(21)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๐๗
พระสารีบุตรเตือนภิกษุ ผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริโอตตัปปะ.. เป็นความเสื่อม นฬกปานสูตรที่ ๑
P511
[๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงนิคมของชาวโกศลชื่อว่า นฬกปานะ ทราบมาว่าพระผู้มี พระภาค ประทับอยู่ที่ปลาสวัน ใกล้นฬกปานนิคมนั้น ก็สมัยนั้นแลพระผู้มีพระภาค ผู้อันหมู่ ภิกษุแวดล้อม ประทับนั่ง แล้วในวันอุโบสถ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงภิกษุทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจ หาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา สิ้นส่วนแห่งราตรีเป็นอันมาก ทรงตรวจดูภิกษุ สงฆ์ ผู้นิ่งเงียบอยู่ แล้วตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถา เพื่อภิกษุ ทั้งหลาย จงแจ่มแจ้งกะเธอ เราเมื่อยหลัง จักเอนหลัง ท่านพระสารีบุตรกราบทูล รับพระผู้มีพระ ภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิสี่ชั้น ทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัส เบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงกระทำ อุฏฐานสัญญา* ไว้ในพระทัย
*(กำหนดใจว่าจะลุกขึ้น)
ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุผู้มีอายุ ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตร กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ไม่มี โอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืน หรือกลางวัน ของผู้นั้นย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ ความเจริญเลย ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ ในกาลปักษ์ ย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์ย่อมเสื่อมจากวรรณะ ย่อมเสื่อมจากมณฑลย่อม เสื่อมจาก แสงสว่าง ย่อมเสื่อมจากด้านยาวและด้านกว้าง ฉันใด ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มี ศรัทธา ใน กุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริไม่มี โอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรม ทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
คำว่าบุคคล ผู้ไม่มีศรัทธานี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่มีหิรินี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่มีโอตตัปปะนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้เกียจคร้านนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีปัญญาทรามนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มักโกรธนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ผูกโกรธนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีความปรารถนาลามกนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีมิตรชั่วนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้เป็นมิจฉาทิฐินี้ เป็นความเสื่อม ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืน หรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเสื่อม เลย
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ ในปักษ์ ข้างขึ้นย่อม ผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้น
ย่อมเจริญด้วยวรรณะ
ย่อมเจริญด้วย มณฑล ย่อมเจริญด้วยแสงสว่าง ย่อมเจริญด้วยด้านยาวและด้านกว้างฉันใดผู้ใดผู้หนึ่ง มีศรัทธา ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ มีโอตตัปปะมีวิริยะ มีปัญญาในกุศลธรรม ทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเจริญ ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
คำว่าบุคคล ผู้มีศรัทธานี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีหิรินี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีโอตตัปปะนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ปรารภ ความเพียรนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีปัญญานี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่โกรธนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่ผูกโกรธนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ปรารถนาน้อยนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้เป็นสัมมาทิฐินี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสชมท่านพระสารีบุตรว่า ดีละ ดีละสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่าน พ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายไม่หวังได้ความเจริญเลย
ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืน
หรือกลางวันของพระจันทร์ในกาลปักษ์ ย่อมผ่าน พ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเสื่อมจากวรรณะ ย่อมเสื่อมจากมณฑล ย่อมเสื่อม จากแสงสว่าง ย่อมเสื่อม จากด้านยาว และกว้างฉันใด
ดูกรสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ฯลฯ ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือ กลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้น พึงหวังได้ ความเสื่อม ไม่หวังได้ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
(23)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๓๕
นิพพานสูตร ว่าด้วยนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
(พระสารีบุตร กล่าวกับอุทายี และภิกษุทั้งหลาย)
P523
(ย่อ)
ท่านพระสารีบุตร กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข
พระอุทายี : ดูก่อนอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร
สารีบุตร :
ดูก่อนอาวุโส นิพพานนี้ ไม่มีเวทนา นั่นแหละเป็นสุข
[๒๓๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทก-นิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตร กล่าวกะภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นิพพานนี้ เป็นสุข เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะ ท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุข ได้อย่างไร.ท่านพระสารีบุตร กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส นิพพานนี้ ไม่มีเวทนา นั่นแหละ เป็นสุข
ดูก่อนอาวุโส กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือรูป ที่จะพึง รู้แจ้งด้วย จักษุอันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ เป็นที่รักยั่วยวนชวน ให้กำนัด เสียงที่จะพึง รู้แจ้ง ด้วยหู ฯลฯ กลิ่น ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ รส ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด กามคุณ ๕ ประการนี้แล ดูก่อนอาวุโส สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ประการนี้ นี้เรียกว่า กามสุข.
ดูก่อนอาวุโสภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ ถ้าเมื่อภิกษุ นั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการ อันสหรคต(1) ด้วยกาม ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้น เป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้น แก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียนฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคต ด้วยกามเหล่านั้น ย่อมฟุ้งซ่าน แก่ภิกษุนั้น ข้อนั้น เป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้น เหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เรียกอาพาธนั้นว่า เป็นความทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านจะพึงทราบได้โดย ปริยายแม้นี้.
(1) (สหรคต แปลว่า ไปด้วยกัน ร่วมกัน..)
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ เพราะวิตกวิจารสงบไป ถ้าเมื่อ ภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคต ด้วยวิตกย่อม ฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็น อาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้น แก่บุคคลผู้มี ความสุข เพียงเพื่อ เบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคต ด้วยวิตกเหล่านั้น ย่อมฟุ้งซ่าน แก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธ นั้น ว่าเป็นทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบ ได้โดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุตติยฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหาร-ธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคต ด้วยปีติย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียนฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยปีติ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหาร-ธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอุเบกขาย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอุเบกขา ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็น อาพาธ ของเธอ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก อาพาธนั้นว่า เป็นความทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดย ปริยายแม้นี้
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ฯลฯ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่าอากาศไม่มีที่สุด ถ้าเมื่อภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันหรคตด้วยรูปย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์ พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยรูปย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกอาพาธ นั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ฯลฯ เมื่อภิกษุนั้น อยู่ด้วย วิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนะ ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคล ผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากาสา ณัญจายตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้น อยู่ด้วย วิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคต ด้วยวิญญาณัญจายตนะย่อม ฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคล ผู้มี ความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอันสหรคตด้วย วิญญาณัญจา ยตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูก่อนอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้ปริยายแม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อ ภิกษุนั้น อยู่ด้วย วิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนะ ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคล ผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใดสัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากิญ จัญญา ยตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธ ของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มี พระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยายแม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วง เนวสัญญา นาสัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง อาสวะทั้งหลายของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา ดูกรอาวุโสนิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดย ปริยายแม้นี้
(24)
ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๑๗๓ - ๑๗๕
ผู้เข้าสัญญาเวทยิต หลังกายแตกดับจะไปเกิดที่ไหน(อุทายีเห็นแย้งกับพระสารีบุตร พระผู้มีพระภาคตัดสิน)
P1102
นิโรธสูตร
พระสารีบุตร กล่าวกะ ภิกษุ ท.ว่า ภิกษุในธรรมวินัย ที่ถึงพร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา พึงเข้า สัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจาก สัญญาเวทยิต นิโรธ บ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้
แต่ถ้าเธอยังบรรลอรหันต์ในปัจจุบัน (กายแตกดับเสียก่อน) ย่อมไปเกิดเป็นเทวดาที่มี กวฬิงการาหาร เป็นภักษา (เทวดากามภพที่บริโภคอาหารทิพย์) หรือเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจ แต่พระอุทายีแย้งว่า นั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้น ไม่เป็นฐานะ ที่จะมีได้ แม้พระสารีบุตรจะ กล่าวถึง 3 ครั้ง อุทายีก็แย้งเช่นเดิม
จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ให้ทรงตัดสิน....
