22
เจริญเมตตาจิตมีผลมากกว่าให้ทาน
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐๘/๖๖๗.
ภิกษุทั้งหลาย !
ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเช้า
ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเที่ยง
ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเย็น
ผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเช้าโดยที่สุด
แม้เพียงชั่วการหยดน้ำนมแห่งแม่โค หรือ
ผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเที่ยงโดยที่สุด
แม้เพียงชั่วการหยดน้ำนมแห่งแม่โค
หรือผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเย็นโดยที่สุด
แม้เพียงชั่วการหยดน้ำนมแห่งแม่โค
การเจริญเมตตาจิตนี้มีผลมากกว่าทานที่บุคคลให้แล้ว ๓ ครั้งในวันหนึ่ง นั้น
เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเจริญ เมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดุจยานที่เทียมดีแล้ว กระทำให้เป็นของ ที่อาศัยได้ กระทำให้มั่นคง ประพฤติสั่งสมเนืองๆ ปรารภสม่ำเสมอด้วยดี.
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
...............................................................................
23
อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้พระพุทธเจ้าต้องออกผนวช
(มหาปทานสูตร ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑-๕๙)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ผู้เสด็จหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า โลกนี้ถึงความยาก ย่อมเกิด แก่ ตาย และเวียนตาย เวียนเกิด เออก็แหละบุคคลไม่รู้ชัดถึงอุบายเครื่องพ้นทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ การพ้นทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ จักปรากฏได้เมื่อไรเล่า
...............................................................................
24
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓๐-๓๓๙
รักษาศีล/ทุศีล เมื่อตายไป ขึ้นสวรรค์ก็มี ตกนรกก็มี
(มหากัมมวิภังคสูตร บุคคล ๔ จำพวก)
(พระสูตรเต็ม P287)
บุคคล ๔ จำพวก
(1) คนรักษาศีล แต่ประพฤติ อกุศลกรรมบถ 10 เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย-นรก ก็มี
(2) คนรักษาศีล แต่ประพฤติ อกุศลกรรมบถ 10 เมื่อตายไป เข้าถึงโลกสวรรค์ ก็มี
(3) คนรักษาศีล แต่ประพฤติ กุศลกรรมบถ 10 เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย-นรก ก็มี
(4) คนรักษาศีล แต่ประพฤติ กุศลกรรมบถ 10 เมื่อตายไป เข้าถึงโลกสวรรค์ ก็มี
(โดยสรุป การรักษาศีล หรือประพฤติในกุศลกรรมบถ10 ก็มีสิทธิ์ไปสวรรค์หรือไปนรก
เช่นเดียวกับพวกที่ไม่รักษาศีล หรือทำผิดในกุศลกรรมบถ10 ดังนั้นถ้าต้องการให้รอด
จากอบายนรก ต้องมีคุณสมบัติมากกว่านี้ เช่นการทำสมาธิเห็นการเกิดดับ, รู้ปฏิจจ ,
ละสังโยชน์3, รู้คุณ-โทษของอุปาทานขันธ์, รู้อินทรีย์ 6, เป็นสัทธา-ธัมมนุสารี ฯลฯ) |
[๖๐๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรอานนท์ บุคคล ๔ จำพวก
นี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเหล่าไหน คือ
(๑) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง มักถือเอา
สิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ มักประพฤติผิดในกาม มักพูดเท็จ มักพูดส่อเสียด
มักพูดคำหยาบ มักเจรจาเพ้อเจ้อ มากด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด
อยู่ในโลกนี้ เขาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็มี ฯ
(๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง มักถือเอา
สิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ มักประพฤติผิดในกาม มักพูดเท็จ มักพูดส่อเสียด
มักพูดคำหยาบ มักเจรจาเพ้อเจ้อ มากด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็น
ผิดอยู่ในโลกนี้ เขาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ก็มี
(๓) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก
อทินนาทาน เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากพูด
ส่อเสียด เว้นขาดจากพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการเจรจาเพ้อเจ้อ ไม่มากด้วย
อภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบอยู่ในโลกนี้ เขาตายไปแล้ว ย่อม
เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็มี
(๔) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก
อทินนาทาน เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากพูด
ส่อเสียด เว้นขาดจากพูดคำหยาบ เว้นขาดจากการเจรจาเพ้อเจ้อ ไม่มากด้วย
อภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบอยู่ในโลกนี้ เขาตายไปแล้ว ย่อมเข้า
ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็มีฯ (รักษาศีลแต่ไปนรกก็มี)
อกุศลกรรมบถ๑๐
อกุศลทางกาย
1. เป็นผู้ฆ่าสัตว์
2. เป็นผู้ลักทรัพย์
3. เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม
อกุศลทางวาจา
4. เป็นผู้พูดเท็จ
5. เป็นผู้พูดส่อเสียด
6. เป็นผู้พูดคำหยาบ
7. เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ
อกุศลทางใจ
8. เป็นผู้อยากได้ของผู้อื่น(โลภ)
9. เป็นผู้มีจิตคิดปองร้าย (พยาบาท)
10. เป็นผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) |
...............................................................................
