(1)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้า ๕๖ - ๖๒
พระอัสสชิ พบกับ พระสารีบุตร (ปริพาชกโกลิตะ)
(P403)
[๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชก อาศัยอยู่ในพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ จำนวน ๒๕๐ คน. ก็ครั้งนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชก.
ท่านทั้งสองได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อนผู้นั้น จงบอกแก่ อีกคนหนึ่ง. ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระอัสสชิ นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขนน่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ.
สารีบุตรปาริพาชกได้เห็นท่านพระอัสสชิ กำลังเที่ยวบิณฑบาต ในพระนครราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขนเหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ
ครั้นแล้วได้มีความดำริว่าบรรดาพระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุ พระอรหัตมรรคในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหา ภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่าน ชอบใจธรรม ของใคร? แล้วได้ดำริต่อไปว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่าน กำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้น เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ.
ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาต กลับไป. จึงสารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ ถึงแล้วได้พูดปราศรัยกับท่าน พระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
สารีบุตรปริพาชกยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้ กะท่าน พระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวช เฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
อ. มีอยู่ ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตร เสด็จออกทรงผนวชจาก ศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น
สา. ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
อ. เราเป็นคนใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจ แสดงธรรม แก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ.
สา. น้อยหรือมากนิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
(2)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้า ๕๖ - ๖๒
พระอัสสชิเถระแสดงธรรมแก่สารีบุตร ปริพาชก
(P403)
[๖๕] ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่ สารีบุตร ปริพาชก ว่าดังนี้:- ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดง เหตุแห่งธรรม เหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.
สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม
[๖๖] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่สารีบุตรปริพาชก
ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้ เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหาความโศก มิได้นี้
พวกเรายังไม่เห็นล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.
สารีบุตรปริพาชก เปลื้องคำปฏิญญา
[๖๗] เวลาต่อมา สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาโมคคัลลานปริพาชก. โมคคัลลานปริพาชก ได้เห็นสารีบุตรปริพาชกเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ถามสารีบุตร ปริพาชกว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วกระมังหนอ?
สา. ถูกละ ผู้มีอายุ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว (บรรลุโสดาบัน)
โมค. ท่านบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ด้วยวิธีไร?
สา. ผู้มีอายุ วันนี้เราได้เห็นพระอัสสชิ กำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร ราชคฤห์ มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วเราได้มีความดำริว่า บรรดา พระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุอรหัตมรรคในโลก ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่ ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่าท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดา ของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร เรานั้นได้ยั้งคิดว่า ยังเป็นกาลไม่สมควร จะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่านยังกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต ผิฉะนั้นเราพึง ติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลังๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ
ลำดับนั้น พระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาต กลับไปแล้ว ต่อมา เราได้เข้าไปหาพระอัสสชิ ครั้นถึงแล้ว ได้พูดปราศรัยกับ พระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เรายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้ ต่อพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวช เฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
พระอัสสชิตอบว่า มีอยู่ ท่านพระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทร งผนวชจาก ศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เราได้ถาม พระอัสสชิ ต่อไปว่า ก็พระศาสดาของชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เราได้ถามพระอัสสชิ ต่อไปว่าก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไรแนะนำอย่างไร?
พระอัสสชิตอบว่า เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัย นี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่าน ได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ เราได้เรียนว่า น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
[๖๘] ผู้มีอายุ ครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยายนี้ ว่าดังนี้
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับ
แห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.
โมคคัลลานปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม (บรรลุโสดาบัน)
[๖๙] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจาก มลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับไปเป็น ธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่โมคคัลลานปริพาชก ธรรมนี้แหละ ถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้ บทอันหา ความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็น ล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.
(3)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้า ๕๖ - ๖๒
โมคคัลลานและสารีบุตรปริพาชกออกจากสำนักสัญชัย
(P403)
[๗๐] ครั้งนั้น โมคคัลลานปริพาชกได้กล่าวชักชวนสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ เราพากันไปสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด เพราะพระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระศาสดาของเรา.
