เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 วิญญาณ กับ นามรูป (จากหนังสือ จิต มโน วิญญาณ) 1395
 

(โดยย่อ)

(1) จิตดวงแรกเกิดขึ้น วิญญาณดวงแรกปรากฏ
การบวชของพระพุทธเจ้า นับอายุครบ20 ปีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือนับตั้งแต่การหยั่งลงของวิญญาณ ซึ่งถือว่าชีวิตใหม่ได้จุติ(เกิด)แล้ว นี้เป็นการเกิดของสัตว์ตามพุทธวจน แต่ในทางโลก
และกฎหมายไทยว่าการเกิด ให้นับหลังคลอดหรือการออกสู่โลกภายนอก และอยู่รอดเป็นชีวิต
--------------------------------------------------------------------------------------------

(2) ความเกิดแห่งจิตย่อมมี เพราะความเกิดแห่งนามรูป
  - ความเกิดแห่งกาย เพราะความเกิดแห่ง อาหาร
  - ความเกิดแห่งเวทนา เพราะความเกิดแห่ง ผัสสะ
  - ความเกิดแห่งจิต เพราะความเกิดแห่ง นามรูป
  - ความเกิดแห่งธรรม เพราะความเกิดแห่ง มนสิการ
--------------------------------------------------------------------------------------------

(3) ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป
  - วิญญาณมีแค่หมู่ ๖ เพียงเท่านี้ คือ จักขุวิญญาณ โสต.. ฆาน.. ชิวหา กาย.. มโนวิญญาณ
  - วิญญาณเกิด.. เพราะการเกิดขึ้นของ นามรูป
  - วิญญาณดับ... เพราะความดับของ นามรูป

ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คือ มรรค๘
  - สุขโสมนัสใดๆอาศัยวิญญาณเกิดขึ้นนี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ (อัสสาทะ)
  - วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน นี้เป็นโทษ (อาทีนวะ)
  - การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออก (นิสสรณะ)

สมณะพราหมณ์ หรือ ชนเหล่าใด ปฏิบัติดีแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงในธรรมวินัยนี้

สมณะพราหมณ์ หรือ ชนเหล่าใด รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ซึ่งความเกิด ซึ่งความดับ รู้ชัดข้อปฏิบัติ ให้ถึง ความดับแห่งวิญญาณแล้ว เป็นผู้หลุดพ้น เพราะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับ เพราะไม่ถือมั่น ในวิญญาณ สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ชื่อว่า เป็นเกพลี (หลุดพ้นดีแล้ว)

วัฏฏะ ย่อมไม่มีแก่สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------------------

(4) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
อานนท์
- ถ้าวิญญาณไม่ก้าวลงในท้องมารดา นามรูปจะก่อตัวขึ้นมาได้ไหม.. ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า
- ถ้าวิญญาณก้าวลงท้องมารดาแล้วสลายลง นามรูปจะเกิดขึ้นได้ไหม..ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า
- ถ้าวิญญาณของเด็กอ่อนขาดการสืบต่อ นามรูปจะเจริญงอกงามได้ไหม..ไม่ได้พระเจ้าข้า
- นั่นแหละคือเหตุ คือนิทาน คือสมุทัย คือปัจจัยของนามรูป นั้นคือวิญญาณ

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง แก่บ้าง ตายบ้าง จุติบ้างอุบัติบ้าง
- ทางแห่งการเรียก ก็มีเพียงเท่านี้
- ทางแห่งการพูดจา ก็มีเพียงเท่านี้
- ทางแห่งการบัญญัติ ก็มีเพียงเท่านี้
- เรื่องที่จะต้องรู้ด้วยปัญญา ก็มีเพียงเท่านี้
- ความเวียนว่ายในวัฏฏะ ก็มีเพียงเท่านี้
- นามรูป พร้อมทั้งวิญญาณตั้งอยู่ เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้
--------------------------------------------------------------------------------------------