25
ภิกษุแอบฟังพระพุทธเจ้าสวดสาธยายปฏิจจในที่หลีกเร้น
สมัยนั้น ภิกษุองค์หนึ่ง ได้ยืนแอบฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทอดพระเนตร เห็นภิกษุผู้ยืนแอบฟังนั้นแล้ว ได้ทรงกล่าวกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เธอได้ยิน ธรรมปริยาย* นี้ แล้วมิใช่หรือ?
ได้ยินแล้วพระเจ้าข้า
ดูก่อนภิกษุ เธอจงรับเอาธรรมปริยายนี้ไป
ดูก่อนภิกษุ เธอจงเล่าเรียนธรรมปริยายนี้
ดูก่อนภิกษุ เธอจงทรงไว้ซึ่งธรรมปริยายนี้
ดูก่อนภิกษุ ธรรมปริยายนี้ ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ดังนี้ แล.
*ธรรมปริยายนี้คือปฏิจจฯ สายเกิดและสายดับ (อ่านพระสูตรเต็ม)
...............................................................................
26
วักกลิสูตร ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๕ (อ่านพระสูตรเต็ม)
วักกลิต้องการเห็นพระพุทธเจ้า
จำเดิมแต่กาลนานมาแล้ว ข้าพระองค์ประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แต่ว่า ร่างกาย ของข้าพระองค์ ไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคได้.
พ. อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร?
ดูกรวักกลิ
ผู้ใดแลเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม
วักกลิ เป็นความจริงบุคคลเห็นธรรมก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม
...............................................................................
27
พระไตรปิฎกไทย มี 45 เล่ม (ภาษาไทยฉบับหลวง)
(ที่มา https://84000.org)
พระวินัยปิฎก เล่ม 1- 8 (รวม 8 เล่ม)
พระสุตตันปิฎก เล่ม 9 - 33 (รวม 25 เล่ม)
พระวินัยปิฎก เล่ม 33- 45 (รวม 22 เล่ม)
รวม 45 เล่ม
ฉบับอื่น
ภาษาบาลี (อักษรไทย) 45 เล่ม
มหาจุฬาฯ 45 เล่ม (อ้างอิง)
มหามกุฎฯ 25 เล่ม (อ้างอิง)
...............................................................................
28
(ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 129)
นันทิดับเมื่อใด ปฏิจจสมุปบาทดับเมื่อนั้น
ก็ความดับแห่งรูป...แห่งเวทนา...แห่งสัญญา... แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมไม่เพลิดเพลิน
ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ
ย่อมไม่เมาหมกอยู่
ซึ่งรูป (ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา...) เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งรูป (ซึ่งเวทนา..) นันทิ (ความเพลิน)ใดในรูป นันทินั้นย่อมดับไป
เพราะความดับแห่งนันทิของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ
ทุกขะ-โทมนัสอุปายาส ทั้งหลายจึงดับสิ้น
ความดับลงแห่งกอง ทุกข์ทั้งสิ้นนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
...............................................................................
29
หนังสือโสดาบัน หน้า177
ธรรมที่ไม่ควรกระทำไว้ในใจ และ ธรรมที่ควรกระทำไว้ในใจ
ธรรมที่ไม่ควรกระทำไว้ในใจ
กามาสวะ(กาม) ภวาสวะ(ภพ) หรือ อวิชชาสวะ(อวิชชา) ที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น
หรือ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญ ยิ่งขึ้น ธรรมเหล่านี้แล เป็นธรรมที่ไม่ควรกระทำไว้ในใจ
ธรรมที่ควรกระทำไว้ในใจ
ทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้
ทางดำเนินให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์เป็น อย่างนี้ (พิจารณาอริยสัจสี่)
เมื่ออริยสาวกนี้ กระทำไว้ในใจโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์สาม
คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ย่อมละไป
อาสวะ ๓ กามาสวะ (พอใจ ติดใจในกาม) ภวาสวะ (พอใจ ติดใจ ในภพ) อวิชชาสวะ (ไม่รู้ธรรมชาติตามที่เป็นจริง-อริยสัจสี่)
...............................................................................
