เว็บไซต์ อนาคามี แหล่งเผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
  
หนังสือพุทธวจนออนไลน์   ดูหนังสือทั้งหมด
90 90 90 90 90
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์  
 
ค้นหาคำที่ต้องการ                    

  อริยวินัย พุทธวจน   ดาวน์โหลดหนังสือ(ไฟล์ PDF)
  
  05 of 13  
ออกไปหน้าสารบาญ

หน้า1  : หน้า2  :  หน้า3  : หน้า4  : หน้า5  :  หน้า6  :  หน้า7  : หน้า8  : หน้า9  : หน้า10  : หน้า11  : หน้า12  : หน้า13
 
 




ที่มา : http://watnapp.com/book


หน้า 292
• กรรมวาจาให้อุมมัตตกสมมติ

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อคัคคะเป็นผู้วิกลจริตระลึกอุโบสถได้บ้าง ระลึกไม่ได้ บ้าง ระลึกสังฆกรรมได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้างมาสู่อุโบสถบ้าง ไม่มาบ้างมาสู่ สังฆกรรมบ้าง ไม่มา บ้าง ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้อุมมัตตก สมมติ แก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือ คัคคะภิกษุ ระลึกอุโบสถได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ ก็ตาม มาสู่อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตามมาสู่ สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อมกับคัคคภิกษุ หรือเว้นจากคัคคะภิกษุ พึงทำ อุโบสถได้ พึงทำสังฆกรรมได้ นี้เป็นญัตติ

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อคัคคะเป็นผู้วิกลจริตระลึกอุโบสถได้บ้าง ระลึกไม่ได้ บ้าง ระลึกสังฆกรรมได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง มาสู่อุโบสถบ้าง ไม่มาบ้าง มาสู่ สังฆกรรมบ้าง ไม่มา บ้าง สงฆ์ให้อยู่บัดนี้ซึ่ง อุมมัตตกสมมติแก่คัคคะภิกษุ ผู้วิกลจริต คือคัคคะภิกษุระลึกอุโบสถได้ ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ ก็ตาม ระลึก ไม่ได้ก็ตาม มาสู่อุโบสถก็ตาม ไม่มา ก็ตาม มาสู่สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อม กับคัคคะภิกษุ หรือเว้นจากคัคคะภิกษุ

จักทำอุโบสถก็ได้จัก ทำสังฆกรรมก็ได้ การให้อุมมัตตกสมมติแก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือคัคคะ ภิกษุระลึกอุโบสถได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึก ไม่ได้ก็ตาม มาสู่ อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตาม มาสู่สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อมกับ คัคคะภิกษุ หรือเว้น จากคัคคะภิกษุ จักทำอุโบสถก็ได้ จักทำ สังฆกรรมก็ได้ ชอบแก่ท่าน ผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.

อุมมัตตกสมมติอันสงฆ์ให้แล้ว แก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือคัคคะภิกษุระลึก อุโบสถ ได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม มาสู่ อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตาม มาสู่ สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อมกับคัคคะภิกษุ หรือเว้นจาก คัคคะภิกษุ จักทำอุโบสถก็ได้ จักทำสังฆกรรมก็ได้ ชอบแก่ สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้า ทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.

หน้า293
วิธีทำอุโบสถ อย่าง

หน้า 293-1
. สวดปาติโมกข์
[๑๘๕]
ก็โดยสมัยนั้นแลในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จึงภิกษุ เหล่านั้นได้ มีความปริวิตกว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุต้องทำ อุโบสถดังนี้ ก็พวกเรามีอยู่ เพียง๔รูปจะพึงทำอุโบสถอย่างไรหนอ… ตรัสว่า

367.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป สวดปาติโมกข์.

หน้า 293-2
. ทำปาริสุทธิอุโบสถ

368.
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถแก่กัน.

