เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  นฬกปานสูตร เรื่องที่พระสารีบุตรเตือนภิกษุ พระผู้มีพระภาคตรัสชม 511
 
เนื้อหาในพระสูตรนี้พอสังเขป
ผู้ใดไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ
ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม กลางคืนหรือกลางวัน ของผู้นั้นย่อมผ่านพ้นไป
ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อม ในกุศล ธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ ความเจริญเลย

 
 
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๐๗

นฬกปานสูตรที่ ๑



           [๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ ได้เสด็จถึงนิคมของชาวโกศลชื่อว่า นฬกปานะ ทราบมาว่า พระผู้มี พระภาค ประทับอยู่ที่ ปลาสวัน ใกล้นฬกปานนิคมนั้น ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ผู้อันหมู่ ภิกษุแวดล้อม ประทับนั่ง แล้วในวันอุโบสถ

           ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงภิกษุทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจ หาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา สิ้นส่วนแห่งราตรีเป็นอันมาก ทรงตรวจดูภิกษุ สงฆ์ ผู้นิ่งเงียบอยู่ แล้วตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า

           ดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถา เพื่อภิกษุ ทั้งหลาย จงแจ่มแจ้งกะเธอ เราเมื่อยหลัง จักเอนหลัง ท่านพระสารีบุตรกราบทูล รับพระผู้มีพระ ภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิสี่ชั้น ทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัส เบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงกระทำ อุฏฐานสัญญา* ไว้ในพระทัย
*(กำหนดใจว่าจะลุกขึ้น)

           ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุผู้มีอายุ ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตร กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ไม่มี โอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืน หรือกลางวัน ของผู้นั้นย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ ความเจริญเลย ฯ

           ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ ในกาลปักษ์ ย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์ย่อมเสื่อมจากวรรณะ ย่อมเสื่อมจากมณฑลย่อม เสื่อมจาก แสงสว่าง ย่อมเสื่อมจากด้านยาวและด้านกว้าง ฉันใด ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มี ศรัทธา ใน กุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริไม่มี โอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรม ทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน


ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
คำว่าบุคคล ผู้ไม่มีศรัทธานี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่มีหิรินี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่มีโอตตัปปะนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้เกียจคร้านนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีปัญญาทรามนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มักโกรธนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ผูกโกรธนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีความปรารถนาลามกนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีมิตรชั่วนี้ เป็นความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้เป็นมิจฉาทิฐินี้ เป็นความเสื่อม ฯ

           ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งมีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืน หรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเสื่อม เลย

           ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ ในปักษ์ ข้างขึ้นย่อม ผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้น ย่อมเจริญด้วยวรรณะ ย่อมเจริญด้วย มณฑล ย่อมเจริญด้วยแสงสว่าง ย่อมเจริญด้วยด้านยาวและด้านกว้างฉันใดผู้ใดผู้หนึ่ง มีศรัทธา ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ มีโอตตัปปะมีวิริยะ มีปัญญาในกุศลธรรม ทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเจริญ ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเสื่อมเลย ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
คำว่าบุคคล ผู้มีศรัทธานี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีหิรินี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีโอตตัปปะนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ปรารภ ความเพียรนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้มีปัญญานี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่โกรธนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ไม่ผูกโกรธนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้ปรารถนาน้อยนี้ ไม่ใช่ความเสื่อม
คำว่าบุคคล ผู้เป็นสัมมาทิฐินี้ ไม่ใช่ความเสื่อม

           ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสชมท่านพระสารีบุตรว่า ดีละ ดีละสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่าน พ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายไม่หวังได้ความเจริญเลย

           ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ในกาลปักษ์ ย่อมผ่าน พ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเสื่อมจากวรรณะ ย่อมเสื่อมจากมณฑล ย่อมเสื่อม จากแสงสว่าง ย่อมเสื่อม จากด้านยาว และกว้างฉันใด

           ดูกรสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธา ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ฯลฯ ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลาย กลางคืนหรือ กลางวันของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้น พึงหวังได้ ความเสื่อม ไม่หวังได้ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
....................................................................................................

