เทวตาสังยุต พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๓๕
อาทิตตวรรคที่ ๕ (เทวดาองค์หนึ่ง และ ฆฏิกรพรหม )
อาทิตตวรรคที่ ๕ (๑๐ พระสูตร โดยย่อ)
๑. คาถา ท. เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว ภาชนะใดนำออกไปได้ ย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา
๒. พ.บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อว่าให้วรรณะ สอนธรรมชื่อว่าให้ อมฤตธรรม
๓. พ.ชนใดให้อาหารด้วยศรัทธา ใจผ่องใส อาหารนั้นย่อมพะนอเขาในโลกนี้ -โลกหน้า
๔. เทวดาภาษิต ว่า บาดาล มีรากอันเดียว มีความวนสอง มีมลทินสาม ฤาษีข้ามพ้นแล้ว
๕. ท. ท่านทั้งหลาย เชิญดูพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น... ทรงก้าวไปในทางอันประเสริฐ
๖. พ. สัมมาทิฏฐิ มีอยู่แก่ผู้ใด เขา(ย่อมไป)ในสำนักพระนิพพาน ด้วยยานนี้แหละ
๗. พ. ชนเหล่านั้นใดอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล ชนเหล่านั้นเป็นผู้ไปสวรรค์
๘. ท. พระเชตวันนี้ พระพุทธเจ้าประทับอยู่แล้ว เป็นที่เกิดปีติของข้าพระองค์
๙. พ. ผู้ละความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ย่อมอุบัติในสวรรค์
๑๐. ท.ฆฏิกรพรหม อดีตช่างปั้นหม้อ เคยฟังธรรมกัสสปพุทธเจ้า เวียนมาพบกับ พ.โคดม |
|
อาทิตตสูตรที่ ๑
เทวดาองค์หนึ่ง กล่าวคาถา : เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใด ออกไปได้
ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ...
[๑๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ ท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งมีวรรณงาม ยังพระวิหาร เชตวัน ทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงอภิวาท พระผู้มีพระภาค แล้วยืน อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๑๓๖] เทวดานั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคาถา เหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใด ออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่มิได้ขนออกไป ย่อมไหม้ ในไฟนั้น ฉันใด โลก (คือหมู่สัตว์) อันชรา และ มรณะ เผาแล้ว ก็ฉันนั้น ควรนำออก(ซึ่งโภคสมบัติ) ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว ได้ชื่อว่า นำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้วนั้น ย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ ย่อมไม่เป็น เหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบได้ เพลิงยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้
อนึ่ง บุคคลจำต้องละร่างกาย พร้อมด้วยสิ่งเครื่องอาศัย ด้วยตายจากไปผู้มี ปัญญา รู้ชัด ดั่งนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้ทานและใช้สอยตามควร แล้ว จะไม่ถูกติฉิน เข้าถึง สถานที่อันเป็นสวรรค์
กินททสูตรที่ ๒
พ. บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อ ว่า ให้วรรณะ ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุและ ผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่า ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ที่พร่ำสอนธรรมชื่อว่าให้ อมฤตธรรม
[๑๓๗] เทวดาทูลถามว่า บุคคลให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้กำลัง ให้สิ่งอะไรชื่อว่า ให้วรรณะ ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้ความสุข ให้สิ่งอะไรชื่อว่าให้จักษุและบุคคลเช่นไร ชื่อว่าให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ทูลถามพระองค์ ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ ข้าพระองค์ด้วยเถิด
[๑๓๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บุคคลให้อาหารชื่อว่าให้กำลัง ให้ผ้าชื่อ ว่า ให้วรรณะ ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้จักษุและ ผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่า ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนผู้ที่พร่ำสอนธรรมชื่อว่าให้ อมฤตธรรม