พระผู้มีพระภาพตรัสถามอุทายี ซึ่งอุทายีกราบทูลว่า ข้าพระองค์หมายถึง เหล่าเทพชั้นอรูป ที่สำเร็จด้วยสัญญา (ตั้งแต่ชั้นอากาสาขึ้นไป) เมื่ออุทายีตอบเช่นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรอุทายี ไฉนเธอผู้เป็นพาล ไม่ฉลาดจึงได้กล่าวอย่างนั้น เธอเองย่อมเข้าใจ คำที่เธอควรพูด
(คำตอบของอุทายีไม่ถูกต้อง เป็นโมฆบุรุษ)
----------------------------------------------------------
๖. นิโรธสูตร
[๑๖๖] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วย สมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิต นิโรธ บ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าเธอไม่พึงบรรลุอรหัตผลในปัจจุบันไซร้ เธอก็ก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพ ผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึงเหล่า เทพ ผู้มีฤทธิ์ทางใจ บางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจาก สัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง (เข้าถึงเทวดากามภพ)
ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระ อุทายี ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านพระสารีบุตร ข้อที่ภิกษุก้าวล่วง ความเป็นสหายเหล่าเทพ ผู้มีกวฬิงการาหาร เป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพ ผู้มีฤทธิ์ ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญา เวทยิต นิโรธบ้าง นั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้น ไม่เป็นฐานะ ที่จะมีได้ (อุทายีแย้งพระสารรีบุตร)
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓
......
ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้คิดว่า ท่านพระอุทายีคันค้านเราถึง ๓ ครั้ง และภิกษุบางรูป ก็ไม่อนุโมทนา (ภาษิต) เรา
พระสารีบุตรเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตร ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วย สมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้างพึงออก จากสัญญาเวทยิต นิโรธบ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าเธอไม่พึงบรรลุอรหัตผล ในปัจจุบันไซร้ เธอก็ก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพผู้มีกวฬิงการาหารเป็นภักษา เข้าถึง เหล่าเทพ ผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิต นิโรธ บ้าง ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่าน พระอุทายี ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรท่านพระสารีบุตร ข้อที่ภิกษุก้าวล่วงความเป็นสหายเหล่าเทพ ผู้มีกวฬิงการาหาร เป็นภักษา เข้าถึงเหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ทางใจบางเหล่า พึงเข้าสัญญา เวทยิตนิโรธบ้าง พึงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง นั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อนั้น ไม่เป็นฐานะ ที่จะมีได้
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอุทายี ...
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้คิดว่า ท่านพระอุทายีคัดค้านเราถึง ๓ ครั้ง แม้เฉพาะ พระภักตร์ แห่งพระผู้มีพระภาค และภิกษุบางรูปก็ไม่อนุโมทนาต่อเรา ผิฉะนั้น เราพึงนิ่งเสีย ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรได้นิ่งอยู่
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามท่านพระอุทายีว่า
ดูกรอุทายี ก็เธอย่อมหมายถึงเหล่าเทพ ผู้มีฤทธิ์ทางใจเหล่าไหน ท่านพระอุทายี ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์หมายถึงเหล่าเทพชั้นอรูป ที่สำเร็จด้วยสัญญา พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรอุทายี ไฉนเธอผู้เป็นพาล ไม่ฉลาดจึงได้กล่าวอย่างนั้น เธอเอง ย่อมเข้าใจ คำที่เธอควรพูด
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ ไฉน พวกเธอ จักวางเฉย (ดูดาย) ภิกษุผู้เถระซึ่งถูก เบียดเบียน อยู่ เพราะว่าแม้ความ การุณจักไม่มีในภิกษุผู้ฉลาด ซึ่งถูกเบียดเบียนอยู่ ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ... ข้อนั้นเป็น ฐานะ ที่จะมีได้ พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงเสด็จลุกจาก อาสนะ เข้าไปยังพระวิหาร ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน ท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปหาท่าน พระอุปวาณะ แล้วกล่าวว่า
ดูกรท่านอุปวาณะ ภิกษุเหล่าอื่นในพระศาสนานี้ ย่อมเบียดเบียนภิกษุ ทั้งหลาย ผู้เถระ พวกเราจะไม่ถามหาภิกษุเหล่านั้น การที่พระผู้มีพระภาคเสด็จ ออกจาก ที่พักผ่อน ในเวลาเย็น จักทรงปรารภเหตุนั้นยกขึ้นแสดง เหมือนดังที่จะพึง ตรัสกะท่าน อุปวาณะ โดยเฉพาะในเหตุนั้น
ข้อนั้นไม่เป็นของอัศจรรย์ บัดนี้ ความน้อยใจได้เกิดขึ้นแก่พวกเรา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็นแล้ว เสด็จเข้าไปนั่งที่อุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ตบแต่งไว้ แล้วจึงตรัสถามท่านพระอุปวาณะว่า
ดูกรอุปวาณะ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรมเท่าไรหนอแล ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพและเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ ท่านพระอุปวาณะ ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็น ที่รักเป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ ศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลาย ๑
เธอ เป็นพหุสูต ฯลฯ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ๑
เธอเป็นผู้มีวาจาไพเราะ มีถ้อยคำไพเราะ ประกอบด้วยวาจาชาวเมืองอันสละสลวย ไม่มีโทษให้รู้เนื้อความได้แจ่มแจ้ง ๑
เธอเป็นผู้ได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑
เธอย่อม ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ๑
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพและเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์
พ. ดีละๆ อุปวาณะ ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็น ที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ถ้าหากว่าธรรม ๕ ประการนี้ไม่พึงมีแก่ภิกษุผู้เถระไซร้ เพื่อนพรหมจรรย์พึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเธอ โดยความเป็นผู้มีฟันหัก มีผมหงอก มีหนังย่น อะไรกัน แต่เพราะธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้เถระ ฉะนั้นเพื่อนพรหมจรรย์จึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเธอ
(25)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๗๓๒
รับสั่งให้พระโมคคัลลานะกะพระสารีบุตร ทำปัพพาชนียกรรม
(ขับภิกษุออกจากมู่สงฆ์ จากการประพฤติชั่วช้า ประพฤติอนาจาร)
P1330
(ย่อ)
ทรงรับสั่งให้พระสารีบุตร กับ พระโมค ทำปัพพาชนียกรรม (ขับออกจากหมู่)
แก่ภิกษุพวก พระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะ ที่ชนบทกิฏาคีรี เพราะภิกษุพวกนั้น
เป็น สัทธิวิหาริก ของเธอ (เป็นอุปัชฌาย์)
[๖๑๘] ครั้นพระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนภิกษุพวก พระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะ โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ทรงกระทำธรรมีกถา รับสั่งกะ พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ ว่า
ไปเถิดสารีบุตร และโมคคัลลานะ พวกเธอไปถึงชนบท กิฏาคีรีแล้ว จงทำปัพพา ชนียกรรม แก่ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรี เพราะ ภิกษุพวกนั้นเป็น สัทธิวิหาริก ของเธอ
พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ กราบทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า พวกข้า พระพุทธเจ้า จะทำปัพพาชนียกรรม (ขับภิกษุออกจากหมู่) แก่ภิกษุพวก พระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรีได้ด้วย วิธีไรเพราะภิกษุพวกนั้น ดุร้าย หยาบคาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร และโมคคัลลานะ ถ้าเช่นนั้น พวกเธอ จงไป พร้อมด้วยภิกษุหลายๆรูป
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
เหตุที่พระผู้มีพระภาคให้พระสารีบุตร กับพระโมคคัลลานะ ทำปัพพาชนียกรรม มีสาเหตุมาจาก ความประพฤติเลวทราม ประพฤติอนาจาร ....