นฬกปานสูตรที่ ๒


           [๖๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปลาสวัน ในนฬกปานนิคม สมัยนั้นแล พระผู้มี พระภาคอันหมู่ภิกษุแวดล้อม ประทับนั่งแล้วในวันอุโบสถ พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจง ภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาสิ้นส่วนแห่งราตรี เป็นอันมาก ทรงตรวจดูภิกษุสงฆ์ผู้นิ่งเงียบ อยู่แล้ว ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่าดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาเพื่อภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้ง กะเธอเรา เมื่อยหลัง จักเอนหลัง

           ท่านพระสารีบุตรทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ปูผ้า สังฆาฏิ สี่ชั้นแล้ว สำเร็จสีหไสยาโดยพระปรัศว์เบื้องขวาซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงกระทำอุฏฐานสัญญาไว้ในพระทัย

           ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น กล่าว รับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

           ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีวิริยะ ไม่มีปัญญา ไม่มีการเงี่ยโสต ลงฟังธรรม ไม่มีการทรงจำ ธรรมไว้ ไม่มีการพิจารณา เนื้อความ ไม่มีการปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม ไม่มีความ ไม่ประมาทในกุศลธรรม ทั้งหลาย กลางคืนหรือกลางวันของผู้นั้นย่อมผ่าน พ้นไป ผู้นั้นพึงหวังได้ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเจริญเลย ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือน กลางคืน หรือกลางวันของพระจันทร์ ในปักษ์ ข้างแรม ย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์ย่อม เสื่อมจากวรรณะ ... ฉันใด ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มี ศรัทธาในกุศลธรรม ทั้งหลาย ...ไม่หวังได้ ความเจริญเลย ฉันนั้นเหมือนกัน

           ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริ มีโอตตัปปะ มีวิริยะ มีปัญญา มีการเงี่ยโสตลงฟังธรรม มีการทรงจำธรรมไว้มีการ พิจารณาเนื้อความ มีการปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรม มีความไม่ประมาทในกุศลธรรม ทั้งหลาย กลางคืน หรือกลางวัน ของผู้นั้น ย่อมผ่านพ้นไป ผู้นั้นพึงหวังความเจริญใน กุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ ความเสื่อมเลย ดูกรอาวุโสทั้งหลายเปรียบเหมือน กลางคืน หรือกลางวันของ พระจันทร์ในปักษ์ข้างขึ้น ย่อมผ่านพ้นไปพระจันทร์นั้นย่อม เจริญด้วยวรรณะ ... ฉันใด

           ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวัง ได้ความ เสื่อมเลย ฉันนั้น เหมือนกันฯ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นแล้ว ตรัสชม ท่านพระสารีบุตรว่า ดีละ ดีละสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่งไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ทั้งหลาย ไม่หวังได้ความเจริญ เลย ดูกรสารีบุตรเปรียบเหมือนกลางคืน หรือ กลางวันของ พระจันทร์ ในปักษ์ข้างแรม ย่อมผ่านพ้นไป ระจันทร์ ย่อมเสื่อมจาก วรรณะ ... ฉันใด

           ดูกรสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่หวังได้ ความเจริญเลย ฉันนั้น เหมือนกัน ฯ ดูกรสารีบุตร ผู้ใดผู้หนึ่ง มีศรัทธาในกุศลธรรม ทั้งหลาย ... ไม่หวังได้ ความเสื่อมเลย ดูกรสารีบุตร เปรียบเหมือนกลางคืนหรือ กลางวัน ของพระจันทร์ ในปักษ์ข้างขึ้น ย่อมผ่านพ้นไป พระจันทร์นั้นย่อมเจริญด้วย วรรณะ ... ฉันใดผู้ใดผู้หนึ่ง มีศรัทธาใน กุศลธรรมทั้งหลาย ... ไม่หวัง ได้ความเสื่อม เลย ฉันนั้นเหมือนกัน

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์