30
เลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์
สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใส อันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระพุทธเจ้า ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
1. เป็นผู้ไกลจากกิเลส
2. ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
3. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งวิชชา
4. เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
5. เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
6. เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
7. เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
8. เป็นผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม
9. เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใส อันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในองค์พระธรรม ว่าพระธรรม
1. เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
2. เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
3. เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
4. เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด
5. เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
6. เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใส อันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
1. เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
3. เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
4. เป็นผู้ปฏิบัติให้รู้ธรรม เครื่องออกจากทุกข์แล้ว
5. เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษสี่คู่นับเรียงตัวได้ แปดบุรุษ
นี้คือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
1. เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะ ที่เขานำมา บูชา
2. เป็นสงฆ์ควรแก่ สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
3. เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน
4. เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี
5. เป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญ ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๙-๔๓๐/๑๔๑๔-๑๔๑๕.
...............................................................................
31
(อภิสมยวรรคที่ ๑๐ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓๐ )
อ่านพระสูตรเต็ม P704
ทุกข์ที่เหลือของอริยะสาวก
1.ทุกข์ที่เหลือ เท่ากับเศษดินปลายเล็บ..เทียบดินในมหาปฐพี
2.ทุกข์ที่เหลือ เท่ากับน้ำที่วิดขึ้นด้วยปลายหญ้าคา..เทียบกับน้ำที่สระโบกขรณี
3.ทุกข์ที่เหลือ เท่ากับน้ำสองสามหยาด..เทียบกับแม่น้ำใหญ่ไหลมาบรรจบกัน
4.ทุกข์ที่เหลือ เหมือนน้ำเพียงสองสามหยาด..เทียบกับเหมือนแม่น้ำใหญ่ที่แห้งไป
5.ทุกข์ที่เหลือ เท่าเมล็ดลูกกระเบา 7 ก้อน..เทียบกับแผ่นดินใหญ่
6.ทุกข์ที่เหลือ หินเท่าเม็ดกระเบา 7 ก้อน..เทียบกับแผ่นดินที่สิ้นไป
7.ทุกข์ที่เหลือ เท่าน้ำเพียงสองสามหยาด..เทียบกับน้ำในมหาสมุทร
8.ทุกข์ที่เหลือ เหมือนน้ำเพียงสองสามหยาด..เทียบกับน้ำในมหาสมุทรที่หมดไป
9.ทุกข์ที่เหลือ เหมือนหินเท่าเม็ดผักกาด 7 ก้อน..เทียบกับขุนเขาหิมมวันต์
10.ทุกข์ที่เหลือ เหมือนหินเม็ดผักกาด 7 เม็ด..เทียบกับขุนเขาหิมวันต์ที่หมดสิ้นไป
11.ทุกข์ที่เหลือ เหมือนเม็ดถั่วเขียว 7 เม็ด..เทียบกับเขาสิเนรุ
............................................................................
32
(หนังสือโสดาบัน ข้อ ๓๔ หน้า 137 )
จิตของผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ
1.จงเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ในสิ่งที่ เป็นปฏิกูล
2.จงเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล ในสิ่งที่ ไม่เป็นปฏิกูล
3.จงเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูล และไม่เป็นปฏิกูล
4.จงเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูล และสิ่งที่เป็นปฏิกูล
5.จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล และไม่ปฏิกูล โดยอยู่อย่างอุเบกขา มีสติ
(เมื่อผัสสะกระทบ ให้มองทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล ทำจิตให้เป็นกลาง ไม่ให้รู้สึกพอใจ หรือไม่พอใจทั้งสองกรณี นี่คือจิตของผู้มีอินทรีย์อันเจริญแล้ว ในขั้นอริยะ)
อานนท์ ! ผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้วในขั้นอริยะเป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ในกรณีนี้
ความพอใจ ความไม่พอใจ ความพอใจและ ไม่พอใจเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะเห็นรูปด้วยตา...
ฟังเสียงด้วยหู... ดมกลิ่นด้วย จมูก... ลิ้มรสด้วยลิ้น...ถูกต้องสัมผัสด้วยผิวกาย... รู้แจ้งธรรมารมณ์ ด้วยใจ.
1.ภิกษุนั้น
ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ในสิ่งที่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูลในสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้
2.ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล ในสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูลนั้นได้
3.ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูล และไม่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่ง ที่เป็นปฏิกูล และไม่เป็นปฏิกูลนั้นได้
4.ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูล และสิ่งที่เป็นปฏิกูล ดังนี้เธอก็อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่า ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ ไม่เป็นปฏิกูล และสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้
5.ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างเว้นขาด จากความรู้สึกว่า ปฏิกูล และไม่
ปฏิกูล ทั้งสองอย่างเสียแล้ว อยู่อย่างผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ดังนี้ เธอก็อยู่ อย่าง ผู้อุเบกขามีสติสัมปชัญญะ ในสิ่ง เป็นปฏิกูล และไม่เป็นปฏิกูล ทั้งสอง อย่างนั้นได้
อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่าผู้มีอินทรีย์อันเจริญแล้วในขั้นอริยะ
...............................................................................