ทรงสอบถามภิกษุสงฆ์
[๖๑๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ เป็นเจ้าถิ่น ในชนบทกิฏาคีรี เป็นภิกษุอลัชชี เลวทราม ประพฤติอนาจาร เห็นปานดั่งนี้
คือ
ปลูกต้นไม้ดอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นปลูกบ้าง
รดน้ำเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นรดบ้าง
เก็บดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บบ้าง
ร้อยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นร้อยกรองบ้าง
ทำมาลัยต่อก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำมาลัยเรียงก้านเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้ช่อเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้พุ่มเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้เทริดเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้พวงเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
ทำดอกไม้แผงสำหรับประดับอกเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นทำบ้าง
... ประพฤติอนาจารต่างๆ บ้าง เมื่อก่อนชาวบ้านยังมีศรัทธาเลื่อมใส แต่เดี๋ยวนี้เขา ไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใสแล้ว แม้ทานประจำของสงฆ์ก่อนๆ
บัดนี้ทายกทายิกา ได้ตัดขาดแล้วภิกษุ มีศีลเป็นที่รัก ย่อมหลีกเลี่ยงไป ภิกษุเลวทราม อยู่ครอง ดังนี้ จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
(26)
ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้าที่ ๒๘๐
การสนทนาธรรมเรื่องผู้ทำให้ป่างาม (มหาโคสิงคสาลสูตร)
P1028
(ย่อ)
พระสารีบุตร ได้ตั้งหัวข้อถามกับพระเถระว่า
"ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้าย ทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานไร? " (ป่างามด้วยภิกษุ มีคุณสมบัติ เช่นไร)
ความเห็นของ พระเถระสาวก
1.พระอานนท์... ภิกษุเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ
2.พระเรวตะ... ภิกษุเป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น
3.พระอนุรุทธ...ภิกษุ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์
4.พระมหากัสสป..ภิกษุกล่าวสรรเสริญคุณการอยู่ในป่าเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
5.พระโมคคัลลานะ ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย
6.พระสารีบุตร.. ภิกษุยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใด ในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น
พระผู้มีพระภาค
ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยายก็แต่พวกเธอจงฟังคำของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วย ภิกษุ เห็นปานไรนั้น
เราตอบว่า
ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาต ในเวลา หลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรา ยังไม่หมด ความถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพียงใด เราจักไม่ทำลาย บัลลังก์นี้ เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วย ภิกษุเห็นปานนี้ แล
[๓๖๙] สมัย หนึ่ง พระเถระสาวก (๕ รูป) คือ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ และท่านพระอานนท์ ได้ชวนกัน ไปหาท่าน พระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม เมื่อถึงแล้วท่านพระสารีบุตร ได้ตั้งหัวข้อถามกับ ทุกคน ดังนี้ว่า
[๓๗๐] "ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงาม ด้วยภิกษุเห็น ปานไร?" (ป่างามด้วยภิกษุมีคุณสมบัติเช่นไร)
ความเห็นพระอานนท์"ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ... สดับมากแล้ว ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดี แล้วด้วยความเห็น ภิกษุนั้น แสดงธรรมแก่บริษัท ๔ ด้วยบทและพยัญชนะอันราบเรียบ ... ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
[๓๗๑] ความเห็นพระเรวตะ"ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีความหลีกเร้น เป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบเนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน มีฌานอันไม่ห่างเหินแล้ว ประกอบด้วย วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
[๓๗๒] ความเห็นพระอนุรุทธ"ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ย่อมตรวจดูโลก พันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงาม ด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
[๓๗๓] ความเห็นพระมหากัสสป"ภิกษุ ในพระศาสนานี้ กระทำตนเอง และกล่าว สรรเสริญคุณการอยู่ในป่าเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุล เป็นวัตร ถือไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนาน้อย เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้สงัด ไม่คลุกคลี ปรารถความเพียร ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ถึงพร้อม ด้วยวิมุติ ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
[๓๗๔] ความเห็นพระโมคคัลลานะ "ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าว อภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อมเป็นไปด้วย ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
[๓๗๕] ความเห็นพระสารีบุตร"ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปใน อำนาจ และไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใด ในเวลา เช้า-เที่ยง-เย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้น ได้ในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
[๓๗๖] ลำดับนั้น ท่านสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านผู้มีอายุเหล่านั้นดังนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ปฏิภาณตามที่เป็นของตนๆ พวกเราทุกรูปพยากรณ์แล้ว มาไป กันเถิด พวกเราจักเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ
ครั้นแล้ว จักกราบทูลเนื้อความนี้ แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงพยากรณ์ แก่พวกเราอย่างใด พวกเราจัก ทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น. ท่านผู้มี อายุเหล่านั้น รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว...