อันนสูตรที่ ๓
พ. ชนเหล่าใด มีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา อาหารนั้นแล ย่อมพะนอเขา ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ ให้ปราศจากไป พึงข่มความตระหนี่ ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน เพราะบุญทั้งหลาย เป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า
[๑๓๙] เทวดากราบทูลว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างก็พอใจอาหาร ด้วยกันทั้งนั้น เออก็ผู้ที่ไม่พอใจอาหาร ชื่อว่ายักษ์โดยแท้
[๑๔๐] พ. ชนเหล่าใดมีใจผ่องใสแล้ว ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธาอาหารนั้น แล ย่อมพะนอเขา ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะเหตุนั้นบุคคลพึงนำความตระหนี่ ให้ปราศจากไป พึงข่มความตระหนี่ ซึ่งเป็นตัวมลทินเสียให้ทาน เพราะบุญทั้งหลาย เป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า
เอกมูลสูตรที่ ๔
เทวดากราบทูล :
[๑๔๑] เทวดากราบทูลว่า บาดาล มีรากอันเดียว มีความวนสอง มีมลทินสาม มี เครื่องลาดห้าเป็นทะเล หมุนไปได้สิบสองด้าน ฤาษีข้ามพ้นแล้ว
อโนมิยสูตรที่ ๕
เทวดากราบทูล : ท่านทั้งหลาย เชิญดูพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ทรงเห็นประโยชน์ ผู้ให้ปัญญาไม่ทรงข้องอยู่ในอาลัยคือ กาม ทรงตรัสรู้ธรรม มีพระปรีชาดี ทรงก้าวไปในทาง อันประเสริฐ ผู้ทรงแสวงคุณอันใหญ่
[๑๔๒] เทวดากราบทูลว่าท่านทั้งหลาย เชิญดูพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระนามไม่ทราม ผู้ทรงเห็นประโยชน์อันละเอียด ผู้ให้ซึ่งปัญญาไม่ทรงข้องอยู่ใน อาลัยคือ กาม ตรัสรู้ธรรมทุกอย่าง มีพระปรีชาดี ทรงก้าวไปในทางอันประเสริฐ ผู้ทรงแสวงคุณอันใหญ่
อัจฉราสูตรที่ ๖
พ. เรากล่าวธรรม มีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่า เป็นสารถี ยานชนิดนี้มี อยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพาน ด้วยยาน นี้แหละ
[๑๔๓] เทวดาทูลถามว่าป่าชัฏ ชื่อโมหนะ อันหมู่นางอัปสรประโคมแล้ว อันหมู่ปีศาจ สิงอยู่แล้วทำไฉนจึงจะหนีไปได้
[๑๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่า ไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น สติเป็น เกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรม มีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่า เป็นสารถี ยานชนิดนี้มี อยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพาน ด้วยยาน นี้แหละ
วนโรปสูตรที่ ๗
พ. ชนเหล่าใดสร้างอาราม ปลูกหมู่ไม้ สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็น ทาน และบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อ ทั้ง กลางวันและกลางคืน
[๑๔๕] เทวดาทูลถามว่า ชนพวกไหนมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อทั้งกลางวัน และกลางคืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นผู้ไปสวรรค์
[๑๔๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดสร้างอาราม (สวนไม้ดอกไม้ผล) ปลูกหมู่ไม้(ใช้ร่มเงา)สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำเป็น ทาน และบ่อน้ำทั้งบ้านที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญ เจริญในกาลทุกเมื่อ ทั้ง กลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์
เชตวนสูตรที่ ๘
เทวดากราบทูลว่า ก็พระเชตวันมหาวิหารนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวงคุณ อยู่อาศัยแล้ว อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา ประทับอยู่แล้ว เป็นแหล่ง ที่เกิดปีติของข้าพระองค์ เพราะเหตุนั้นแหละ คนผู้ฉลาด เมื่อเห็นประโยชน์ของตน ควรเลือกเฟ้นธรรม โดย อุบายอันแยบคาย เพราะเมื่อเลือกเฟ้นเช่นนี้ ย่อมหมดจดได้ในธรรมเหล่านั้น