(5) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เรามีความคิดว่า
- สัตว์โลกลำบากหนอ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ
- เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชราและมรณะแล้ว
- การออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จะปรากฏขึ้นได้อย่างไร

เรามีความคิดว่า
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี
เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
เพราะการทำในใจโดยแยบคายจึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ

จากนั้นทรงค้นพบปฏิจสมุบาปทั้ง 11 อาการ สายเกิดและสายดับ
พระองค์รู้ชัด ซึ่งชราและมรณะ รู้ชัดเหตุเกิดขึ้นแห่งชราและมรณะ รู้ชัดความดับแห่ง ชราและมรณะ และได้รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ (อริยสัจสี่)

จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ทั้งหลายที่เราไม่เคย ได้ฟัง มาก่อนว่า ความดับ (นิโรธ) ความดับ (นิโรธ) ดังนี้


ที่มา หนังสือ จิต มโน วิญญาณ


เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 


(1)

จิตดวงแรกเกิดขึ้น วิญญาณดวงแรกปรากฏ

-บาลีมหา. วิ. ๔/๑๘๗/๑๔๑.
(ย่อ)
การบวชของพระพุทธเจ้า นับอายุครบ20 ปีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือนับตั้งแต่การหยั่งลงของ วิญญาณ ซึ่งถือว่าชีวิตใหม่ได้จุติ(เกิด) แล้ว นี้เป็นการเกิดของสัตว์ตามพุทธวจน แต่ในทาง โลก และกฎหมายไทยว่าการเกิด ให้นับหลังคลอด หรือการออกสู่โลกภายนอก และอยู่รอด เป็นชีวิต


... ภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในครรภ์แห่งมารดา
วิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว
อาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกนั้น นั่นแหละ เป็นความเกิดของสัตว์นั้น

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตร มีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์.

บทนี้มีบาลีอย่างนี้
ยํ ภิกฺขเว มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ปฐมํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ ปฐมํวิญฺญาณํ ปาตุภูตํ ตทุปาทาย สาวสฺส ชาติ อนุชานามิ ภิกฺขเว คพฺภวีสํ อุปสมฺปาเทตุนฺติ.

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้าที่ ๑๕๓

นับอายุ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์ พระกุมารกัสสปเป็นตัวอย่าง

     [๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้ อุปสมบท. ต่อมาท่านได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่าบุคคล มีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ก็เรามีอายุครบ ๒๐ ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้ อุปสมบท จะเป็นอัน อุปสมบทหรือไม่หนอ.

      ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาต แก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในอุทรมารดา วิญญาณ ดวงแรกปรากฏแล้วอาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกนั้นนั่นแหละเป็นความเกิดของ สัตว์นั้น

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์


(2)
ความเกิดแห่งจิตย่อมมี เพราะความเกิดแห่งนามรูป
-บาลีมหาวาร. สํ. ๑๙/๒๔๖/๘๑๙.
(ย่อ)
ความเกิดแห่งกาย เพราะความเกิดแห่ง อาหาร
ความเกิดแห่งเวทนา เพราะความเกิดแห่ง ผัสสะ
ความเกิดแห่งจิต เพราะความเกิดแห่ง นามรูป
ความเกิดแห่งธรรม เพราะความเกิดแห่ง มนสิการ


ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับ
แห่งสติปัฏฐาน ๔ เธอทั้งหลายจงฟัง.

ภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดแห่งกายเป็นอย่างไร

ความเกิดแห่งกายย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง อาหาร
ความดับแห่งกายย่อมมี เพราะความดับแห่งอาหาร

ความเกิดแห่งเวทนาย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง ผัสสะ
ความดับแห่งเวทนาย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ

ความเกิดแห่งจิตย่อมมี เพราะความเกิดแห่ง นามรูป
ความดับแห่งจิตย่อมมี เพราะความดับแห่งนามรูป
(นามรูปสมุทยา จิตฺตสฺส สมุทโย นามรูปนิโรธา จิตฺตสฺส อตฺถงฺคโม)

ความเกิดแห่งธรรมย่อมมี
เพราะความเกิดแห่ง มนสิการ (กระทำทำในใจ)
ความดับแห่งธรรมย่อมมี เพราะความดับแห่ง มนสิการ
(มนสิการสมุทยา ธมฺมานํ สมุทโย มนสิการนิโรธา ธมฺมานํ อตฺถงฺคโม).


