พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖๕ – ๗๙
มหาปรินิพพานสูตร (๒)
[๗๖ - ๘๕]
1
(เสด็จไปยัง อัมพลัฏฐิกา)
[๗๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยใน พระนคร ราชคฤห์ แล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยัง อัมพลัฏฐิกา
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มี พระภาคพร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึง อัมพลัฏฐิกาแล้ว ได้ยินว่าพระผู้มี พระภาคเสด็จประทับ ณ พระตำหนักหลวง ในอัมพลัฏฐิกาแม้นั้น ทรงกระทำธรรมีกถา อันนี้แหละเป็นอันมาก แก่พวกภิกษุว่าอย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา สมาธิ อันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
[๗๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยในอัมพลัฏฐิกา แล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
........................................................................................................................................................
2
(เสด็จไปยังบ้าน นาฬันทคาม)
ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยังบ้าน นาฬันทคาม
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงบ้านนาฬันทคามแล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใน ป่าวาทิกอัมพวัน ในบ้านนาฬันทคาม นั้น
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับครั้นเข้าไปเฝ้า แล้วถวายบังคม พระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตร นั่งเรียบร้อยแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มี พระภาคอย่างนี้ว่า สมณะ หรือพราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะรู้เกินไปกว่าพระผู้มีพระภาค ในทางสัมโพธิญาณมิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้ ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจา (เรื่องที่ยิ่งใหญ่ คำกล่าวที่อาจหาญ่) อันยิ่งนี้ เธอถือเอาส่วนเดียว บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ ผู้อื่น ซึ่งจะรู้เกินไปกว่า พระผู้มีพระภาคในทาง พระสัมโพธิญาณ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้
ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งได้มีแล้ว ในอดีตกาลอันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น มีศีลอย่างนี้ แล้ว แม้เพราะเหตุนี้มีธรรมอย่างนี้แล้ว มีปัญญา อย่างนี้แล้ว มีวิหารธรรม อย่างนี้แล้ว มีวิมุตติ อย่างนี้แล้ว แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ
ส. มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งจักมีใน อนาคตกาล อันเธอกำหนดซึ่งใจด้วยใจแล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จักเป็นผู้ มีศีล อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรม อย่างนี้ มีวิมุตติ อย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ
ส.มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรสารีบุตร ก็เราผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ อันเธอกำหนด ซึ่งใจ ด้วยใจ แล้วรู้ว่า พระผู้มีพระภาคมีศีลอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ แม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้หรือ
มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
ดูกรสารีบุตร ก็ในเรื่องนี้ เธอไม่มีญาณ เพื่อกำหนดรู้ซึ่งในใจพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ในบัดนี้ อย่างไรเล่า เธอจึงได้ กล่าวอาสภิวาจาอันยิ่งนี้ เธอถือเอาส่วนเดียว บันลือสีหนาทว่า ข้าแต่ พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า สมณะหรือ พราหมณ์ผู้อื่น ซึ่งจะรู้เกินไป กว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ มิได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่มีอยู่ในบัดนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณเพื่อกำหนดรู้ซึ่งใจในพระ อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน แต่ว่าข้าพระองค์ รู้แนวธรรม ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ปัจจันตนคร ของพระราชามีประตูมั่นคง มีกำแพง และ เสาระเนียดมั่นคง มีประตูช่อง เดียวคนเฝ้าประตูพระนครนั้น เป็นคนฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา ห้ามคนที่ไม่รู้จัก ปล่อยคน ที่รู้จักให้เข้าไปได้ เขาเดินตรวจดูหนทาง ตามลำดับ โดยรอบพระนครนั้น ไม่เห็นที่หัวประจบ แห่งกำแพง หรือช่องกำแพง โดยที่สุดแม้เพียงแมวลอดออกได้ เขาพึงมีความรู้สึกว่า สัตว์ที่ ตัวโต ทุกชนิดจะ เข้าออกนครนี้ ย่อมเข้าออกโดยประตูนี้ แม้ฉันใด แนวแห่งธรรม ก็ฉันนั้น เหมือนกัน