สารีบุตรปริพาชกกล่าวว่าผู้มีอายุปริพาชก ๒๕๐ คนนี้อาศัยเรา เห็นแก่เรา จึงอยู่ในสำนักนี้ เราจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ.
ลำดับนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพากันเข้าไปหาปริพาชกเหล่านั้น ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้ต่อพวกปริพาชกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย เราจะไปในสำนัก พระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
พวกปริพาชกตอบว่า พวกข้าพเจ้าอาศัยท่าน เห็นแก่ท่านจึงอยู่ในสำนัก นี้ ถ้าท่านจักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมด ก็จัก ประพฤติ พรหมจรรย์ในพระมหาสมณะด้วย.
ต่อมา สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปหาท่านสญชัยปริพาชก ครั้นถึงแล้วได้เรียนว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะ พระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลายอย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คนจักช่วยกันบริหารคณะนี้.
แม้ครั้งที่ ๒ ...
แม้ครั้งที่สาม สารีบุตรโมคคัลลานะได้กล่าวคำนี้ต่อสญชัยปริพาชกว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็น พระศาสดา ของพวกกระผม.
สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่าอย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย เราทั้งหมด ๓ คนจักช่วยกันบริหารคณะนี้.
ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะ พาปริพาชก ๒๕๐ คนนั้น มุ่งไปทาง ที่จะไป พระวิหารเวฬุวัน. ก็โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปาก สญชัยปริพาชก ในที่นั้นเอง.
(4)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้า ๕๖ - ๖๒
ทรงพยากรณ์โกลิตะและอุปติสสะ จะเป็นสาวกผู้เยี่ยมของเรา
(P403)
[๗๑] พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตร โมคคัลลานะ มาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหาย สองคน นั้น คือโกลิตะ(ชื่อเดิมพระสารีบุตร) และ อุปติสสะ (ชื่อเดิมพระโมคคัลลานะ) กำลังมานั่น จักเป็นคู่สาวกของเราจักเป็นคู่อัน เจริญชั้นเยี่ยมของเรา ก็สหายสองคน นั้น พ้นวิเศษแล้ว ในธรรมอันเป็นที่สิ้นอุปธิ อันยอดเยี่ยม มีญาณวิสัยอันลึกซึ้ง ยังมาไม่ทันถึงพระวิหารเวฬุวัน พระศาสดา
ทรงพยากรณ์ ว่าดังนี้
สหายสองคนนี้คือ โกลิตะ และ อุปติสสะ กำลังมานั่น จักเป็นคู่ สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญ ชั้นเยี่ยมของเรา.
เข้าเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท
[๗๒] ครั้งนั้นสารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถึงแล้วได้ซบเศียรลงที่พระบาทของผู้มีพระภาค แล้วทูลขอบรรพชา อุปสมบท ต่อพระผู้มีพระภาคว่าขอพวกข้าพระพุทธเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้ อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัส ต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุด ทุกข์ โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุ เหล่านั้น.