[๑๔๗] เทวดากราบทูลว่า ก็พระเชตวันมหาวิหารนี้นั้น อันหมู่แห่งท่านผู้แสวง คุณ อยู่อาศัยแล้ว อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา ประทับอยู่แล้ว เป็นแหล่ง ที่เกิดปีติของข้าพระองค์ การงาน ๑ วิชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอย่างสูง ๑ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบริสุทธิ์ด้วยคุณธรรม ๕ นี้ หาบริสุทธิ์ด้วยโคตร หรือด้วยทรัพย์ไม่ ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ คนผู้ฉลาด เมื่อเห็นประโยชน์ของตน ควรเลือกเฟ้นธรรม โดย อุบายอันแยบคาย เพราะเมื่อเลือกเฟ้นเช่นนี้ ย่อมหมดจดได้ในธรรมเหล่านั้น พระสารีบุตรรูปเดียวเท่านั้น (เป็นผู้ประเสริฐ) ด้วยปัญญา ศีล และความสงบ ภิกษุใด เป็นผู้ถึงซึ่งฝั่ง ภิกษุนั้น ก็มีท่านพระสารีบุตร นั้นเป็นเยี่ยม
มัจฉริสูตรที่ ๙
ท. คนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา กีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ วิบากของคนพวกนั้น จะเป็นเช่นไร ทั้งในปัจจุบันและและสัมปรายภพ
พ. คนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขา... ย่อมเข้าถึง นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือ ยมโลก หากเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคนยากจน หาผ้า อาหาร ความร่าเริง ได้โดยยาก ประสงค์สิ่งใด ย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น ซึ่งส่งผลทั้งในภพนี้ และ ภพหน้า
ท. ผู้ได้ความเป็นมนุษย์ ละตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ วิบากของ ชนเหล่านั้น จะเป็นเช่นไร
พ. ผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้ละความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ย่อมอุบัติในสวรรค์ หากกลับมาเป็นมนุษย์ ย่อมเกิดในสกุลที่มั่งคั่ง ได้ผ้าอาหาร ความร่าเริง และความสนุกสนาน มีอำนาจ มีโภคทรัพย์ นั่นเป็นวิบาก คือสุขคติในภพนี้ และภพหน้า
[๑๔๘] เทวดาทูลถามว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่า เขาทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ วิบากของคนพวกนั้นจะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขา จะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มา เพื่อทูลถามพระผู้มี พระภาค ไฉนข้าพระองค์จึง จะรู้ความข้อนั้น
[๑๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ดีแต่ว่าเขาทำการกีดขวางคนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ คนเหล่านั้นย่อมเข้าถึง นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก ถ้าหากถึงความเป็นมนุษย์ ก็เกิดในสกุลคน ยากจน ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความร่าเริง และความสนุกสนานได้โดยยาก คนพาล เหล่านั้น ต้องประสงค์สิ่งใดแต่ผู้อื่น เขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น สมความ ปรารถนา นั่นเป็นผลในภพนี้ และภพหน้าก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย
[๑๕๐] เทวดาทูลถามว่า ก็ข้อนี้ข้าพระองค์ เข้าใจชัด อย่างนี้ (แต่) จะทูล ถาม ข้ออื่นกะพระโคดมชน เหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็นมนุษย์ แล้วรู้ถ้อยคำ ปราศจาก ความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าพระธรรม และพระสงฆ์ เป็นผู้มีความ เคารพแรงกล้า วิบากของชนเหล่านั้น จะเป็นเช่นไร และสัมปรายภพของเขาจะเป็น เช่นไร ข้าพระองค์มา เพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ไฉนข้าพระองค์จึงจะรู้ความข้อนั้น
[๑๕๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชนเหล่าใดในโลกนี้ได้ความเป็น มนุษย์ แล้ว รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพแรงกล้า ชนเหล่านี้ย่อมปรากฏในสวรรค์อันเป็นที่อุบัติ หากถึง ความเป็นมนุษย์ ย่อมเกิดในสกุลที่มั่งคั่ง ได้ผ้าอาหารความร่าเริง และความ สนุกสนานโดยไม่ยาก พึงมีอำนาจแผ่ไปในโภคทรัพย์ ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ บันเทิงใจ อยู่ นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็เป็นสุคติ