ข้าพระองค์รู้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้มีแล้วในอดีตกาล ทุกพระองค์ ทรงละนิวรณ์ทั้ง ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความ เป็นจริง ตรัสรู้พระอนุตร สัมมาสัมโพธิญาณ แล้วแม้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ที่จักมีในอนาคตกาลทุกพระองค์ จักทรงละนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้า หมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง จักตรัสรู้
พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต กระทำปัญญาให้ทุรพล มีพระทัย ตั้งมั่นดีแล้ว ใน สติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ตรัสรู้พระ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในปาวาทิกอัมพวัน ในบ้านนาฬันทา แม้นั้น ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า อย่างนี้ศีลอย่างนี้ สมาธิอย่างนี้ ปัญญาสมาธิ อันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอัน สมาธิอบรม แล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากอาสวะ โดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
[๗๘] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัย ในบ้าน นาฬันทคาม แล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
3
(
เสด็จไปยัง ปาฏลิคาม)
ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยัง ปาฏลิคาม
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มี พระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงปาฏลิคามแล้วพวกอุบาสก ชาว ปาฏลิคามได้สดับข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จถึงปาฏลิคามแล้ว จึงพากันเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้า แล้วถวายบังคม พระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นพวกอุบาสก ชาวปาฏลิคาม นั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับเรือนสำหรับพักของพวกข้า พระองค์เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพลำดับนั้น พวกอุบาสก ชาวปาฏลิคาม ทราบการทรงรับของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงลุกจากอาสนะถวาย บังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ กลับไปยังเรือนสำหรับพัก ครั้นเข้าไปแล้ว ปูลาดเรือนสำหรับพักอย่างเรียบร้อยทั่วทุกแห่ง แต่งตั้งอาสนะ ตั้งหม้อน้ำไว้ ตามประทีปไว้แล้ว จึงกลับเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้นพวกอุบาสก ชาวปาฏลิคามยืนเรียบร้อยแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พวกข้า พระองค์ปูลาดเรือนสำหรับพักอย่างเรียบร้อย ทั่วทุกแห่งแล้ว แต่งตั้งอาสนะไว้ ตั้งหม้อน้ำไว้ ตามประทีปไว้แล้ว ขอพระผู้มี พระภาคจงทรงทราบ กาลอันควรในบัดนี้เถิด
ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ เสด็จไปยังเรือนสำหรับพัก ครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว ทรงล้างพระบาทแล้ว เสด็จเข้าไปยังเรือน สำหรับพักประทับนั่งพิงเสากลาง บ่ายพระพักตร์ ไปทางบูรพทิศ ฝ่ายภิกษุสงฆ์ล้างเท้า แล้วเข้าไปยังเรือนสำหรับพัก นั่งพิงฝาด้านหลัง บ่ายหน้า ไปทางบูรพทิศแวดล้อม พระผู้มีพระภาคส่วนพวกอุบาสกชาวปาฏลิคาม ล้างเท้าแล้ว เข้าไปยังเรือนสำหรับพัก นั่งพิงฝาด้านหน้า บ่ายหน้าไปทางปัจฉิมทิศแวดล้อม พระผู้มีพระภาค
[๗๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพวกอุบาสกชาวปาฏลิคามว่า ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล ๕ ประการเหล่านี้ ๕ ประการ เป็นไฉน
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้วในโลกนี้ ย่อมเข้าถึง ความเสื่อม แห่ง โภคะ อย่างใหญ่อันมีความประมาทเป็นเหตุ อันนี้เป็นโทษ ข้อที่หนึ่ง แห่งศีลวิบัติ ของคนทุศีล
อีกข้อหนึ่ง เกียรติศัพท์อันชั่วของคนทุศีล มีศีลวิบัติแล้วย่อมกระฉ่อนไป อันนี้เป็น โทษข้อที่สองแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล
อีกข้อหนึ่งคนทุศีล มีศีลวิบัติแล้วจะเข้าไปสู่บริษัทใดๆคือขัตติยบริษัท พราหมณ์ บริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท ย่อมครั่นคร้าม เก้อเขิน อันนี้เป็นโทษข้อที่สาม แห่งศีลวิบัติของคนทุศีล