วิธีทำปาริสุทธิอุโบสถสำหรับภิกษุ
รูป
369.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงทำปาริสุทธิอุโบสถ อย่างนี้.ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบ ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้

• ญัตติกรรมวาจา

ท่านทั้งหลายเจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๕ ถ้าความพร้อมพรั่งของท่าน ทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงทำปาริสุทธิอุโบสถแก่กันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วบอกความ บริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า คำบอกความบริสุทธิ์
ฉันบริสุทธิ์แล้ว
เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ฉันบริสุทธิ์แล้ว
เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ฉันบริสุทธิ์แล้ว
เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.

ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วบอกความบริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า
ผมบริสุทธิ์แล้ว
ขอรับ ขอท่านทั้งหลายจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ผมบริสุทธิ์แล้ว
ขอรับ ขอท่านทั้งหลายจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ผมบริสุทธิ์แล้ว
ขอรับ ขอท่านทั้งหลายจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.

370.
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ.

วิธีทำปาริสุทธิอุโบสถสำหรับภิกษุ
รูป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงทำปาริสุทธิอุโบสถอย่างนี้ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วบอกความบริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุผู้นวกะ อย่างนี้ว่า คำบอกความบริสุทธิ์
ฉันบริสุทธิ์แล้ว
เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ฉันบริสุทธิ์แล้ว
เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ฉันบริสุทธิ์แล้ว
เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.

ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว บอกความ บริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุผู้เถระอย่างนี้ว่า คำบอกความบริสุทธิ์
ผมบริสุทธิ์แล้ว
ขอรับ ขอท่านจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ผมบริสุทธิ์แล้ว
ขอรับ ขอท่านจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ผมบริสุทธิ์แล้ว
ขอรับ ขอท่านจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.


หน้า 295
. อธิษฐานอุโบสถ

371.
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุในศาสนานี้อยู่รูปเดียว. ภิกษุนั้นพึงกวาดสถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุทั้งหลาย คือจะเป็น โรงฉัน มณฑป หรือโคนต้นไม้ก็ตาม แล้วตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ ปูอาสนะ ตามประทีปไว้ แล้วนั่งรอ อยู่. ถ้ามีภิกษุเหล่าอื่นมา พึงทำ อุโบสถร่วมกับพวกเธอถ้าไม่มีมา พึงอธิษฐานว่าวันนี้ เป็นวันอุโบสถของเรา ถ้าไม่อธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.

372.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จะนำปาริสุทธิของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้ว ๓ รูปสวดปาติโมกข์ไม่ได้ ถ้าขืนสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

373.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จะนำปาริสุทธิของภิกษุ รูปหนึ่งมา แล้ว ๒ รูปทำ ปาริสุทธิอุโบสถไม่ได้ ถ้าขืนทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.

374.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จะนำปาริสุทธิของภิกษ ุรูปหนึ่งมา แล้วอีกรูปหนึ่งอธิษฐานไม่ได้ถ้าขืนอธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า295-1
ทรงให้แสดงอาบัติก่อนทำอุโบสถ

[๑๘๖]
ก็โดยสมัยนั้นแลภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติในวันอุโบสถ. เธอได้มีความปริวิตกใน ขณะนั้น ว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไม่พึงทำอุโบสถ ดังนี้ก็เราเป็นผู้ ต้องอาบัติแล้วจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ… ตรัสว่า

375.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ต้องอาบัติในวันอุโบสถ. ภิกษุนั้นพึงเข้าไป หาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ ว่า แน่ะเธอ ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ผมแสดงคืนอาบัตินั้น. ภิกษุผู้รับพึงถามว่าท่านเห็นหรือ. ภิกษุผู้แสดงพึงตอบว่า ครับ ผมเห็น. ภิกษุผู้รับพึงบอกว่า ท่านพึงสำรวมต่อไป.