[๓๘๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิต โดยปริยาย ก็แต่พวกเธอจงฟังคำของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วย ภิกษุเห็น ปานไรนั้น เราตอบว่า
"ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมดความถือมั่น ยังไม่ หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล
(27)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖๕ – ๗๙
มหาปรินิพพานสูตร (๒)
พระสารีบุตรสรรเสริญพระผู้มีพระภาคว่า
สมณะหรือพราหมณ์ ผู้อื่น ไม่มีใครรู้เกินพระองค์
P625
(ย่อ)
เสด็จไปยัง นาฬันทคาม ประทับที่ป่าวาทิกอัมพวัน พระสารีบุตรเข้าเฝ้า ว่าเลื่อมใสพระองค์ เป็นอย่างยิ่ง ไม่มีสมณะ พราหมณ์ ไม่มีใครๆ รู้เกินกว่า พระองค์ไปได้ ซึ่งพระองค์กล่าว (เชิงตำหนิ) ว่าเธอกล่าว อาสภิวาจา (คำกล่าวที่อาจหาญ่) อันยิ่งนี้ เธอถือเอาส่วนเดียว(คิดเอง) ก็ในเรื่องนี้ เธอไม่มีญาณ เพื่อกำหนดรู้ ซึ่งในใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน
ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยังบ้าน นาฬันทคาม
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงบ้านนาฬันทคามแล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใน ป่าวาทิกอัมพวัน ในบ้านนาฬันทคาม นั้น
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับครั้นเข้าไปเฝ้า แล้วถวายบังคม พระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตร นั่งเรียบร้อยแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มี พระภาคอย่างนี้ว่า สมณะ หรือพราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะรู้เกินไปกว่าพระผู้มีพระภาค ในทางสัมโพธิญาณมิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้ ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจา (เรื่องที่ยิ่งใหญ่ คำกล่าวที่อาจหาญ่) อันยิ่งนี้ เธอถือเอาส่วนเดียว บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เลื่อมใสใน พระผู้มีพระภาค อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ ผู้อื่น ซึ่งจะรู้เกินไปกว่า พระผู้มีพระภาค ในทาง พระสัมโพธิญาณ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้
ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งได้มีแล้ว ในอดีตกาลอันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น มีศีลอย่างนี้ แล้ว แม้เพราะเหตุนี้มีธรรมอย่างนี้แล้ว มีปัญญา อย่างนี้แล้ว มีวิหารธรรม อย่างนี้แล้ว มีวิมุตติ อย่างนี้แล้ว แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ
ส. มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งจักมีใน อนาคตกาล อันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักเป็นผู้ มีศีล อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรม อย่างนี้ มีวิมุตติ อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ ฯ
ส.มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
ดูกรสารีบุตร ก็เราผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ อันเธอกำหนด ซึ่งใจ ด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคมีศีลอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญา อย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ
มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็ในเรื่องนี้ เธอไม่มีญาณ เพื่อกำหนดรู้ซึ่งในใจพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ในบัดนี้ อย่างไรเล่า เธอจึงได้ กล่าวอาสภิวาจาอันยิ่งนี้ เธอถือเอาส่วนเดียว บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่ พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า สมณะหรือ พราหมณ์ ผู้อื่น ซึ่งจะรู้เกินไป กว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณเพื่อกำหนดรู้ซึ่งใจในพระ อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน แต่ว่าข้าพระองค์ รู้แนวธรรม ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ปัจจันตนคร ของพระราชามีประตูมั่นคง มีกำแพง และ เสาระเนียดมั่นคง มีประตูช่อง เดียวคนเฝ้าประตูพระนครนั้น เป็นคนฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา ห้ามคนที่ไม่รู้จัก ปล่อยคน ที่รู้จักให้เข้าไปได้ เขาเดินตรวจดูหนทาง ตามลำดับ โดยรอบพระนครนั้น ไม่เห็นที่หัวประจบ แห่งกำแพง หรือช่องกำแพง โดยที่สุดแม้เพียงแมวลอดออกได้ เขาพึงมีความรู้สึกว่า สัตว์ที่ ตัวโต ทุกชนิดจะ เข้าออกนครนี้ ย่อมเข้าออกโดยประตูนี้ แม้ฉันใด แนวแห่งธรรม ก็ฉันนั้น เหมือนกัน
ข้าพระองค์รู้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้มีแล้วในอดีตกาล ทุกพระองค์ ทรงละนิวรณ์ทั้ง ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความ เป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตร สัมมาสัมโพธิญาณ แล้วแม้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ที่จักมีในอนาคตกาลทุกพระองค์ จักทรงละนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้า หมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง จักตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเครื่อง เศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัย ตั้งมั่นดีแล้ว ใน สติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในปาวาทิกอัมพวัน ในบ้านนาฬันทา แม้นั้น ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า อย่างนี้ศีลอย่างนี้ สมาธิอย่างนี้ ปัญญาสมาธิ อันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอัน สมาธิอบรม แล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากอาสวะ โดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
(28)
อริยวินัย หน้า 613
ทรงรับสั่งกะพระสารีบุตร จงทำปัพพาชนียกรรมแก่ภิกษุพวก อัสสชิ ที่ดุร้ายหยาบคาย
เรื่องภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ
P613
[๘๗] พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์… ทรงสอบถาม… ทรงติเตียน… รับสั่งกะ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ว่าไปเถิดสารีบุตร และโมคคัลลานะ พวกเธอไปถึงชนบทกิฏาคีรีแล้ว จงทำปัพพาชนียกรรม แก่ภิกษุพวกอัสสชิ และ ปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรี เพราะภิกษุพวกนั้น เป็นสัทธิวิหาริกของพวกเธอ.
พวกข้าพระพุทธเจ้า จะทำปัพพาชนียกรรม แก่ภิกษุพวกพระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะ จากชนบทกิฏาคีรี ได้ด้วยวิธีไร เพราะภิกษุพวกนั้น ดุร้ายหยาบคาย พระพุทธเจ้าข้า.
ดูกรสารีบุตร และโมคคัลลานะ ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงไปพร้อมด้วยภิกษุหลายๆ รูป.
อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า.
วิธีทำปัพพาชนียกรรม (การโจทก์ประจาน)
[๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลปัพพาชนียกรรม พึงทำ อย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุพวกอัสสชิ และปุนัพพสุกะก่อน ครั้นแล้วพึง ให้พวกเธอให้การ แล้วพึง ปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ จตุตถกรรม วาจา
(29)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ หน้าที่ ๓๗๙ ข้อที่ ๔๙๓ – ๔๙๔
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ พระสารีบุตร กับ โกฏฐิกะ
มหาเวทัลลสูตร
P362
[๔๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิก เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะ* ออกจากที่ หลีกเร้น แล้วจึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร ถึงที่อยู่ ได้ทักทายปราศรัย กับท่าน พระสารีบุตร ครั้นผ่านการทักทายปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้วจึงนั่งอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง.