อีกข้อหนึ่ง คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว ย่อมหลงกระทำกาละอันนี้เป็นโทษ ข้อที่สี่แห่ง ศีลวิบัติของคนทุศีล
อีกข้อหนึ่ง คนทุศีล มีศีลวิบัติแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก อันนี้เป็นโทษข้อที่ห้าแห่งศีลวิบัติของคน ทุศีล
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีล ๕ ประการเหล่านี้แล
[๘๐] ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ๕ ประการ เหล่านี้ ๕ ประการเป็นไฉน
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย คนมีศีลถึงพร้อมแล้วด้วยศีลย่อมได้รับ กองโภคะ ใหญ่ อันมีความไม่ประมาทเป็นเหตุ อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่หนึ่งแห่งศีลสมบัติ ของ คนมีศีล
อีกข้อหนึ่ง เกียรติศัพท์อันงามของคนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อม ขจรไป อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่สอง แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล
อีกข้อหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล จะเข้าไปสู่บริษัทใดๆ คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท ย่อมองอาจ ไม่เก้อเขิน อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่สาม แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล
อีกข้อหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อมไม่หลงทำกาละ อันนี้เป็น อานิสงส์ข้อที่สี่ แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล
อีกข้อหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกาย แตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ห้า แห่งศีลสมบัติ ของคน มีศีล
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ๕ ประการเหล่านี้ แล
[๘๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังพวกอุบาสกชาวปาฏลิคามให้เห็น แจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีแล้ว ทรงส่งไปด้วย พระดำรัสว่า
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ราตรีสว่างแล้ว พวกท่านจงทราบกาลอันควร ในบัดนี้เถิด พวกอุบาสกชาวปาฏลิคามทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคกระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ลำดับนั้น เมื่ออุบาสก ชาวปาฏลิคาม หลีกไปแล้ว ไม่นานพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ สุญญาคาร แล้ว
........................................................................................................................................................
4
(เสด็จไปยัง สุญญาคาร)
พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ สุญญาคาร
[๘๒] ก็สมัยนั้น สุนีธะ และ วัสสการะ อำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐ สร้าง เมืองในปาฏลิคามเพื่อป้องกันพวกเจ้าวัชชี
ก็สมัยนั้นเทวดาเป็นอันมากนับเป็น พันๆ หวงแหน ที่ในปาฏลิคาม
เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ หวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชา และ ราชมหา อำมาตย์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ก็น้อมไปเพื่อจะสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
เทวดาชั้นกลาง หวงแหนที่ในส่วนใด
จิตของพระราชา และ พระราชมหา อำมาตย์ชั้นกลาง ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
เทวดาชั้นต่ำ หวงแหนที่ในส่วนใด
จิตของพระราชา และ ราชมหาอำมาตย์ ชั้นต่ำ ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นเทวดาเหล่านั้น นับเป็นพันๆหวงแหนที่ใน ปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นในเวลา ปัจจุสสมัย (เช้ามึด) แห่งราตรี ตรัสเรียกพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ใครหนอจะสร้างเมืองในปาฏลิคาม
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สุนีธะและวัสสการะอำมาตย์ผู้ใหญ่ ในมคธรัฐ
จะสร้าง เมืองปาฏลิคาม เพื่อป้องกันพวกเจ้าวัชชี
ดูกรอานนท์ สุนีธะ และวัสสการะ อำมาตย์ผู้ใหญ่ ในมคธรัฐจะสร้างเมือง ใน ปาฏลิคาม เพื่อป้องกันพวกเจ้าวัชชี ก็เปรียบเหมือนท้าวสักกะทรงปรึกษากับ พวก เทวดาชั้นดาวดึงส์ ในที่นี้เราได้เห็นเทวดาเป็นอันมากนับเป็นพันๆ หวงแหนที่ใน ปาฏลิคามด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่หวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและราชมหา อำมาตย์ ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ ในส่วนนั้น