(3)
ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณย่อมมี
เพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป

-บาลีขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๕/๑๑๗.
(ย่อ)
วิญญาณมีแค่หมู่ ๖ แห่งวิญญาณ นี้เท่านั้น คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ

วิญญาณเกิด.. เพราะการเกิดขึ้นของนามรูป
วิญญาณดับ... เพราะความดับของนามรูป
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ คือ มรรค๘

-สุขโสมนัสใดๆอาศัยวิญญาณเกิดขึ้นนี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ (อัสสาทะ)
-วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน นี้เป็นโทษ
(อาทีนวะ)
-การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออก
(นิสสรณะ)

สมณะพราหมณ์ หรือ ชนเหล่าใด ปฏิบัติดีแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงในธรรมวินัยนี้

สมณะพราหมณ์ หรือ ชนเหล่าใด รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ซึ่งความเกิด ซึ่งความดับ รู้ชัดข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับแห่งวิญญาณแล้ว เป็นผู้หลุดพ้น เพราะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับ เพราะไม่ถือมั่นในวิญญาณ สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ชื่อว่า
เป็นเกพลี (หลุดพ้นดีแล้ว) วัฏฏะย่อมไม่มีแก่สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น


ภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย หมู่แห่ง วิญญาณ ๖ เหล่านี้ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าวิญญาณ

ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ
ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป
ความดับแห่ง วิญญาณย่อมมี เพราะความดับแห่งนามรูป

อริยมรรคอัน ประกอบด้วยองค์ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ
แห่งวิญญาณ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ.

ภิกษุทั้งหลาย
-สุขโสมนัสใดๆ อาศัยวิญญาณเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ (อัสสาทะ)
-วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งวิญญาณ
(อาทีนวะ)
- การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณ นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออก แห่ง วิญญาณ (นิสสรณะ).

ภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง รู้ชัดแล้วซึ่งวิญญาณอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่ง วิญญาณ อย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งวิญญาณอย่างนี้ แล้วปฏิบัติ เพื่อ ความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งวิญญาณ สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติดีแล้ว ชนเหล่าใดปฏิบัติดีแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมหยั่งลงในธรรมวินัยนี้

ภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง รู้ชัดแล้วซึ่งวิญญาณอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความ เกิดขึ้นแห่งวิญญาณอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่ง วิญญาณ อย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่ง วิญญาณอย่างนี้ แล้วเป็นผู้หลุดพ้น เพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นในวิญญาณ สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้น ชื่อว่าหลุดพ้นดีแล้ว สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใด หลุดพ้นดีแล้ว สมณะหรือพราหมณ์ เหล่านั้นเป็น เกพลี สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใดเป็นเกพลี วัฏฏะย่อมไม่มีแก่สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น.


(4)
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป
-บาลีมหา. ที. ๑๐/๗๔/๖๐.