33
ธรรมที่ควรกระทำไว้ในใจ และไม่ควรกระทำไว้ในใจ
ธรรมไม่ควรกระทำไว้ในใจ (ละได้ด้วยการเห็น)
กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น หรือ ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญ ยิ่งขึ้น ธรรมเหล่านี้แล เป็นธรรมที่ไม่ควรกระทำไว้ในใจ ซึ่งอริยสาวกท่าน ไม่กระทำไว้ในใจ
ธรรมที่ควรกระทำไว้ในใจ (ใคร่ครวญ่อริยสัจสี่ - สังโยชน์ ๓ จะละไป)
อริยสาวกนั้น ย่อมกระทำไว้ในใจโดยแยบคายว่า
ทุกข์ เป็นอย่างนี้
เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้
ทางดำเนิน ให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์เป็น อย่างนี้
เมื่ออริยสาวกนี้ กระทำไว้ในใจโดยแยบคายอยู่อย่างนี้ สังโยชน์สาม คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ย่อมละไป
...............................................................................
34
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๒๑๖ (P1393)
โคตมีสูตร (นางปชาบดีโคตมีขอบวช)
(ตรัสว่าภิกษุณีสามารถบรรลุธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้)
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต ให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ผิฉะนั้นเราพึงทูลขอพระผู้มี พระภาคให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว โดยปริยายแม้อื่น
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มาตุคาม(สตรี)ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคต ทรงประกาศแล้ว ควรจะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ได้หรือไม่ พระเจ้าข้าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์ มาตุคามออกบวช เป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว ควรทำให้แจ้งแม้ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผลได้
หมายเหตุ :
สมัยพุทธกาล ไม่มีมาตุคาม(สตรี)หรือภิกษุณี สามารถบรรลุธรรมจนสำเร็จเป็นอรหันต์ได้
แม้ นางปชาบดีโคตรมี ที่พระศาสดาตรัสชมว่าเป็นเอตทักคผู้รู้ราตรีนาน (โคตมีสูตร)
หรือ พระเขมาภิกษุณี ภิกษุณีผู้มีปัญญามาก (เขมาเถรีสูตร)
หรือ พระธรรมทินนา เอตทัคคะผู้เป็นธรรมกถึก (จูฬเวทัลลสูตร) ก็ตาม
(พระศาสดายืนยันว่าการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม้ได้จำกัดเพียงบุรุษหรือภิกษุแต่เพียง เท่านั้น แม้มาตุคาม/ภิกษุณี ก็สามารถบรรลุได้เช่นกัน แต่สมัยที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพ
นั้น ไม่มีใครได้คุณสมบัตินี้ แม้แต่คนเดียว)
...............................................................................
35
วสลสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๖๙
คนถ่อย คนต่ำช้า เป็นไฉน
๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฐิวิบัติ และมีมายา
๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์
๓. คนเบียดเบียนเที่ยวปล้น มีชื่อเสียงว่าฆ่าชาวบ้านและชาวนิคม
๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ในบ้านหรือในป่า
๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนีไปเสีย
๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ
๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ
๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกินในภริยาของญาติ ของเพื่อน ด้วยข่มขืนหรือร่วมรักกัน
๙. คนผู้สามารถแต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่า
๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย แม่ผัวหรือพ่อผัว
๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดกลบเกลื่อนเสีย
๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่า ใครอย่าพึงรู้เราปกปิดไว้
๑๓. คนบริโภคโภชนะเมื่อไปสู่สกุลอื่น แต่ไม่ตอบแทนเมื่อเขามาสู่สกุลของตน
๑๔. คนผู้ลวงสมณะพราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วยมุสาวาท
๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะ หรือพราหมณ์ และไม่ให้โภชนะ
๑๖. คนผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนาของเล็กน้อย พูดอวดสิ่งที่ไม่มี
๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะของตน
๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง ปรารถนาลามก ตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว
๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต หรือคฤหัสถ์สาวกของพระพุทธเจ้า
๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นคนถ่อยต่ำช้า
...............................................................................