(5)
ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๙๑
การเข้าสมาธิ ๙ ระดับของพระสารีบุตร (อนุปทวรรค)
(P316)
๑. อนุปทสูตร (๑๑๑)
[๑๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระดำรัสแล้ว
[๑๕๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็น บัณฑิต มีปัญญามาก มีปัญญากว้างขวาง มีปัญญาร่าเริง มีปัญญาว่องไว มีปัญญาเฉียบแหลม มีปัญญาทำลายกิเลส ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเห็นแจ้ง ธรรมตามลำดับบทได้เพียง กึ่งเดือน ในการเห็นแจ้งธรรม ตามลำดับบท ของสารีบุตรนั้น เป็นดังต่อไปนี้
[๑๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนี้ สารีบุตรสงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ก็ธรรมใน ปฐมฌาน คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญาเจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการ เป็นอันสารีบุตรกำหนดได้ ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตร รู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และถึงความดับ เธอรู้ชัด อย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่า ธรรมที่ไม่มีแก่เราย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรม นั้นๆ มีใจอันกระทำ ให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรมเครื่องสลัด ออก ยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออกนั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตร เข้า ทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตก และวิจารไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ อยู่ ก็ธรรมในทุติยฌาน คือความผ่องใสแห่งใจภายใน ปีติ สุข จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญาเจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการ เป็นอันสารีบุตรกำหนดได้ ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตรรู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และถึงความดับ เธอรู้ชัด อย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่า ธรรมที่ไม่มีแก่เราย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมนั้นๆ มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดน ได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรม เครื่องสลัดออกยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออกนั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตรเป็นผู้วางเฉย เพราะหน่าย ปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุข ด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ที่พระอริยะ เรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่ เป็นสุข อยู่ ก็ธรรมในตติยฌานคือ อุเบกขา สุข สติ สัมปชัญญะ จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญาเจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการ เป็นอันสารีบุตรกำหนดได้ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตร รู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และถึงความดับ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่าธรรมที่ไม่มีแก่เราย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วใน ธรรมนั้นๆ มีใจอันกระทำให้ ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรมเครื่อง สลัดออก ยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออก นั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตร เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อยู่ ก็ธรรมในจตุตถฌาน คือ อุเบกขาอทุกขมสุขเวทนา ความไม่คำนึงแห่งใจ เพราะบริสุทธิ์แล้ว สติบริสุทธิ์ จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วิริยะสติ อุเบกขา มนสิการ เป็นอันสารีบุตร กำหนดได้ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตรรู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ถึงความดับ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่า ธรรมที่ไม่มีแก่เรา ย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดีไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆ มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดน ได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรมเครื่องสลัดออกยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออก นั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตร เข้าอากาสานัญจายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด อยู่ เพราะล่วง รูปสัญญาได้โดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญาได้ เพราะไม่มนสิการ นานัตตสัญญา ก็ธรรมในอากาสานัญจายตนฌาน คือ อากาสานัญจายตนสัญญา จิตเตกัคคตา ผัสสะเวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์ วิริยะ สติ อุเบกขามนสิการ เป็นอันสารีบุตรกำหนดได้ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตรรู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และถึงความดับ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่าธรรม ที่ไม่มีแก่เรา ย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆ มีใจอันกระทำให้ปราศจาก เขตแดน ได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรมเครื่องสลัดออกยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็น ต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออกนั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตรล่วง อากาสานัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยมนสิการว่าวิญญาณไม่มีที่สุด อยู่ ก็ธรรมในวิญญาณัญจายตนฌาน คือ วิญญาณัญจายตนฌาน จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการ เป็นอันสารีบุตรกำหนดได้ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตรรู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และถึงความดับ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่า ธรรมที่ไม่มีแก่เรา ย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆ มีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่ายังมีธรรมเครื่องสลัดออก ยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออกนั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตรล่วง วิญญาณัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไรสักน้อยหนึ่ง อยู่ ก็ธรรมในอากิญจัญญายตนฌาน คือ อากิญจัญญายตนฌาน จิตเตกัคคตา ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ ฉันทะ อธิโมกข์วิริยะ สติ อุเบกขา มนสิการ เป็นอันสารีบุตรกำหนดได้ตามลำดับบท เป็นอันสารีบุตรรู้แจ้งแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และถึงความดับ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่าธรรมที่ไม่มีแก่เรา ย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้ว ในธรรมนั้นๆ มีใจอัน กระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่ายังมีธรรม เครื่องสลัดออก ยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออก นั้น ให้มาก ก็มีอยู่ฯ
[๑๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตร ล่วงอากิญจัญญาย ตนฌาน โดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ เธอเป็นผู้มีสติ ออกจากสมาบัตินั้น ครั้นแล้ว พิจารณาเห็นธรรมที่ล่วงแล้ว ดับแล้ว แปรปรวนไปแล้วว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่า ธรรมที่ไม่มีแก่เรา ย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมนั้นๆมีใจอันกระทำให้ปราศจากเขตแดน ได้แล้วอยู่ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรมเครื่องสลัดออก ยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่า ผู้ที่ทำเครื่องสลัดออกนั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก สารีบุตรล่วง เนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง แล้วเข้า สัญญา เวทยิตนิโรธ อยู่ เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะของเธอจึงเป็นอันสิ้นไป เธอย่อม มีสติออกจาก สมาบัตินั้น ครั้นแล้วย่อมพิจารณาเห็นธรรมที่ล่วงแล้ว ดับแล้ว แปรปรวน ไปแล้วว่า ด้วยประการนี้ เป็นอันว่า ธรรมที่ไม่มีแก่เราย่อมมี ที่มีแล้ว ย่อมเสื่อมไป เธอไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วใน ธรรมนั้นๆมีใจ อันกระทำให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า ยังมีธรรมเครื่อง สลัดออก ยิ่งขึ้นไปอยู่ และมีความเห็นต่อไปว่าผู้ที่ทำเครื่องสลัดออก นั้นให้มาก ก็มีอยู่
[๑๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวชอบ พึงกล่าวชมภิกษุรูปใดว่า เป็นผู้ถึง ความชำนาญ ถึงความสำเร็จในอริยศีล ในอริยสมาธิ ในอริยปัญญา ในอริยวิมุติ ภิกษุรูปนั้นคือ สารีบุตรนั่นเอง ผู้ที่กล่าวชอบ พึงกล่าวชมว่า เป็นผู้ถึง ความชำนาญ ถึงความสำเร็จในอริยศีล ในอริยสมาธิในอริยปัญญา ในอริยวิมุติ
[๑๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวชอบ พึงกล่าวชมภิกษุรูปใดว่า เป็นบุตร เป็นโอรสของพระผู้มีพระภาค เกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เกิดแต่ธรรมอัน ธรรมเนรมิต เป็นธรรมทายาท ไม่ใช่เป็นทายาทของอามิส ภิกษุรูปนั้น คือสารีบุตร นั่นเอง ที่ผู้กล่าวชอบ พึงกล่าวชมว่า เป็นบุตรเป็นโอรสของ พระผู้มีพระภาคเกิดแต่ พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เกิดแต่ธรรม อันธรรมเนรมิต เป็นธรรมทายาท ไม่ใช่เป็น ทายาทของอามิส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมประกาศธรรมจักร อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ตถาคตให้เป็นไปแล้ว ไปตามลำดับโดยชอบทีเดียว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล
จบ อนุปทสูตร ที่ ๑
(6)
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๒๐๔-๒๐๘
พระสารีบุตรสำเร็จอรหันต์
๔. ทีฆนขสูตร เรื่องทีฆนขปริพาชก ตรัสกับอัคคิเวสนะ
(P1479)
[๒๗๔] ก็โดยสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตร นั่งถวายอยู่งานพัด ณ เบื้อง พระปฤษฎางค์พระผู้มีพระภาค. ได้มีความดำริว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตรัส การละธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งแก่เราทั้งหลาย ได้ยินว่า พระสุคตตรัสการ สละคืนธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งแก่เราทั้งหลาย
เมื่อท่านพระสารีบุตร เห็นตระหนักดังนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้น แล้ว แก่ทีฆนขปริพาชกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา
(7)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๒๗๘
พระสารีบุตรเห็นพระโมคคัลลานะผิวพรรณผ่องใส ฆฏสูตร
(M104.htm#b38)
(ย่อ) พระสารีบุตร เห็นพระโมคคัลลานะ มีอินทรีย์ผิวพรรณผ่องใส คิดว่าพระโมค อยู่ใน วิหารธรรมอันละเอียดเป็นแน่... ม.ตอบว่า วันนี้ผมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันหยาบ แต่ได้สนธนา ธรรมกับพระผู้มีพระภาค ด้วยทิพยจักษุ และทิพยโสตธาตุ อันหมดจด เท่าพระผู้มีพระภาค แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีทิพยจักษุและทิพยโสตธาตุอันหมดจดเท่าผม ...