*(พระไตรปิฏกบางฉบับเขียนเป็น พระมหาโกฏฐิตะ)
เรื่องปัญญากับวิญญาณ
ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตร ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทรามๆดังนี้ ด้วยเหตุ เพียงไร หนอ จึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญาทราม? (คนปัญญาทรามเป็นอย่างไร)
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุบุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้นพระผู้มี พระภาค จึงตรัสว่าเป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดอะไร ไม่รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(ไม่รู้อริยสัจสี่) บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญาทราม.
...........................................................................................................
ท่านพระมหาโกฏฐิกะ ยินดีอนุโมทนาภาษิต ของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละท่านผู้มีอายุ ดังนี้แล้วได้ถามปัญหาต่อไปว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาๆดังนี้ ด้วยเหตุ เพียงไรหนอจึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญา? (คนมีปัญญาในความหมายนี้เป็นอย่างไร)
ส.(สารีบุตร). ดูกรท่านผู้มีอายุ บุคคลรู้ชัดๆเพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญา รู้ชัดอะไร รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคา มินีปฏิปทา เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญา.
............................................................................................................
ก. (โกฏฐิกะ). ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่าวิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุ เพียงไรหนอ จึงตรัสว่าวิญญาณ? (วิญญาณคืออะไร)
สา. ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่าวิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งว่านี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะ ฉะนั้นจึง ตรัสว่า วิญญาณ.
............................................................................................................
ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ปะปนกันหรือแยกจากกัน ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่? (ปัญญากับวิญญาณ ปนกัน หรือแยกกันอย่างไร)
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณ ก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้นธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกันไม่แยก จากกัน ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.
............................................................................................................
ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ปะปนกันไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึงทำ ต่างกันบ้างหรือไม่? (ปัญญากับวิญญาณทำหน้าที่กันอย่างไร)
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกันไม่แยกจากกัน แต่ปัญญาควร เจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้.
............................................................................................................
เรื่อง เวทนา สัญญา และ วิญญาณ
ก. พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเวทนาๆดังนี้ ด้วยเหตุเพียง ไรหนอจึงตรัสว่า เวทนา? (เวทนาคืออะไร)
สา. ธรรมชาติที่รู้ๆเพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เวทนารู้อะไร รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ธรรมชาติย่อมรู้ๆ ฉะนั้นจึงตรัสว่า เวทนา
............................................................................................................
ก. พระผู้มีพระภาคตรัสว่าสัญญาๆดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่า สัญญา? (สัญญาคืออะไร)
สา. ธรรมชาติที่จำๆ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า สัญญา จำอะไร จำสีเขียว บ้าง จำสีเหลืองบ้าง จำสีแดงบ้าง จำสีขาวบ้าง ธรรมชาติย่อมจำๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่าสัญญา
............................................................................................................
ก. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกัน ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?
สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกันผม ไม่อาจ แยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนา รู้สิ่งใด สัญญาก็จำ สิ่งนั้น สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้นธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกันผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่ อันต่างกันได้.
............................................................................................................
ก. พระโยคาวจร* มีมโนวิญญาณ (จิตอันสัมปยุตด้วย รูปาวจรฌานที่ ๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕ พึงรู้สิ่งอะไร?
สา. พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณอันสละแล้ว อันบริสุทธิ์ จากอินทรีย์ ๕
พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้
พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี.
* (พระโยคาวจร คือ ผู้หยั่งลงสู่ความเพียร ทำความเพียรเผากิเลส ผู้เจริญภาวนา)
............................................................................................................
เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ
ก. พระโยคาวจร ย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?
สา. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.
............................................................................................................
ก. ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?
สา. ปัญญา มีความรู้ยิ่ง เป็นประโยชน์
ปัญญา มีความกำหนดรู้ เป็นประโยชน์
ปัญญา มีความละ เป็นประโยชน์.
............................................................................................................
ก. ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร?
สา. ธรรม ๒ ประการ คือ
ความได้สดับ แต่บุคคลอื่น ๑
ความทำในใจ โดยแยบคาย ๑ เป็นปัจจัย
เพื่อความเกิดขึ้นแห่ง สัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความ เกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.
............................................................................................................
ก. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติ เป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไร อนุเคราะห์แล้ว?
สา. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือ เจโตวิมุติ เป็น อานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติ เป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์แล้ว คือ
สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑
อันสุตะอนุเคราะห์ แล้ว ๑
อันสากัจฉา(การสนทนา) อนุเคราะห์
แล้ว ๑
อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑
อันวิปัสสนา อนุเคราะห์แล้ว ๑
สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล
และมีผลคือเจโตวิมุติ เป็นอานิสงส์ ด้วย มีปัญญาวิมุติ เป็นผล และมีผลคือ
ปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว.
............................................................................................................
เรื่องภพและฌาน
ก. ภพมีเท่าไร?
สา. ภพมี ๓ คือ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ.
............................................................................................................
ก. ความเกิดในภพใหม่ในอนาคต มีได้อย่างไร?
สา. ความยินดียิ่งในอารมณ์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกีดกัน
มีตัณหา เป็นเครื่องประกอบไว้ ความเกิดในภพใหม่ในอนาคตมีได้อย่างนี้.
............................................................................................................
ก. ความเกิดในภพใหม่ในอนาคต จะไม่มีอย่างไร?
สา. เพราะความสิ้นแห่งอวิชชา เพราะความเกิด ขึ้นแห่งวิชชาและเพราะความดับ แห่งตัณหาอย่างนี้ความเกิดในภพใหม่ในอนาคตจึงจะไม่มี.
............................................................................................................
ก. ปฐมฌาน เป็นไฉน?
สา. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ฌานนี้พระผู้มีพระภาค ตรัสว่าปฐมฌาน.
............................................................................................................
ก. ปฐมฌาน มีองค์เท่าไร?
สา. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก ๑.. วิจาร ๑.. ปีติ ๑.. สุข ๑.. เอกัคคตา*๑ ย่อมเป็นไปแก่ภิกษุผู้เข้าปฐมฌานมีองค์ ๕ ปฐมฌานมีองค์ ๕ อย่างนี้แล.
* (มีอารมณ์เดียว)
............................................................................................................
ก. ปฐมฌานละองค์เท่าไร ประกอบด้วยองค์เท่าไร?
สา. ปฐมฌานละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เข้าปฐมฌาน ละกามฉันท์ได้แล้ว
ละพยาบาทได้แล้ว ละถีนมิทธะได้แล้ว
ละอุทธัจจ กุกกุจจะได้แล้ว
ละวิจิกิจฉาได้แล้ว
มีวิตก ๑ วิจาร ๑ ปีติ ๑ สุข ๑ เอกัคคตา ๑ เป็นไปอยู่
ปฐมฌานละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล.
............................................................................................................
เรื่องอินทรีย์ ๕
ก. อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ
จักขุนทรีย์ ๑
โสตินทรีย์ ๑
ฆานินทรีย์ ๑
ชิวหินทรีย์ ๑
กายินทรีย์ ๑
มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัย อันเป็นโคจรของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกัน และกัน จะมีอะไรเป็นที่อาศัย และธรรมอะไรรับรู้วิสัย อันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์ เหล่านั้น?