36
(ปฐมปัณณาสก์ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๕๖-๖๐) P1343
สังโยชน์ในภายใน สังโยชน์ในภายนอก
บุคคลที่ มีสังโยชน์ในภายใน เป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
1) เป็นผู้มีศีล
2) สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร
3) ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร
4) มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
5) สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลาย
เมื่อแตกกายตายไป ภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใด หมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพ นั้นแล้ว เป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน เป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
(มนุษย์มีศีล..ตายไปเข้าถึงสวรรค์ชั้นกามภพ ..ตายจากสวรรค์.. ยังจะกลับมาสู่สังสารวัฏ คือโสดาบัน กับสกทาคามี)
บุคคลผู้ มีสังโยชน์ ในภายนอก เป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
1) เป็นผู้มีศีล
2) สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร
3) ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร
4) มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
5) สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลาย
ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบ อย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อแตกกายตายไป(สมัยเป็นมนุษยฺ์) ย่อมเข้าถึงหมู่ เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจาก อัตภาพนั้นแล้ว เป็น อนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า บุคคลผู้มี สังโยชน์ในภายนอก เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ... ภิกษุประเภทนี้คือ ผู้ปฏิบัติเพื่อความ หน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อความ หน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหาเพื่อสิ้นความโลภ
(มนุษย์มีศีล..ตายไปเข้าถึงสวรรค์ ชั้นอรูป ..ตายจากสวรรค์.. จะปรินิพพาน นี่คือคุณสมบัติของ อนาคามี )
...............................................................................
37
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๒-๗๓
ว่าด้วยการถูกมารผูกมัดเพราะถือมั่น (อุปาทิยสูตร)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานพระวโรกาส แสดง พระธรรมเทศนาโดยสังเขปแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้ว เป็นผู้ๆเดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจมั่นคงอยู่เถิด
พ. เมื่อบุคคลยังยึดมั่นก็ต้องถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่ยึดมั่นจึงหลุดพ้นจากมาร
ภิกษุ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทราบแล้ว
ดูกรภิกษุ ก็เธอรู้ซึ้งถึงอรรถแห่งคำที่กล่าวแล้วอย่างย่อโดยพิสดาร ได้อย่างไรเล่า
ภิกษุ. เมื่อบุคคลยัง ยึดรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณมั่นอยู่ก็ต้องถูก มารมัดไว้ เมื่อไม่ยึดมั่นจึงหลุดพ้นจากมาร
พ. ดีแล้วๆภิกษุ เธอรู้ซึ้งถึงอรรถแห่งคำที่เรากล่าวแล้วอย่างย่อโดยพิสดาร อย่างดีแล้ว
ดูกรภิกษุ บุคคลยังยึดรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณมั่นอยู่ ก็ต้อง ถูกมารมัดไว้ เมื่อไม่ยึดมั่น จึงหลุดพ้นจากมาร เธอพึงทราบอรรถแห่งคำนี้ ที่เรากล่าว แล้วอย่างย่อโดยพิสดารอย่างนี้เถิด
ครั้งนั้นแล เธอเป็นผู้ๆ เดียวหลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจ มั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
...............................................................................
38
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗
ธรรมชาติที่อิงอาศัยกัน (อุปนิสสูตร)
ภิกษุทั้งหลาย
สังขารทั้งหลาย มีอวิชชา เป็นที่อิงอาศัย
วิญญาณ มีสังขาร เป็นที่อิงอาศัย
นามรูป มีวิญญาณ เป็นที่อิงอาศัย
ผัสสะ มีสฬายตนะ เป็นที่อิงอาศัย
เวทนา มีผัสสะ เป็นที่อิงอาศัย
ตัณหา มีเวทนา เป็นที่อิงอาศัย
อุปาทาน มีตัณหา เป็นที่อิงอาศัย
ภพ มีอุปาทาน เป็นที่อิงอาศัย
ชาติ มีภพ เป็นที่อิงอาศัย
ทุกข์ มีชาติ เป็นที่อิงอาศัย
...
เมื่อฝนเมล็ดใหญ่ตกอยู่บนยอดภูเขา (ทรงอุปมาปฏิจจสมุปบาท)
- น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม
ยังซอกเขาระแหงและห้วยให้เต็ม
- ซอกเขาระแหงและห้วยทั้งหลายเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมยังหนองทั้งหลายให้เต็ม
- หนองทั้งหลายเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมยังบึงทั้งหลายให้เต็ม
- บึงทั้งหลายเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมยังแม่น้ำน้อยๆ ให้เต็ม
-
แม่น้ำน้อยๆ เต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมยังแม่น้ำใหญ่ๆ ให้เต็ม
- แม่น้ำใหญ่ๆ เต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมยังมหาสมุทรให้เต็ม ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นที่อิงอาศัย ฯลฯ ญาณในธรรม เป็นที่สิ้นไป มีวิมุตติเป็นที่อิงอาศัย ฉันนั้นเหมือนกันแล
...............................................................................