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยตั้งสัตยาธิษฐาน ว่าจะเหลืออยู่ แต่หนัง เอ็นและกระดูกก็ตามที เลือดและเนื้อในร่างกาย จงเหือด แห้งไปเถิด ผลอันใดที่จะ พึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ ยังไม่บรรลุผลนั้นแล้ว จะหยุดความเพียรเสีย เป็นอันไม่มี ภิกษุย่อมเป็นผู้ปรารภ ความเพียร อย่างนี้แล (ความเพียรอันไม่ถอยกลับ)
[๖๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะ อยู่ในวิหารเดียวกันในพระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
ครั้งนั้นแล เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร ออกจากที่เร้น เข้าไปหาท่านพระมหา โมคคัลลานะ ถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้สนทนาปราศรัยกับท่าน พระมหา โมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง
[๖๙๒] ครั้นท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระมหา โมคคัลลานะว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก ผิวหน้าของท่านบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ชรอยวันนี้ ท่านมหาโมคคัลลานะ จะอยู่ด้วยวิหารธรรมอันละเอียด
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ กล่าวว่าอาวุโส วันนี้ผมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันหยาบ อนึ่ง ผมได้มีธรรมีกถา
สา. ท่านมหาโมคคัลลานะได้มีธรรมีกถากับใคร
ม. ผมได้มีธรรมีกถากับพระผู้มีพระภาค
สา. เดี๋ยวนี้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ไกลนัก ท่านมหาโมคคัลลานะไปเฝ้า พระผู้มี พระภาคด้วยฤทธิ์หรือ หรือว่าพระผู้มีพระภาค เสด็จมาหาท่านมหา โมคคัลลานะ ด้วยฤทธิ์
ม. ผมไม่ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยฤทธิ์ แม้พระผู้มีพระภาคก็ไม่ได้เสด็จ มาหาผม ด้วยฤทธิ์ แต่ผมมีทิพยจักษุ และทิพยโสตธาตุ อันหมดจด เท่าพระผู้มี พระภาค แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีทิพยจักษุ และทิพยโสตธาตุอันหมดจด เท่าผม (มีตาทิพย์ หูทิพย์เท่ากับพระผู้มีพระภาค)
สา. ท่านมหาโมคคัลลานะได้มีธรรมีกถากับพระผู้มีพระภาคอย่างไร
ม. ผมได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคในที่นี้ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ที่เรียกว่า ผู้ปรารภความเพียรๆ ดังนี้ ก็บุคคลจะชื่อว่าเป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยเหตุ ประมาณเท่าไรพระพุทธเจ้าข้า
อาวุโส เมื่อผมกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะผมดังนี้ว่า โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยตั้ง สัตยา ธิษฐาน ว่า จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็นและกระดูกก็ตามที เลือดและเนื้อใน ร่างกายจง เหือดแห้ง ไปเถิด ผลอันใดที่จะพึงบรรลุได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียร ของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ ยังไม่บรรลุผลนั้นแล้ว จะหยุด ความเพียรเสีย เป็นอันไม่มี โมคคัลลานะ ภิกษุย่อมเป็นผู้ปรารภความเพียร อย่างนี้แล (ความเพียรอันไม่ถอยกลับ)
อาวุโส ผมได้มีธรรมีกถา กับพระผู้มีพระภาคอย่างนี้แล
สา. อาวุโส เปรียบเหมือนก้อนหินเล็กๆ ที่บุคคลเอาไปวาง เปรียบเทียบ กับขุนเขาหิมพานต์ฉันใด เราเมื่อเปรียบเทียบเคียง กับท่านมหา โมคคัลลานะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แท้จริงท่านมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เมื่อจำนงอยู่ พึงตั้งอยู่ได้ตลอดกัปแล
ม. อาวุโส ก้อนเกลือเล็กๆ ที่บุคคลหยิบเอาไปวางเปรียบเทียบ กับ หม้อเกลือใหญ่ ฉันใด ผมเมื่อเปรียบเทียบท่านสารีบุตร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แท้จริง ท่านพระสารีบุตร เป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงชม ทรงสรรเสริญ ทรงยกย่อง แล้ว โดยปริยายมิใช่น้อย มีอาทิว่า ภิกษุผู้ถึงซึ่งฝั่งคือพระนิพพาน เป็นผู้เยี่ยมด้วย ปัญญา ด้วยศีล และอุปสมะ(ความสงบ) คือพระสารีบุตร ดังนี้
(8)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๕๒-๕๙
๒. กฬารขัตติยสูตร
พระสารีบุตรถูกกล่าวหาว่าบันลือสีหนาท
P1086
[๑๑๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปแล้วไม่นานนัก ท่านพระสารีบุตร จึงกล่าวกะภิกษุทั้งหลาย ในที่นั้นว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถาม ปัญหาข้อแรก กะผม ซึ่งผมยังไม่เคยรู้มาก่อน ผมจึงทูล ตอบปัญหาล่าช้าไป ต่อเมื่อ พระผู้มีพระภาค ทรงอนุโมทนาปัญหาข้อแรก ของผมแล้ว ผมจึงคิดได้ว่า ถ้าพระผู้มีพระภาค จะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผม ตลอดทั้งวัน ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาค ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน แม้ถ้าพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้น กะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน หากพระผู้มีพระภาค จะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้น กะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาค ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด สองคืนสองวัน หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความ ข้อนั้น กะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาค ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้น กะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาค ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาค ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน
หากพระผู้มีพระภาค จะพึงตรัสถามความข้อนั้น กะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้น กะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน
แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน
------------------------------------------------------------------------------
(พระกฬารขัตติยภิกษุฟ้องพระผู้มีพระภาค ว่าพระสารีบุตรบันลือสีหนาท )
[๑๑๖] ลำดับนั้น พระกฬารขัตติยภิกษุลุกขึ้นจากอาสนะ เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
ท่านพระสารีบุตร บันลือสีหนาท ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามปัญหา ข้อแรกกะผม ซึ่งผมยังไม่เคยรู้มาก่อน ผมจึงทูลตอบปัญหา ล่าช้าไป ต่อเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนา ปัญหาข้อแรกของผมแล้ว ผมจึง คิดได้ว่า
ถ้าพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถาม ความข้อนั้นกะผมตลอดทั้งวันด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน
แม้ถ้าพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้น กะผมด้วยบทอื่นๆด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดทั้งคืน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วย บทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วย บทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดสี่คืน สี่วัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วย บทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ด้วย บทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้น ถวายพระผู้มีพระภาคได้ ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน
หากพระผู้มีพระภาคจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผม ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาค ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน
------------------------------------------------------------------------------
(9)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๕๒-๕๙
กฬารขัตติยสูตร
พระผู้มีพระภาคตัดสิน
P1086
[๑๑๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ก็เพราะธรรมธาตุอันสารีบุตร แทงตลอด ดีแล้ว แม้หากว่าเราจะพึงถามความข้อนั้นกะสารีบุตร ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ด้วยบทอื่นๆด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด ทั้งคืนทั้งวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด สองคืนสองวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด สามคืน สามวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด สามคืนสามวัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ได้ด้วยบทอื่นๆด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด ห้าคืนห้าวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืน ห้าวัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด หกคืนหกวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน
หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆด้วยปริยายอื่นๆ ตลอด เจ็ดคืนเจ็ดวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เรา ได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืน เจ็ดวัน
(10)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓
หน้าที่ ๓๐๐
วุฏฐิสูตร
พระสารีบุตรลุกขึ้น กระทบพระศาสดา โดยไม่กล่าวขอโทษ
(P232)
[๒๑๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตร เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จำ พรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถีแล้ว ข้าพระองค์ปรารถนาจะหลีกจาริก ไปในชนบท
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร เธอจงสำคัญกาลอันควรในบัดนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตร ลุกจาก อาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป
ครั้งนั้นแล เมื่อท่านพระสารีบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน ภิกษุรูปหนึ่ง ได้กราบทูล พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์ แล้วไม่ขอโทษหลีกจาริกไป
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า
ดูกรภิกษุเธอจงมานี่ จงไป เรียกสารีบุตรตามคำของเรา ว่า
ดูกรอาวุโสสารีบุตร พระศาสดารับสั่ง ให้หาท่าน ภิกษุนั้น ทูลรับพระดำรัสพระผู้มี พระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าว กะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรอาวุโสสารีบุตร พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระสารีบุตร รับคำของ ภิกษุนั้น แล้ว
ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ และท่านพระอานนท์ ถือลูกดานเที่ยว ประกาศไปตามวิหารว่าท่านผู้มีอายุทั้งหลายจงรีบออกเถิดๆ บัดนี้ท่านพระสารีบุตร จะบันลือสีหนาท เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่าน พระสารีบุตรว่า ดูกรสารีบุตร เพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้ กล่าวหาเธอว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว ไม่ขอโทษหลีกจาริก ไปแล้ว