เทวดาชั้นกลางหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ ชั้นกลาง ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
เทวดาชั้นต่ำหวงแหนที่ในส่วนใด จิตของพระราชาและราชมหาอำมาตย์ชั้นต่ำ ก็น้อมไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในส่วนนั้น
ดูกรอานนท์ ที่นี้จักเป็นที่อยู่อันประเสริฐ เป็นทางค้าขาย เป็นนครอันเลิศ ชื่อว่า ปาฏลีบุตร เป็นที่แก้ห่อ ภัณฑะ นครปาฏลีบุตร จักมีอันตราย ๓ ประการ คือ ไฟ น้ำ หรือ การยุให้แตกพวก
[๘๓] ครั้งนั้น สุนีธะและวัสสการะ อำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐ เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้น ผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญขอท่านพระโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับ ภัตของข้า พระองค์เพื่อเสวยในวันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ ลำดับนั้น สุนีธะและ วัสสการะอำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐ ทราบว่าพระผู้มีพระภาค ทรงรับแล้ว จึงเข้าไปยัง ที่พักของตนๆ ครั้นแล้วจัดแต่งของเคี้ยว ของฉันอัน ประณีตในที่พัก ของตนๆ แล้วให้ ทูลเวลาแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ผู้เจริญได้เวลา แล้ว ภัตตาหาร สำเร็จแล้ว
ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปยังที่พักของ สุนีธะและวัสสการะ อำมาตย์ผู้ใหญ่ใน มคธรัฐ ประทับนั่งบนอาสนะ ที่เขาจัดถวาย สุนีธะและวัสสการะ อำมาตย์ผู้ใหญ่ ในมคธรัฐ อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุขให้อิ่มหนำ เพียงพอด้วยของเคี้ยวของฉัน อันประณีต ด้วยมือของตนๆ
ครั้นพระผู้มี พระภาคเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์จากบาตร แล้ว สุนีธะ และ วัสสการะ ถืออาสนะต่ำนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อสุนีธะและ วัสสการะ อำมาตย์ผู้ใหญ่ ในมคธรัฐ นั่งเฝ้าอยู่อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรง อนุโมทนา ด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
[๘๔] บัณฑิตยชาติ สำเร็จการอยู่ในประเทศใด ย่อมเชื้อเชิญท่า ผู้มีศีล ผู้สำรวมแล้วประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริโภคในประเทศนั้น ได้อุทิศทักษิณาทานให้แก่ เทวดาที่มีอยู่ ณ ที่นั้น เทวดาเหล่านั้น ได้รับบูชาแล้ว ย่อมบูชาตอบเขาได้รับความ นับถือแล้ว ย่อมนับถือตอบเขา แต่นั้นย่อมอนุเคราะห์เขา เหมือนมารดาอนุเคราะห์ บุตรซึ่งเกิดแต่อกฉะนั้น บุรุษผู้อันเทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมเห็นความเจริญ ทุกเมื่อ
[๘๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนากะสุนีธะ และวัสสการะอำมาตย์ ผู้ใหญ่ ในมคธรัฐด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว ก็สมัยนั้น สุนีธะและ วัสสการะอำมาตย์ผู้ใหญ่ในมคธรัฐ ต่างตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปเบื้อง พระปฤษฎางค์ ด้วยคิดว่าวันนี้
พระสมณโคดม จักเสด็จออกทางประตูใด ประตูนั้น จัก มีนามว่าประตูโคดม จักเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาทางท่าใด ท่านั้นจักมีนามว่า ท่าโคดม
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จ ออกทางประตูใด ประตูนั้นได้นามว่า ประตู โคดมแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยังแม่น้ำคงคาแล้ว
ก็สมัยนั้นแม่น้ำคงคา เต็มเปี่ยมเสมอฝั่ง กาดื่มกินได้ พวกมนุษย์ผู้ประสงค์ จะข้าม ฟาก บางพวกเที่ยวหาเรือ บางพวกเที่ยวหาแพ บางพวกผูกทุ่น
5
(พระผู้มีพระภาคกับภิกษุหายตัว)
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค กับภิกษุสงฆ์ทรงหายไป ณ ที่ฝั่งนี้แห่งแม่น้ำคงคา ไปปรากฏ ตน ที่ฝั่งโน้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ไว้ หรือคู้แขนที่ เหยียด ออกแล้ว ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรมนุษย์เหล่านั้น ผู้ประสงค์จะข้ามฟาก บางพวก เที่ยวหาเรือ บางพวกเที่ยวหาแพ บางพวก ผูกทุ่นอยู่ พระองค์ทรงทราบ เนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
เหล่าชนที่จะข้ามสระ คือ ตัณหาอันเวิ้งว้าง ต้องสร้างสะพานคือ (อริยมรรค) พ้นเปือกตม ก็และขณะที่ชนกำลังผูกทุ่นอยู่หมู่ชนผู้มี ปัญญาข้ามได้แล้ว
จบภาณวารที่หนึ่ง ฯ
|