สา. อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอัน เป็นโคจร ของกันและกัน เมื่ออินทรีย์ ๕ เหล่านี้ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้ วิสัยอันเป็น โคจรของกัน และกัน มีใจเป็นที่อาศัย ใจย่อมรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่ง อินทรีย์ เหล่านั้น
............................................................................................................
ก. อินทรีย์ ๕ ประการ คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑
ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ อินทรีย์ ๕ นี้ อาศัยอะไรตั้งอยู่?
สา. อินทรีย์ ๕ ประการนี้นั้น คือจักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑ อาศัยอายุ (ชีวิตินทรีย์) ตั้งอยู่.
............................................................................................................
ก. อายุ อาศัยอะไรตั้งอยู่?
สา. อายุ อาศัยไออุ่น (ไฟที่เกิดแต่กรรม)ตั้งอยู่.
............................................................................................................
ก. ไออุ่น อาศัยอะไรตั้งอยู่?
สา. ไออุ่น อาศัยอายุตั้งอยู่.
............................................................................................................
ก. ผมรู้ทั่วถึงภาษิตของพระสารีบุตรผู้มีอายุในบัดนี้เองอย่างนี้ว่า อายุ อาศัยไออุ่น ตั้งอยู่ และว่าไออุ่นอาศัยอายุตั้งอยู่ แต่ผมจะพึงเห็นความแห่งภาษิต นี้ ได้อย่างไร?
สา. ถ้าเช่นนั้น ผมจักทำอุปมาแก่คุณ เพราะวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมทราบความ แห่งภาษิตได้แม้ด้วยอุปมา เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่ แสงสว่างอาศัย เปลวปรากฏอยู่ เปลวก็อาศัยแสงสว่างปรากฏอยู่ฉันใด อายุอาศัย ไออุ่น ตั้งอยู่ ไออุ่น ก็อาศัยอายุตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน
............................................................................................................
ก. อายุสังขาร (อายุ ชีวิตินทรีย์) กับเวทนียธรรม (เวทนา) เป็นอันเสมอกัน หรือว่า อายุสังขารกับเวทนียธรรมเป็นคนละอย่าง?
สา. อายุสังขารกับเวทนียธรรม ไม่ใช่อันเดียวกัน (ถ้า) อายุสังขารกับ เวทนียธรรม เป็นอันเดียวกันแล้ว การออกจากสมาบัติของภิกษุ ผู้เข้าสัญญาเวทยิต นิโรธ ก็ไม่พึง ปรากฏ แต่เพราะอายุสังขารกับเวทนียธรรมเป็นคนละอย่าง ฉะนั้น การออกจาก สมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงปรากฏอยู่
............................................................................................................
ก.ในเมื่อธรรมเท่าไรละกายนี้ไป กายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนนิ่ง
เหมือน ท่อนไม้ที่ ปราศจากเจตนา?
สา. ในเมื่อธรรม ๓ ประการ คือ อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละ กายนี้ไป กายนี้ก็ถูก ทอดทิ้ง นอนนิ่ง เหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา.
............................................................................................................
ก. สัตว์ผู้ตายทำกาละไป กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มีความแปลกกันอย่างไร?
สา. สัตว์ผู้ตายทำกาละไป มีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขารดับระงับ ไป มีอายุ หมดสิ้นไป มีไออุ่นสงบ มีอินทรีย์แตกทำลาย ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิต นิโรธ มีกายสังขารวจีสังขาร และจิตสังขารดับ ระงับไป แต่มีอายุยังไม่หมดสิ้น มีไอ อุ่น ยังไม่สงบ มีอินทรีย์ผ่องใส สัตว์ผู้ตายทำกาละไป กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิต นิโรธ มีความแปลกกัน ฉะนี้.
............................................................................................................
เรื่องปัจจัยเจโตวิมุติ
ก. ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติ อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
มีเท่าไร?
สา.ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติ อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุขมี ๔ อย่าง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสในก่อนเสียได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ปัจจัยแห่ง สมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มี ๔ อย่าง ดังนี้แล.
............................................................................................................
ก. ปัจจัยแห่งสมาบัติ ที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีเท่าไร?
สา. ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่างคือ การไม่ มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑ การมนสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต ๑ ปัจจัยแห่ง สมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่าง ดังนี้แล.
............................................................................................................
ก. ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของ เจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีเท่าไร?
สา. ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของเจโตวิมุต ิอันไม่มีนิมิต มี ๓ อย่าง คือการไม่ มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑ การมนสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต ๑ อภิสังขาร (ความกำหนดระยะกาล)ในเบื้องต้น ๑ ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของเจโตวิมุติ อันไม่มี นิมิต มี ๓ อย่าง ดังนี้แล.
............................................................................................................
ก. ปัจจัยแห่งความออก ของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีเท่าไร?
สา. ปัจจัยแห่งความออก ของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่างคือการ มนสิการถึง นิมิตทั้งปวง ๑ การไม่มนสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต ๑ ปัจจัยแห่งความออกของ เจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่าง ดังนี้แล.
............................................................................................................
ก. เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีประมาณ เจโตวิมุติมีอารมณ์ ว่า ไม่มีอะไรๆ เจโตวิมุติมี อารมณ์อันว่าง เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิตธรรมเหล่านี้ มีอรรถต่างกัน และมี พยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่เพียง พยัญชนะเท่านั้น?
สา. เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีประมาณ เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มี อะไรๆ เจโตวิมุติ มีอารมณ์อันว่าง เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต ปริยายที่บ่งว่าธรรม เหล่านี้ มีอรรถ ต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกันก็มี และปริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอรรถ อย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้นก็มี.
............................................................................................................
ก็ปริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกันเป็น ไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีจิตสหรคตด้วยเมตตา แผ่ไปสู่ ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไป สู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น และมีจิตสหรคต ด้วยเมตตาอันกว้างขวางเป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไป สู่โลกหมดทุกส่วน เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ในที่ทุกสถานทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้
มีจิตสหรคตด้วยกรุณา ...มีจิตสหรคตด้วยมุทิตา ... มีจิตสหรคต ด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ ที่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่าง นั้นแผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา อันกว้างขวาง เป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกหมด ทุกส่วน เพื่อประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งปวง ในที่ทุก สถาน ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้ นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เจโตวิมุติมี อารมณ์ อันหาประมาณมิได้.
............................................................................................................
เจโตวิมุติมีอารมณ์ว่าไม่มีอะไรๆ เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ล่วงวิญญา ณัญจายตน ฌาน โดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไรๆ อยู่ ดังนี้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เจโตวิมุติมีอารมณ์ว่าไม่มี อะไรๆ
เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดีไปสู่ เรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นว่า สิ่งนี้ว่างจากตนบ้าง จากสิ่งที่เนื่อง ด้วย ตนเอง ดังนี้ นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง
เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโต สมาธิอันไม่มี นิมิต เพราะไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เจโต วิมุตติมี อารมณ์ อันไม่มีนิมิต.