39
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๙๑ ข้อที่ [๓๖๙]
ปริญเญยยธรรม ปริญญา ปริญญาตาวีบุคคล เป็นไฉน
(ตรัสกับราธะ)
ปริญเญยยธรรม เป็นไฉน?
รูป แลเป็นปริญเญยยธรรม
เวทนา เป็นปริญเญยยธรรม
สัญญา เป็นปริญเญยยธรรม
สังขาร เป็นปริญเญยยธรรม
วิญญาณ เป็นปริญเญยยธรรม
ธรรมเหล่านี้เรากล่าวว่า ปริญเญยยธรรม (ธรรมที่ควรกำหนดรู้)
ปริญญา เป็นไฉน?
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
นี้เรากล่าวว่าปริญญา
ปริญญาตาวี บุคคล เป็นไฉน?
ผู้ที่เขาพึงเรียกกันว่า พระอรหันต์ คือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้
ผู้นี้เรากล่าวว่าปริญญาตาวีบุคคล
...............................................................................
40
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๑๙๔
ภิกษุที่ควรยกย่อง และไม่ควรยกย่อง (สมณพราหมณสูตร)
(ตรัสกับราธะ)
ดูกรราธะ อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้. ๕ ประการเป็นไฉน? คือ
อุปาทานขันธ์คือ รูป
อุปาทานขันธ์คือ เวทนา
อุปาทานขันธ์ คือ สัญญา
อุปาทานขันธ์คือ สังขาร
อุปาทานขันธ์คือ วิญญาณ
นัยยะที่ ๒ ไม่รู้ คุณ โทษ เครื่องสลัดออก
ดูกรราธะ ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ไม่รู้ชัด ซึ่งคุณ โทษ และ
ธรรมเครื่อง สลัด ออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ตามความเป็นจริง สมณะ หรือ พราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ได้รับยกย่องว่าเป็นสมณะ ในหมู่สมณะ หรือไม่ได้รับยกย่องว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์
อนึ่ง ท่านเหล่านั้น จะทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่ง ความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ไม่ได้เลย
ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
รู้ชัด ซึ่งคุณ โทษ และธรรมเครื่องสลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล ย่อมได้รับยกย่องว่าเป็นสมณะ ในหมู่สมณะ และได้รับยกย่องว่าเป็นพราหมณ์ ในหมู่พราหมณ์ อนึ่งท่านเหล่านั้น ย่อมทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ และประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ได้ด้วย
.................................................................................................
นัยยะที่ ๒ ไม่รู้ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ เครื่องสลัดออก
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ไม่รู้ชัด เหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และธรรมเครื่องสลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ย่อมไม่ได้รับยกย่องว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ หรือว่าไม่ได้รับยกย่องว่า เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์
ดูกรราธะ ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ย่อมรู้ชัด เหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และธรรมเครื่องสลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ตามความเป็นจริง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมได้รับยกย่องว่าเป็น สมณะในหมู่สมณะ และได้รับ ยกย่องว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์
...............................................................................
41
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 216
ดับตัณหา คือดับปฏิจจสมุปบาท คือการดับทุกข์
(ดับตัณหา คือการดับทุกข์)
เพราะอาศัย ตา ด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิด จักขุวิญญาณ
การประจวบพร้อมแห่งธรรมสามประการ นั่นคือ ผัสสะ
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแหละ
จึงมีความดับแห่ง อุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความ ดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ
ทุกขะโทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงดับสิ้น
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
นี้คือ ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งทุกข์
(กรณีแห่ง หู+เสียง+โสตวิญญาณ และอายตนะอื่นๆ ฯลฯ ก็ตรัสทำนองเดียวกัน)
...............................................................................
42
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 227
การดับแห่งโลก คือการดับแห่งปฏิจจสมุปบาท
(การเกิดขึ้นแห่งโลก คือการเกิดปฏิจจสมุปบาท)
ก็ ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งโลก เป็นอย่างไรเล่า?
เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิด จักขุวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรมสามประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ
เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั้น นั่นแหละ
จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับ แห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงดับสิ้น
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น นี้ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้.
นี้คือ ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งโลก
(กรณีแห่ง หู+เสียง+โสตวิญญาณ และอายตนะอื่นๆ ฯลฯ ก็ตรัสทำนองเดียวกัน)
...............................................................................
43
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้าหน้า 266
ปฏิบัติเพื่อการดับปฏิจจสมุปบาท ชื่อว่าปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม (คือการดับทุกข์ คือการดับโลก)
ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง ชรามรณะ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า
ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมแล้ว
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง ชาติ …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง ภพ …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง อุปาทาน …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง ตัณหา …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง เวทนา …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง ผัสสะ …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง สฬายตนะ …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง นามรูป …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง วิญญาณ …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง สังขารทั้งหลาย …
...เพื่อความดับไม่เหลือ แห่ง อวิชชา ...