(ย่อ)
อานนท์
- ถ้าวิญญาณไม่ก้าวลงในท้องมารดา นามรูปจะก่อตัวขึ้นมาได้ไหม ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า
- ถ้าวิญญาณก้าวลงท้องมารดาแล้วสลายลง นามรูปจะเกิดขึ้นได้ไหมไม่ได้เลยพระเจ้าข้า
- ถ้าวิญญาณของเด็กอ่อนขาดการสืบต่อ นามรูปจะเจริญงอกงามได้ไหมไม่ได้พระเจ้าข้า

- นั่นแหละคือเหตุ คือนิทาน คือสมุทัย คือปัจจัยของนามรูป นั้นคือวิญญาณ

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง แก่บ้าง ตายบ้าง จุติบ้างอุบัติบ้าง
- ทางแห่งการเรียก ก็มีเพียงเท่านี้
- ทางแห่งการพูดจา ก็มีเพียงเท่านี้
- ทางแห่งการบัญญัติ ก็มีเพียงเท่านี้
- เรื่องที่จะต้องรู้ด้วยปัญญา ก็มีเพียงเท่านี้
- ความเวียนว่ายในวัฏฏะ ก็มีเพียงเท่านี้
- นามรูป พร้อมทั้งวิญญาณตั้งอยู่ เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้


…อานนท์ ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูปดังนี้ เป็นคำที่เรากล่าวแล้ว

อานนท์ เธอต้องทราบความข้อนี้ โดยปริยาย ดังต่อไปนี้ เหมือนที่เรากล่าวไว้แล้วว่า เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป.

อานนท์ ถ้าหากว่าวิญญาณไม่ก้าวลงในท้องแห่ง มารดา นามรูปจะก่อตัวขึ้นมา ในท้องแห่งมารดาได้ไหม.
ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.

อานนท์ ถ้าหากว่าวิญญาณก้าวลงในท้องแห่ง มารดาแล้ว สลายลงเสีย นามรูป จะบังเกิดขึ้นเพื่อความ เป็นอย่างนี้ได้ไหม.
ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.

อานนท์ ถ้าหากว่าวิญญาณของเด็กอ่อนที่เป็น ชายหรือเป็นหญิงก็ตาม ขาดความ สืบต่อ นามรูปจะถึงซึ่ง ความเจริญ ความงอกงาม ความไพบูลย์ได้ไหม.
ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.

อานนท์ เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ นั่นแหละคือเหตุ นั่นแหละคือนิทาน นั่นแหละคือ สมุทัย นั่นแหละคือปัจจัย ของนามรูป นั้นคือวิญญาณ.

อานนท์ ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ดังนี้ เป็นคำที่เรากล่าวแล้ว.

อานนท์ เธอต้องทราบความข้อนี้ โดยปริยาย ดังต่อไปนี้ เหมือนที่เรากล่าวไว้แล้วว่า เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ.

อานนท์ ถ้าหากว่าวิญญาณ ไม่ได้มีที่ตั้งอาศัยใน นามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นพร้อม แห่งทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป จะปรากฏได้ไหม.
ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.

อานนท์ เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ นั่นแหละคือเหตุ นั่นแหละคือนิทาน นั่นแหละคือ สมุทัย นั่นแหละคือปัจจัย ของวิญญาณ นั้นคือนามรูป.

อานนท์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง ทางแห่ง การเรียก (อธิวจน) ก็มีเพียงเท่านี้ ทางแห่งการพูดจา (นิรุตฺติ)

ก็มีเพียงเท่านี้ ทางแห่งการบัญญัติ (ปญฺญตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้ เรื่องที่จะต้องรู้ด้วย ปัญญา (ปญฺญาวจร) ก็มีเพียงเท่านี้ ความ เวียนว่ายในวัฏฏะก็มีเพียงเท่านี้ นามรูป พร้อมทั้งวิญญาณ ตั้งอยู่ เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้.