............................................................................................................
ดูกรผู้มีอายุ นี้แลปริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะ ต่างกัน. ก็ปริยายที่บ่งว่า ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียง พยัญชนะ เท่านั้นเป็นไฉน? ราคะอันทำประมาณ โทสะอันทำประมาณ โมหะอันทำ ประมาณ ราคะเป็นต้นนั้น อันภิกษุผู้ขีณาสพ ละเสียแล้ว มีรากอันตัดขาด แล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้ง ดังว่าต้นตาลแล้ว ทำไม่ให้มีต่อไปแล้วมีความไม่เกิดขึ้นต่อไป เป็นธรรมดา
เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ ท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเจโตวิมุติมีอารมณ์ ไม่มี ประมาณ ทั้งหมด เจโตวิมุติอันไม่กำเริบนั้นแล ว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจาก โมหะ ราคะ อันเป็น เครื่องกังวล โทสะอันเป็นเครื่องกังวล โมหะอันเป็นเครื่องกังวล ราคะเป็นต้น นั้น อันภิกษุผู้ขีณาสพละเสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้ง ดังว่า ต้นตาลแล้ว ทำไม่ให้มีต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา.
เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ ท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเจโตวิมุติอันมีอารมณ์ ว่าไม่มี อะไรๆทั้งหมด. เจโตวิมุติอันไม กำเริบนั้นแล ว่างจากราคะว่างจากโทสะ ว่างจาก โมหะ. ราคะอันทำนิมิต โทสะอันทำนิมิต โมหะอันทำนิมิต ราคะเป็นต้นนั้น อันภิกษุผู้ ขีณาสพละเสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลแล้ว ทำไม่ให้มี ต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา.
เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ ท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเจโตวิมุติมีอารมณ์อัน ไม่มีนิมิต เจโตวิมุติอันไม่กำเริบนั้นแล ว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ
ดูกรผู้มีอายุ นี้แลปริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกัน แต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น.
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวแก้ปัญหานี้แล้ว ท่านพระมหาโกฏฐิกะชื่นชมยินดี ภาษิตของ ท่านพระสารีบุตร ฉะนี้แล.
จบ มหาเวทัลลสูตร ที่ ๓
ดูพระสูตรโดยย่อ
(30)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้าที่ ๑๑๐
การปฏิบัติที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ตถาคตก็เคยหลงผิดมาแล้ว
P699
วาทะและทิฏฐิ
[๑๘๖] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ อย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่างนี้ว่า
ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยอาหาร พวกเขากล่าวอย่างนี้ว่า
เราย่อมเยียวยาอัตภาพด้วย [อาหารเท่าเมล็ด] ถั่วเขียว ฯลฯ
พวกเราย่อมเยียวยาอัตภาพด้วย [อาหารเท่าเมล็ด] งา ฯลฯ
พวกเราย่อมเยียวยาอัตภาพด้วย [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสาร ดังนี้
พวกเขาเคี้ยวกิน [อาหารเท่าเมล็ด]
ข้าวสารบ้างข้าวสารป่นบ้าง ดื่มน้ำ [ประมาณเท่าเมล็ด]
ข้าวสาร ย่อมบริโภค [อาหารเท่าเมล็ด]
ข้าวสารที่จัดทำให้แปลก มีประการมิใช่น้อยบ้าง
ดูกรสารีบุตร เราย่อมรู้สึกว่ากิน [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสารเมล็ดเดียวเท่านั้น
ดูกรสารีบุตร เธอจะพึงมีความสำคัญว่า ข้าวสารในสมัยนั้น ชะรอยจะเมล็ด ใหญ่เป็นแน่ ข้อนี้ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น แม้ในกาลนั้น ข้าวสารที่เป็นขนาดใหญ่ นั้นเทียว ก็มีเมล็ดเท่าข้าวสารในบัดนี้ (เมล็ดข้าวในสมัยก่อนกับสมัยนี้มีขนาดเท่ากัน)
ดูกรสารีบุตร เมื่อเรากิน [อาหารเท่าเมล็ด] ข้าวสารเมล็ดเดียวเท่านั้น
ร่างกาย ก็ถึงความซูบผอมยิ่งนัก อวัยวะน้อยใหญ่ของเรา เปรียบเหมือนเถาวัลย์ ที่ข้อมาก และข้อดำ เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
ตะโพกของเรา เปรียบเหมือนรอยเท้าอูฐ เพราะความที่เรามีอาหารน้อย นั่นเอง กระดูก สันหลังของเรา นูนขึ้นเป็นปุ่มๆ เหมือนเถาสะบ้า เพราะความ ที่เรามีอาหารน้อย นั่นเอง
กระดูกซี่โครงของเราเหลื่อมขึ้นเหลื่อมลงเห็นปรากฏ เหมือนกลอนแห่ง ศาลาเก่า เหลื่อมกัน ฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
ดวงตาของเราลึกเข้าไปในเบ้าตา เหมือนเงาดวงดาวปรากฏในบ่อน้ำ อันลึก ฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
หนังศีรษะของเราอันลมถูกต้องแล้ว ก็เหี่ยวแห้ง เปรียบเหมือนน้ำเต้าขม ที่ถูกตัด ขั้ว แต่ยังอ่อน อันลมแดดสัมผัสแล้ว ย่อมเป็นของเหี่ยวแห้งไป ฉะนั้น เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง
ดูกรสารีบุตร เรานั้นแล คิดว่าจะลูบคลำผิวหนังท้อง ก็คลำถูกกระดูก สันหลัง ทีเดียว คิดว่า จะลูบคลำกระดูกสันหลัง ก็คลำถูกผิวหนังท้องทีเดียว
ดูกรสารีบุตร ผิวหนังท้องของเรา ติดกระดูกสันหลัง เพราะความที่เรามีอาหารน้อย นั่นเอง
เรานั้นคิดว่า จะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะก็ซวนล้ม ณ ที่นั้นเอง เพราะความ ที่เรา มีอาหารน้อยนั่นเอง
*เรานั้นเมื่อจะยังร่างกายให้คล่องแคล่วก็ลูบตัวด้วยฝ่ามือ เมื่อเราลูบตัวด้วยฝ่ามือ ขนตั้งหลาย มีรากอันเน่าก็หลุดร่วงจากกาย เพราะความที่เรามีอาหารน้อยนั่นเอง.