...............................................................................
44
อุทเทสวิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๐-๓๕๙ คลิก
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์หน้า 294
ก็อย่างไรเรียกว่าความรู้สึก ฟุ้งไป ซ่านไป ภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ แล่นไปตามนิมิต คือรูป กำหนัด ด้วยยินดีนิมิต คือรูป ผูกพัน ด้วยยินดีนิมิต คือรูปประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีนิมิต คือรูป พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ความรู้สึก ฟุ้งไป ซ่านไป ภายนอก
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน แล่นไปตามนิมิต คือ ธรรมารมณ์ กำหนัดด้วยยินดีนิมิตคือธรรมารมณ์ ผูกพันด้วยยินดี นิมิตคือ ธรรมารมณ์ ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีนิมิตคือธรรมารมณ์ พระผู้มีพระภาค ตรัส เรียกว่า ความรู้สึกฟุ้งไป ซ่านไปภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เรียกว่าความ รู้สึกฟุ้งไปซ่านไป ภายนอก
...............................................................................
45
อุทเทสวิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๐-๓๕๙ คลิก
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์หน้า 294
ก็อย่างไรเรียกว่าความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป ภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะเห็นรูป ด้วยจักษุ ไม่แล่นไปตามนิมิต คือรูป ไม่กำหนัด ด้วยยินดีนิมิต คือรูป ไม่ผูกพัน ด้วยยินดีนิมิต คือรูป ไม่ประกอบด้วย สัญโญชน์ คือความยินดีนิมิตคือรูป พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ความรู้สึก ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
ความรู้สึกที่มีแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน ไม่แล่นไปตามนิมิต คือธรรมารมณ์ ไม่กำหนัดด้วยยินดีนิมิต คือธรรมารมณ์ ไม่ผูก พันด้วยยินดีนิมิต คือ ธรรมารมณ์ ไม่ประกอบด้วยสัญโญชน์ คือความยินดีนิมิตคือ ธรรมารมณ์ พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อย่างนี้แล เรียกว่า ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป ภายนอก
...............................................................................
46
อุทเทสวิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๕๐-๓๕๙ คลิก
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์หน้า 294
จิตที่ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไป การก่อตั้งขึ้นแห่งกองทุกข์ ย่อมไม่มีอีกต่อไป
ภิกษุพึงพิจารณาใคร่ครวญ โดยประการที่เมื่อพิจารณาใคร่ครวญอยู่แล้ว
วิญญาณ (จิต) ของเธอนั้น
-ไม่ฟุ้งไปในภายนอก
-ไม่ซ่านไปในภายนอก
-ไม่ตั้งสยบอยู่ในภายใน
ก็จะไม่พึงสะดุ้ง เพราะเหตุไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
เมื่อวิญญาณ ไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปในภายนอก ไม่ตั้งสยบอยู่ในภายในอยู่
เป็นจิตไม่สะดุ้ง เพราะเหตไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ดังนี้แล้ว การก่อตั้งขึ้น
แห่งกองทุกข์ กล่าวคือ ชาติ ชรา มรณะ ย่อมไม่มีอีกต่อไป
(ฟุ้งไปซ่านไปภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
(ฟุ้งไปซ่านไปภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์)
(จิตตั้งสยบอยู่ในภายใน คือ บรรลุฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ )
...............................................................................