ฆฏิกรสูตรที่ ๑๐
(เนื้อความเดียวกับ ฆฏิการสูตรที่ ๑๐ P 1361)
ฆฏิกรพรหม อดีตเป็นช่างปั้นหม้อ เคยฟังธรรมจาก พระกัสสปพุทธเจ้า (สมัยมนุษย์อายุ ๒๐,๐๐๐ ปี)
หลังทำกาละได้มาเกิดในชั้นพรหม จึงเข้าเฝ้าพระโคดม เพื่อถาม ปัญหา พร้อม กับเล่าว่า มีภิกษุ ๗ รูป ผู้เข้าถึงพรหมโลกชั้นอวิหา เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว สิ้นราคะโทสะแล้ว พระโคดมกล่าวว่า ท่านเคย ร่วมบ้านกันกับเรา เคยเป็นสหายของเราในปางก่อน (จุดใต้ตำตอ ฆฏิกรพรหม กะ พระโคดม เคยเป็นเพื่อนกันในสมัย พระกัสสปพุทธเจ้า)
[๑๕๒] ฆฏิกรพรหม กราบทูลว่า ภิกษุ ๗ รูป ผู้เข้าถึงพรหมโลกชื่อว่าอวิหา เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว มีราคะโทสะสิ้นแล้ว ข้ามเครื่องเกาะเกี่ยวในโลกได้แล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ก็ภิกษุเหล่านั้นคือผู้ใดบ้าง ผู้ข้ามเครื่องข้องเป็น บ่วง ของมาร ที่ข้ามได้แสนยาก ละกายของมนุษย์แล้ว ก้าวล่วงซึ่งทิพยโยคะ
ฆฏิกรพรหมกราบทูลว่า คือท่าน อุปกะ ๑ ท่านผลคัณฑะ ๑ ท่านปุกกุสาติ ๑ รวมเป็น ๓ ท่านท่านภัททิยะ ๑ ท่านขัณฑเทวะ ๑ ท่านพหุทันตี ๑ ท่านสิงคิยะ ๑ (รวมเป็น ๗ ท่าน) ท่านเหล่านั้น ล้วนแต่ละกายของมนุษย์ ก้าวล่วงทิพยโยคะ ได้แล้ว
[๑๕๓] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ท่านเป็นคนมีความฉลาด กล่าวสรรเสริญ ภิกษุเหล่านั้น ผู้ละบ่วงมารได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นตรัสรู้ธรรมของใครเล่า จึงตัดเครื่องผูก คือภพเสียได้
[๑๕๔] ฆฏิกรพรหม กราบทูลว่า ท่านเหล่านั้น ตรัสรู้ธรรมของผู้ใดจึงตัด เครื่องผูก คือภพเสียได้ นั้นไม่มีอื่นไปจากพระผู้มีพระภาค และ ธรรมนั้นไม่มีอื่น ไปจากคำสั่งสอนของพระองค์ นามและรูปดับไม่เหลือในธรรมใด ท่านเหล่านั้น ได้รู้ธรรมนั้น ในพระศาสนานี้ จึงตัดเครื่องผูกคือภพเสียได้
[๑๕๕] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ท่านกล่าววาจาลึก รู้ได้ยาก เข้าใจให้ดี ได้ยาก ท่านรู้ธรรมของใครจึงกล่าววาจาเช่นนี้ได้
[๑๕๖] ฆฏิกรพรหม กราบทูลว่า เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นช่างหม้อ ทำหม้อ อยู่ในเวภฬิงคชนบท เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา ได้เป็นอุบาสก ของพระกัสสป พุทธเจ้า เป็นผู้เว้นจากเมถุนธรรม เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไม่เกี่ยวด้วยอามิส ได้เคยเป็นคนร่วมบ้านกับพระองค์ ทั้งได้เคยเป็นสหายของพระองค์ในกาลปางก่อน ข้าพระองค์รู้จักภิกษุ ๗ รูปเหล่านี้ ผู้หลุดพ้นแล้ว มีราคะและโทสะสิ้นแล้ว ผู้ข้ามเครื่องข้องในโลกได้แล้ว
[๑๕๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า แน่ะนายช่างหม้อ ท่านกล่าวเรื่องอย่างใด เรื่องนั้นได้เป็นจริงแล้วอย่างนั้น ในกาลนั้น เมื่อก่อนท่านเคยเป็นช่างหม้อทำหม้อ อยู่ในเวภฬิงคชนบท เป็นผู้เลี้ยงมารดาและบิดา เป็นอุบาสกของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้เว้นจากเมถุนธรรม เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เกี่ยวด้วยอามิส ได้เป็นคนเคย ร่วมบ้านกันกับเรา ทั้งได้เคยเป็นสหายของเราในปางก่อน
พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า สหายเก่าทั้งสอง ผู้มีตนอันอบรมแล้ว ทรงไว้ซึ่ง สรีระมีในที่สุด ได้มาพบกันด้วยอาการอย่างนี้
จบ อาทิตตวรรค ที่ ๕
-------------------------------------------------------------------------------------------
สูตรที่กล่าวในอาทิตตวรรคนั้น คือ อาทิตตสูตร กินททสูตร อันนสูตร เอกมูลสูตร อโนมิยสูตร อัจฉราสูตร วนโรปสูตร เชตวนสูตร มัจฉริสูตร ฆฏิกรสูตร ฉะนี้แล
-------------------------------------------------------------------------------------------
|