(5)
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ
-บาลีนิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.
(ย่อ)
เรามีความคิดว่า
- สัตว์โลกลำบากหนอ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ
- เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชราและมรณะแล้ว
- การออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้จะปรากฏขึ้นได้อย่างไร

เรามีความคิดว่า
เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี
เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
เพราะการทำในใจโดยแยบคายจึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ

จากนั้นทรงค้นพบปฏิจสมุบาปทั้ง 11 อาการ สายเกิดและสายดับ
พระองค์รู้ชัด ซึ่งชราและมรณะ รู้ชัดเหตุเกิดขึ้นแห่งชราและมรณะ รู้ชัดความดับแห่ง ชราและมรณะ และได้รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ
(อริยสัจสี่)

จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ทั้งหลายที่เราไม่เคย ได้ฟัง มาก่อนว่า ความดับ (นิโรธ) ความดับ (นิโรธ) ดังนี้

          ภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า สัตว์โลกนี้ถึงความลำบากหนอ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่อง ออกไปพ้นจาก ทุกข์ คือชราและมรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ จะปรากฏขึ้น ได้อย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ของเรา นั้น จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อชาตินั่นแหละมีอยู่ ชราและ มรณะจึงมี เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้งด้วย ปัญญาว่า เมื่อภพนั่นแหละมีอยู่ ชาติจึงมี เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ.

เมื่ออุปาทานนั่นแหละมีอยู่ ภพจึงมี เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ.
เมื่อตัณหานั่นแหละมีอยู่ อุปาทานจึงมี เพราะมี ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน.
เมื่อเวทนานั่นแหละมีอยู่ ตัณหาจึงมี เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา.
เมื่อผัสสะนั่นแหละมีอยู่ เวทนาจึงมี เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา.
เมื่อสฬายตนะนั่นแหละมีอยู่ ผัสสะจึงมี เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ.
เมื่อนามรูปนั่นแหละมีอยู่ สฬายตนะจึงมี เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะอะไร เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณนั่นแหละมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะมี วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น
จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปนั่นแหละมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะมี นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ.

ภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับมา ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง กล่าวคือ เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็น ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย
จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง มาก่อนว่า ความเกิดขึ้นพร้อม (สมุทโย) ความเกิดขึ้น พร้อม (สมุทโย) ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อ อะไรหนอไม่มีอยู่ ชราและมรณะ จึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ของเรา นั้น จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อชาตินั่นแหละไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะ ความดับแห่งชาติ จึงมีความดับแห่งชราและมรณะ.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อ อะไรหนอไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้งด้วย
ปัญญาว่า เมื่อภพนั่นแหละไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะมี ความดับแห่งภพ จึงมีความดับ แห่งชาติ.

… เมื่ออุปาทานนั่นแหละไม่มี ภพจึงไม่มี เพราะมี ความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ.

… เมื่อตัณหานั่นแหละไม่มี อุปาทานจึงไม่มี เพราะมี ความดับแห่ง ตัณหา จึงมีความดับอุปาทาน.

… เมื่อเวทนานั่นแหละไม่มี ตัณหาจึงไม่มี เพราะมี ความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา.

… เมื่อผัสสะนั่นแหละไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะมี ความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา.

… เมื่อสฬายตนะนั่นแหละไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ.

… เมื่อนามรูปนั่นแหละไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อ อะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้ง ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณนั่นแหละไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะมีความดับ แห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป.

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อ อะไรหนอไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้ง ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปนั่นแหละไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะมีความดับ แห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ.

ภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า หนทางเพื่อการตรัสรู้นี้ เราได้บรรลุ แล้ว ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ

เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา
เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ เพราะมี
ความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่ง ชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะ ทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ได้ด้วยอาการอย่างนี้.


ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรม ทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง มาก่อนว่า ความดับ (นิโรธ) ความดับ (นิโรธ) ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษเมื่อเที่ยวไปใน ป่าทึบ ได้พบรอยทางซึ่งเป็น หนทางเก่าที่มนุษย์ในกาลก่อน เคยใช้เดินทางแล้ว เขาจึงเดินตามทางนั้นไป เมื่อเดินไปตาม ทางนั้นอยู่ ได้พบซากนครอันเป็นราชธานีโบราณซึ่งมนุษย์ ทั้งหลาย ในกาลก่อนเคยอยู่อาศัยมา เป็นที่สมบูรณ์ด้วย สวน ป่าไม้ สระโบกขรณี ซากกำแพง ล้อม ล้วนน่ารื่นรมย์

ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น บุรุษคนนั้นจึงเข้าไปกราบทูลแก่ พระราชา หรือแก่มหา อำมาตย์ ของพระราชาว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อเที่ยวไปใน ป่าทึบ ได้พบรอยทางซึ่งเป็นหนทางเก่า ที่มนุษย์ ในกาลก่อน เคยใช้เดินทางแล้ว เขาจึงเดินตามทางนั้นไป เมื่อเดินไปตาม ทางนั้นอยู่ ได้พบซาก นครอันเป็นราชธานีโบราณซึ่งมนุษย์ ทั้งหลายในกาลก่อนเคยอยู่ อาศัยมา เป็นที่ สมบูรณ์ด้วย สวน ป่าไม้ สระโบกขรณี ซากกำแพงล้อม ล้วน น่ารื่นรมย์ ขอพระองค์ โปรดทรงปรับปรุงที่นั้นให้เป็นพระนครเถิด.

ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระราชาหรือมหาอำมาตย์ ของพระราชา จึงปรับปรุง สถานที่นั้น ขึ้นเป็นนคร สมัยต่อมา นครนั้นได้กลายเป็นนครที่มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีประชาชน เป็นอันมาก เกลื่อนกล่นด้วยมนุษย์ และเป็นนครที่ถึงแล้ว ซึ่งความ เจริญไพบูลย์ นี้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้น เราได้พบรอยทางซึ่งเป็นหนทาง เก่าที่พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว

ภิกษุทั้งหลายก็รอยทางซึ่งเป็นหนทางเก่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาล ก่อน เคยทรงดำเนินแล้วนั้นเป็นอย่างไร คือหนทางอันประกอบด้วย องค์ ๘ อันประเสริฐนี้นั่นเอง กล่าวคือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้แหละ รอยทางซึ่งเป็นหนทาง เก่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว เรานั้นก็ได้ ดำเนินแล้วไป ตามหนทางนั้น.

เมื่อดำเนินไปตามหนทางนั้นอยู่ เราได้รู้ชัดซึ่งชรา และมรณะ เหตุเกิดขึ้นแห่ง ชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และได้รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติอันให้ถึงความ ดับ แห่งชราและมรณะ.

เมื่อดำเนินไปตามหนทางนั้นอยู่ เราได้รู้ชัดซึ่งชาติ เหตุเกิดขึ้นแห่งชาติ ความดับ แห่งชาติ และได้รู้ชัดข้อปฏิบัติ อันให้ถึงความดับแห่งชาติ.
เราได้รู้ชัดซึ่งภพ
... เราได้รู้ชัดซึ่งอุปาทาน
... เราได้รู้ชัดซึ่งตัณหา
... เราได้รู้ชัดซึ่งเวทนา
... เราได้รู้ชัดซึ่งผัสสะ
... เราได้รู้ชัดซึ่งสฬายตนะ
... เราได้รู้ชัดซึ่งนามรูป
... เราได้รู้ชัดซึ่งวิญญาณ

เมื่อดำเนินไปตามหนทางนั้นอยู่ เราได้รู้ชัดซึ่ง สังขารทั้งหลาย เหตุเกิดขึ้นแห่ง สังขาร ความดับแห่งสังขาร และได้รู้ชัดซึ่งข้อปฏิบัติอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร.


ภิกษุทั้งหลาย ครั้นได้รู้ชัดซึ่งหนทางนั้นแล้ว เราจึง ได้บอกแก่พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ของเราจึงได้ตั้งมั่น และรุ่งเรือง แผ่ไพศาล เป็นที่รู้ของชน อันมาก เป็นปึกแผ่น แน่นหนา จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ประกาศได้ เป็นอย่างดี ดังนี้.






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์