47
รู้ชัดเรื่องกรรม คือรู้เครื่องเจาะแทงกิเลส (นิพเพธิกปัญญา)
กรรม อันบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นอย่างไรเล่า เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม เพราะว่าบุคคลมีเจตนาแล้ว ย่อมกระทำ กรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
นิทานสัมภวะ (เหตุเกิด) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า นิทานสัมภาวะแห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ
เวมัตตตา (ความมีประมาณต่างๆ) แห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า กรรมอันทำสัตว์ ให้เสวย เวทนา เป็นสัตว์นรก มีอยู่ กรรมอันทำสัตว์ให้ เสวยเวทนา เป็นกำเนิดเดรัจฉาน มีอยู่ กรรมอันทำสัตว์ให้เสวยเวทนา เป็นเปรตวิสัยมีอยู่ กรรมอันทำสัตว์ให้เสวยเวทนา ในมนุษยโลก มีอยู่ กรรมอันทำสัตว์ให้เสวย เวทนาในเทวโลก มีอยู่
วิบากแห่งกรรมทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า
วิบากแห่ง กรรมว่า มีอยู่ ๓ อย่าง คือ
1. วิบากในทิฏฐิธรรม (คือทันควัน)
2. วิบากในอุปะปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
3. วิบากในอปรปริยายะ (คือในเวลาต่อมาอีก)
นิโรธแห่งกรรม เป็นอย่างไรเล่า
ความดับ แห่งกรรม ทั้งหลายมี เพราะความดับแห่ง ผัสสะ
นิโรธคามินี ปฏิปทาแห่งกรรม เป็นอย่างไรเล่า
อริยอัฎฐังคิกมรรค นี้แล คือ นิโรธคามินีปฏิปทาแห่งกรรม ข้อนี้ได้แก่ สิ่งเหล่านี้คือ สัมมทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะ สัมมา วายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (มรรค ๘)
ในกาลใดแล อริยสาวกย่อมรู้ชัดซึ่งกรรม อย่างนี้ ซึ่งเวมัตตตา แห่ง กรรมทั้งหลาย อย่างนี้ ซึ่งวิบาก แห่งกรรมทั้งหลายอย่างนี้ ซึ่งนิโรธแห่งกรรมอย่างนี้ ซึ่ง นิโรธคามินีปฏิปทาแห่งกรรมอย่างนี้ ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น ย่อม รู้ชัดซึ่งพรหมจรรย์ อันเป็นเครื่องเจาะแทงกิเลสนี้ว่า เป็นที่ดับแห่งกรรม (กัมมนิโรธ)
...............................................................................
48
ความดับลงแห่งกองทุกข์ ย่อมมี เพราะความดับแห่งนันทิ
(๑) ภิกษุได้ยินเสียงด้วย ตา แล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรูป นินทิ (ความเพลิน) ในเวทนาทั้งหลาย ย่อมดับไป... ความดับลง แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
(๒) ภิกษุได้ยินเสียงด้วย หู แล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในเสียง นินทิในเวทนาทั้งหลาย ย่อมดับไป... ความดับลง แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
(๓) ภิกษุรู้สึกกลิ่นด้วย จมูก แล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในกลิ่น นันทิในเวทนาทั้งหลาย ย่อมดับไป... ความดับลงแห่ง กองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
(๔) ภิกษุลิ้มรสด้วย ลิ้น แล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในรส นันทิ ในเวทนาทั้งหลาย ย่อมดับไป... ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
(๕) ภิกษุถูกต้องสัมผัสทางผิวหนังด้วย ผิวกาย แล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในสัมผัส ทางผิวหนัง... นันทิในเวทนาทั้งหลาย ย่อมดับไป ...ฯลฯ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
(๖) ภิกษุรู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วย ใจ แล้ว ย่อมไม่กำหนัดยินดีในธัมมารมณ์ นันทิ ในเวทนาทั้งหลายย่อมดับไป... ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
(ภิกษุย่อมไม่เพลินในอายตนะทั้ง ๖... ความเพลินใด ความนั้นคือ อุปาทาน)
...............................................................................
49
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์หน้า 393
ภิกษุผู้ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท โดยนัยแห่งอริยสัจสี่ ยังไม่ถือว่า เป็นสมณะ
สมณะ หรือ พราหมณ์
ไม่รู้ทั่วถึงซึ่ง ชาติ
ไม่รู้ทั่วถึงซึ่ง เหตุให้เกิดขึ้นแห่งชาติ
ไม่รู้ทั่วถึงซึ่ง ความดับไม่เหลือแห่งชาติ
ไม่รู้ทั่วถึงซึ่ง ข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุ ถึงความดับไม่เหลือแห่งชาติ
สมณะเหล่านั้น มิใช่ผู้ที่ควรได้รับการสมมติว่า เป็นสมณะ ในหมู่สมณะ อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ไม่รู้เหล่านั้น จะทำให้แจ้งซึ่ง ประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์ แห่งความเป็นพราหมณ์ เข้าถึงแล้วแลอยู่ ในทิฏฐธรรมนี้ หาได้ไม่
(ในกรณีแห่ง ภพ อุปาทาน ตัณหา ไปจนถึง สังขาร ก็ตรัสทำนองเดียวกันกับชาติ)
...............................................................................
50
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์หน้า หน้า 441
ผู้เสร็จกิจในปฏิจจสมุปบาทชื่อว่าผู้บรรลุนิพพาน ในปัจจุบัน
ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะ ความดับไม่เหลือแห่ง ชราและมรณะ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม (ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานปฺปตฺโต)
(ในกรณีแห่งชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขารทั้งหลาย และอวิชชา ก็ตรัสทำนองเดียวกับ ชรามรณะ) |