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใด ไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อนพรหมจรรย์ รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้ แล้วไม่ขอโทษแล้ว พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่ อึดอัดระอา หรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอ ด้วย แผ่นดินอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียด เบียนอยู่ ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุ ใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบ เพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนทั้งหลายย่อมล้างของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงในน้ำ น้ำก็ไม่อึดอัดระอา หรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้นแม้ฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยน้ำอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความ เบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้ แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไป เป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ไฟย่อมไม่อึดอัดระอา หรือ เกลียดชังด้วย สิ่งนั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยไฟ อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อน พรหมจรรย์ รูปใดรูปหนึ่ง ในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริก ไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลมย่อมพัดซึ่งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลมย่อมไม่อึดอัดระอาหรือ เกลียด ชัง ด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยลม อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อนพรหมจรรย์ รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษพึงหลีกจาริกไป เป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าสำหรับเช็ดธุลี ย่อมชำระของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ผ้าเช็ดธุลี ย่อมไม่อึดอัด ระอา หรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล มีใจเสมอ ด้วย ผ้าสำหรับเช็ดธุลี อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียด เบียน อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใด ไม่เข้าไป ตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไป เป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุมาร หรือ กุมาริกาของคนจัณฑาล ถือตะกร้า นุ่งผ้าเก่าๆ เข้าไปยังบ้านหรือนิคม ย่อมตั้งจิตนอบน้อมเข้าไป แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ ฉันนั้น เหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยกุมาร หรือกุมาริกาของคนจัณฑาล อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อน พรหมจรรย์ รูปใดรูปหนึ่ง ในธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษพึงหลีกจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โคเขาขาดสงบเสงี่ยม ได้รับฝึกดีแล้ว ศึกษาดีแล้ว เดินไป ตามถนนหนทาง ตามตรอกเล็กซอกน้อย ก็ไม่เอาเท้าหรือเขากระทบ อะไรๆ แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยโคเขาขาด อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญกายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อน พรหมจรรย์ รูปหนึ่ง ในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาว เป็นคนชอบประดับ ตบแต่ง พึงอึดอัด ระอา และเกลียดชังด้วยซากศพงู หรือซากศพสุนัขที่เขา ผูกไว้ที่คอ แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมอึดอัดระอา และ เกลียดชัง ด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใด ไม่เข้าไป ตั้งไว้ แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่ง ในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริก ไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนประคองภาชนะมันข้น มีรูทะลุเป็นช่องเล็ก ช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่ แม้ฉันใด ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมบริหารกายนี้ ที่มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้น กระทบเพื่อน พรหมจรรย์ รูปใดรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริก ไปเป็นแน่
เมื่อท่านพระสารีบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว
ลำดับนั้นแล ภิกษุรูปนั้นลุกจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง หมอบลงแทบพระบาท ของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แล้วกราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้ครอบงำ ข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นคนไม่ฉลาด ที่ข้าพระองค์ได้กล่าวตู่ ท่านพระสารีบุตร ด้วยคำ อันไม่มีเป็นคำเปล่าคำเท็จไม่เป็นจริง ขอพระผู้มีพระภาคทรง โปรดรับโทษของ ข้าพระองค์นั้น โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด
(พระสารีบุตรตั้งไว้ซึ่ง กายคตาสติ ตลอดเวลา)
|