พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎ หน้าที่ ๘๗ -๑๑๑
มหาปรินิพพานสูตร (๙)
1
(เสด็จเมืองปาวา บ้านนายจุนท)
[๑๑๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในโภคนคร ตามความพอพระทัย แล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยังเมืองปาวา
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงเมืองปาวาแล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตร ในเมืองปาวานั้น
ครั้งนั้น นายจุนท กัมมารบุตร ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึง เมืองปาวา ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเราในเมืองปาวา จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไป เฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้น นายจุนทกัมมารบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา
2
(นายจุนทเตรียมภัตตาหาร มีสุกรมัทวะ และเป็นภัตมื้อสุดท้าย)
ลำดับนั้น นายจุนท กัมมารบุตร อันพระผู้มีพระภาคให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตของ ข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงรับด้วยดุษณีภาพ
ลำดับนั้น นายจุนท กัมมารบุตร ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงรับแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ หลีกไปแล้ว นายจุนท กัมมารบุตร ให้ตระเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีต และ สุกรมัททวะ* เป็นอันมากในนิเวศน์ ของตน โดยล่วงราตรีนั้นไป ให้กราบทูลกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว
*(สุกรมัททวะ ตีความกันว่าเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ขึ้นมากในระแวกนั้น)
ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วย ภิกษุ สงฆ์เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายจุนทกัมมารบุตร ประทับนั่ง บนอาสนะ ที่เขาจัดถวาย ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วรับสั่งกะนายจุนท กัมมารบุตรว่า
3
(ดูกรนายจุนทะ ท่านจงฝัง สุกรมัททวะ ที่ยังเหลือเสียในหลุม)
ดูกรนายจุนทะ ท่านจง อังคาส* เราด้วย สุกรมัททวะ ที่ท่านตระเตรียมไว้ จง อังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยของเคี้ยวของฉัน อย่างอื่นที่ท่านตระเตรียมไว้ ** นายจุนท กัมมารบุตร ทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงอังคาสพระผู้มีพระภาค ด้วยสุกรมัททวะ ที่ตนตระเตรียมไว้ อังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยของเคี้ยวของฉันอย่างอื่น ที่ตนตระเตรียมไว้
* (อังคาส แปลว่าถวายอาหารพระ)
** (พระผู้มีพระภาคให้นายจุนท ถวาย สุกรมัททวะ แด่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น)
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า
ดูกรนายจุนทะ ท่านจงฝัง สุกรมัททวะ ที่ยังเหลือเสียในหลุม
เรายังไม่เห็นบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ เทวดาและ มนุษย์ซึ่งบริโภคสุกรมัททวะนั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยไป ด้วยดีได้นอกจากตถาคต
นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงฝัง สุกรมัททวะ ที่ยังเหลือเสียในหลุม แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปเฝ้า แล้วถวาย บังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคยังนายจุนทกัมมารบุตร ผู้นั่งเรียบร้อย แล้วให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จหลีกไป
4
(เกิดอาพาธอย่างร้ายแรง ลงพระโลหิต ใกล้จะนิพพาน)
ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหาร ของนายจุนทกัมมารบุตร แล้ว ก็เกิดอาพาธอย่างร้ายแรง มีเวทนากล้า เกิดแต่การประชวร ลงพระโลหิต ใกล้จะนิพพาน ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาค ทรงมีพระ สติ สัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น เวทนาเหล่านั้นไว้ มิได้ทรงพรั่นพรึง
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
5
(ไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยังเมือง กุสินารา)
มาไปกันเถิด อานนท์ เราจักไปยังเมือง กุสินารา
ท่านพระอานนท์ทูลรับ พระดำรัส ของพระผู้มี พระภาคแล้ว
[๑๑๘] ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระปรีชาเสวย ภัตตาหาร ของนาย จุนทกัมมารบุตรแล้ว ทรงพระประชวรอย่างหนัก ใกล้จะนิพพาน เมื่อ พระศาสดา เสวยสุกรมัททวะแล้ว การประชวรอย่างหนักได้บังเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาค ลงพระบังคน (ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด) ได้ตรัสว่าเราจะไปยังเมืองกุสินารา ดังนี้ (คาถาเหล่านี้ พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย กล่าวไว้ในเวลาทำสังคายนา)
[๑๑๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะจากหนทาง แล้วเสด็จเข้าไป ยังโคนไม้ ต้นหนึ่ง รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยปูผ้า สังฆาฏิ ซ้อนกัน เป็นสี่ชั้นให้เรา เราเหน็ดเหนื่อยนัก จักนั่งท่านพระอานนท์ทูลรับ พระดำรัส ของ พระผู้มี พระภาคแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิซ้อนกันเป็นสี่ชั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง บนอาสนะที่ พระอานนท์ปูถวายแล้ว ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วจึงรับสั่ง กะท่านพระอานนท์ ว่า
6
(รับสั่งให้อานนท์หาน้ำมาให้ เราระหาย จักดื่มน้ำ แต่อานนท์ไม่ยอมตักน้ำ)
ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยนำน้ำมาให้เราเราระหาย จักดื่มน้ำ
เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อกี้นี้เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ข้ามไปแล้วน้ำนั้นน้อย ถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวไหลไปอยู่ แม่น้ำ กกุธานที นี้อยู่ไม่ไกล มีน้ำใสจืด เย็น ขาว มีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์ พระผู้มีพระภาคจักทรงดื่มน้ำในแม่น้ำนี้ และจักทรง สรงสนานพระองค์ แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคก็ยังรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยนำน้ำดื่มมาให้เรา เราระหาย จัดดื่มน้ำ แม้ครั้งที่สอง ท่านพระอานนท์ก็ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อกี้นี้ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ข้ามไปแล้วน้ำนั้นน้อยถูกล้อเกวียนบดแล้ว ขุ่นมัวไหลไป อยู่ แม่น้ำ กกุธาน ทีนี้ อยู่ไม่ไกล มีน้ำใส จืด เย็น ขาว มีท่าราบเรียบ น่ารื่นรมย์ พระผู้มีพระภาคจักทรงดื่ม น้ำ ในแม่น้ำนี้ แล้วจักทรงสรงสนานพระองค์ แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคก็ยังรับ สั่งกะ ท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยนำน้ำมาให้เรา เราระหาย จักดื่มน้ำ ท่านพระอานนท์ ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค แล้วถือบาตรไปยังแม่น้ำนั้น ครั้งนั้น แม่น้ำนั้น ถูกล้อเกวียนบดแล้ว มีน้ำน้อยขุ่นมัวไหลไปอยู่ เมื่อท่านพระอานนท์ เข้าไปใกล้ก็ใส สะอาด ไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ ท่านพระอานนท์ ได้มีความดำริว่า น่าอัศจรรย์หนอ เหตุ ไม่เคยเป็นมาเป็นแล้ว ความที่พระตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก แม่น้ำนี้ ถูกล้อเกวียนบดแล้ว มีน้ำน้อย ขุ่นมัว ไหลไปอยู่ เมื่อเราเข้าไปใกล้ กลับใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว ไหลไปอยู่
7
(ทรงแสดงสิ่งอัศจรรย์ให้กับอานนท์เห็น)
ท่านพระอานนท์ตักน้ำมาด้วยบาตรแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคย เป็นมาเป็นแล้วความที่พระตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เมื่อกี้นี้แม่น้ำนั้นถูกล้อ เกวียนบดแล้วมีน้ำน้อยขุ่นมัวไหลไปอยู่ เมื่อข้าพระองค์ เข้าไป ใกล้ กลับใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว ไหลไปแล้วขอพระผู้มีพระภาค จงเสวยน้ำเถิด ขอพระสุคต จงเสวยน้ำเถิด
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสวยน้ำแล้ว
|