*(หนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ แปลไว้ดังนี้ : ราชกุมาร ! ตถาคตหวังจะให้กายมี ความสุขบ้าง จึงลูบไปตามตัวด้วยฝุามือ ขนมีรากอันเน่าหลุดตกลงจากกาย)
ดูกรสารีบุตร ด้วยการปฏิบัติอย่างไม่มีใครสู้แม้นั้น ด้วยปฏิปทาแม้นั้นด้วยความ เพียรที่กระทำได้แสนยากนั้น เราก็ไม่ได้บรรลุธรรมอันยิ่ง ของมนุษย์ ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ
(การอดอาหารที่ทำได้ยากแสนยาก แต่ก็ยังไม่บรรลุธรม จึงเป็นเหตุให้พระองค์ตัดสินใจมา กินอาหารหยาบ คือข้าวสุก และขนมสด อ่านพระสูตรเต็ม)
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?
เพราะมิใช่ปฏิปทาที่เป็นเหตุบรรลุปัญญาอันประเสริฐปัญญานี้แล ที่ซึ่งเราได้ บรรลุแล้ว เป็นของประเสริฐ นำสัตว์ออกจากทุกข์ได้ เป็นทางสิ้นทุกข์โดยชอบ แห่ง บุคคลผู้ กระทำอยู่ตามนั้น.
[๑๘๗] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่างนี้ ว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยสังสารวัฏ ดูกรสารีบุตร ก็สังสารวัฏที่เรา ไม่เคย ท่องเที่ยวไป โดยกาลยืดยาวช้านานนี้ เว้นแต่เทวโลกชั้นสุทธาวาส เป็นสิ่งที่ หาไม่ได้ง่าย นัก ดูกรสารีบุตร ถ้าเราพึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกชั้นสุทธาวาส เราก็จะ ไม่พึงมาสู่โลกนี้ อีก.
[๑๘๘] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่าง นี้ว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยอุบัติ ดูกรสารีบุตร ความอุบัติที่เราไม่เคย เข้าถึงแล้ว โดยกาลยืดยาวช้านานนี้ เว้นจากเทวโลกชั้นสุทธาวาส เป็นของหาไม่ได้ ง่ายนัก ดูกรสารีบุตร ถ้าเราพึงอุบัติในเทวโลกชั้นสุทธาวาส เราก็ไม่พึงมาสู่โลกนี้อีก.
[๑๘๙] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่างนี้ว่าความหมดจดย่อมมีได้ด้วยอาวาส ดูกรสารีบุตร ก็อาวาสที่เราไม่เคยอยู่ อาศัยแล้ว โดยกาลยืดยาวช้านานนี้ เว้นจากเทวโลกชั้นสุทธาวาส เป็นของหาไม่ได้ ง่ายนัก ดูกรสารีบุตร ถ้าเราพึงอยู่อาศัยในเทวโลกชั้นสุทธาวาส เราก็ไม่พึงมาสู่โลก นี้อีก.
[๑๙๐] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่างนี้ ว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยการบูชายัญ ดูกรสารีบุตร ก็ยัญที่เราไม่เคย บูชาแล้ว โดยกาลยืดยาวช้านานนี้ เป็นของหาไม่ได้ง่ายนัก แต่ยัญนั้นอันเราเป็น พระราชา ผู้เป็น กษัตริย์ได้มูรธาภิเษก หรือเป็นพราหมณ์ผู้มหาศาลจึงบูชา.
[๑๙๑] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่างนี้ว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยการบำเรอไฟ ดูกรสารีบุตร ก็ไฟที่เราไม่เคย บำเรอแล้ว โดยกาลยืดยาวช้านานนี้ เป็นของหาไม่ได้ง่ายนัก แต่ไฟนั้น อันเราเป็น พระราชาผู้เป็น กษัตริย์ได้มูรธาภิเษก หรือเป็นพราหมณ์ผู้มหาศาลจึงบำเรอ.
[๑๙๒] ดูกรสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ อย่างนี้ ว่า บุรุษรุ่นหนุ่มผู้เจริญนี้ มีเกศาดำสนิท ประกอบด้วยวัยหนุ่มอันเจริญ ประกอบด้วย ปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งสมกับวัยต้น ต่อมา บุรุษผู้เจริญนี้ เป็นคนแก่ เป็นคนเฒ่า ถือเอาซึ่งความเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยโดยลำดับ คือ มีอายุถึง ๘๐ ปีบ้าง ๙๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง โดยชาติ ย่อมเสื่อมจากปัญญาความ เฉลียวฉลาดนั้น ในภายหลัง
ดูกรสารีบุตร ข้อนี้ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ก็บัดนี้เราเป็นคนแก่ เป็นคนเฒ่า ถือเอาซึ่ง ความเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยโดยลำดับ อายุของเราแปดสิบปีเข้านี่แล้ว สาวก บริษัททั้ง ๔ ของเราในธรรมวินัยนี้ มีอายุถึงร้อยปี เป็นอยู่ได้ตั้งร้อยปี ประกอบด้วย สติ คติ ธิติ อันยอดเยี่ยม และปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง
ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนนักธนูมั่นคง ได้รับการฝึกหัดแล้ว ช่ำชอง ชำนิ ชำนาญ เคยแสดงฝีมือมาแล้ว พึงยิงงวงตาลโดยขวางให้ตกลง ด้วยลูกศร ขนาดเบา โดย ง่ายดาย แม้ฉันใด
สาวกบริษัท ๔ ของเราเป็นผู้มีสติอันยิ่ง มีคติอันยิ่ง มีปัญญา ทรงจำ อันยิ่ง ประกอบ ด้วยปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ฉันนั้น
พวกเธอพึงถามปัญหาอิง สติปัฏฐาน ๔ กะเรา เราถูกถามปัญหาแล้วๆ พึงพยากรณ์ แก่พวกเธอ พวกเธอพึงทรงจำคำที่เราพยากรณ์แล้ว โดยเป็นคำ พยากรณ์ มิได้สอบถาม เราให้ยิ่งกว่า ๒ ครั้ง เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม เว้นจาก การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับและบรรเทาความเมื่อยล้า
ดูกรสารีบุตร ธรรมเทศนาของตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น บทและพยัญชนะ แห่งธรรม ของ ตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น ความแจ่มแจ้งแห่งปัญหาของตถาคตนั้น ไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อเป็น ดังนั้นสาวกบริษัท ๔ ของเราเหล่านั้น จึงมีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี เป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี พึงกระทำกาละโดยล่วงไปแห่ง ๑๐๐ ปี
ดูกรสารีบุตร ถ้าแม้พวกเธอจะพึงหามเราไปด้วยเตียงน้อย ความเป็นอย่างอื่น แห่งปัญญา เฉลียวฉลาดของตถาคต ย่อมไม่มีเลย
ดูกรสารีบุตร บุคคลเมื่อจะกล่าว โดยชอบพึงกล่าวคำใดว่า สัตว์ผู้มีความไม่ ลุ่มหลง เป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ชนเป็นมาก เพื่อความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ พึงกล่าว คำนั้น กะเราเท่านั้นว่าสัตว์ ผู้มีความไม่ลุ่มหลงเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่ชนเป็น อันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์ โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้. |