• สงสัยในอาบัติ

376. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ ในวันอุโบสถ. ภิกษุ นั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเธอ ผมมีความสงสัย ในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมด สงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถ ฟังปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตราย แก่อุโบสถ เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

หน้า 297
• แสดงสภาคาบัติไม่ตก

[๑๘๗]
ก็โดยสมัยนั้นแลพระฉัพพัคคีย์แสดงสภาคาบัติ… ตรัสว่า
377. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงสภาคาบัติ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมาภิกษุฉัพพัคคีย์รับแสดงสภาคาบัติ. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า

378.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงรับแสดงสภาคาบัติ รูปใดรับแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ

ระลึกอาบัติได้เมื่อกำลังสวดปาติโมกข์
[๑๘๘ ]
379. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกำลังสวดปาติโมกข์อยู่ ภิกษุในศาสนานี้ระลึกอาบัติได้. ภิกษุนั้นพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่าอาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ลุกจากที่นี้แล้วจัก ทำคืนอาบัตินั้นครั้นแล้ว พึงทำอุโบสถ ฟังปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.

380. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกำลังสวดปาติโมกข์อยู่ ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยใน อาบัติ. ภิกษุนั้นพึงบอกกะภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า แน่ะเธอ ผมมีความ สงสัยในอาบัติมี ชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใดจักทำ คืนอาบัตินั้น เมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงทำ อุโบสถฟัง ปาติโมกข์แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่สงสัยนั้น เป็นปัจจัย.

สงฆ์ต้องสภาคาบัติ
[๑๘๙]
381 . …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ ต้องสภาคาบัติ. ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะกลับมาทัน ในวันนั้นด้วยสั่งว่าอาวุโส เธอจงไปทำคืน อาบัตินั้นแล้วมา พวกเราจักทำคืนอาบัติใน สำนักเธอ ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้

• ญัตติกรรมวาจา

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติ เห็นภิกษุรูปอื่นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักเธอเมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงทำ อุโบสถสวด ปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่ต้องสภาคาบัตินั้นเป็นปัจจัย.

382. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ มีความ สงสัยในสภาคาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงประกาศ ให้สงฆ์ ทราบด้วยญัตติ กรรมวาจา ว่าดังนี้

• ญัตติกรรมวาจา

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ หมดความ สงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ แต่ไม่พึง ทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่มีความ สงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

383.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สงฆ์ในศาสนานี้จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง เป็นผู้ต้อง สภาคาบัติ. ภิกษุเหล่านั้นส่งภิกษุรูปหนึ่ง ไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะ กลับมาทันใน วันนั้น ด้วยสั่งว่า อาวุโส เธอจงไปทำคืนอาบัติ นั้นแล้วมา พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้น ในสำนักเธอ. ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปชั่ว ระยะกาล ๗ วัน ด้วยสั่งว่า อาวุโส เธอจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา พวกเราจักทำคืน อาบัตินั้น ในสำนักเธอ.
[๑๙๐]
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้องสภาคาบัติ. สงฆ์หมู่นั้นไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักโคตของอาบัตินั้น. มีภิกษุรูปอื่นมาในอาวาสนั้น เธอเป็น พหูสูต ชำนาญในคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัยทรงมาติกา เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา ละอาย รังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา.

ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษ ุนั้นแล้ว ได้เรียนถามภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปใดทำอย่างนี้ ด้วย อย่างนี้ด้วย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติ ชื่ออะไรขอรับ. พระพหูสูตตอบอย่างนี้ว่า ภิกษุ รูปใด ทำอย่างนี้ด้วย อย่างนี้ด้วยภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่อนี้ ขอรับ ท่านต้องอาบัติชื่อนี้ แล้ว จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย. ภิกษุรูปนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า มิใช่ผมแต่ผู้เดียวที่ต้องอาบัตินี้ ขอรับ สงฆ์หมู่นี้ล้วนต้องอาบัตินี้ทั้งนั้น. พระพหูสูตกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปอื่นที่ต้อง อาบัติแล้วหรือมิได้ต้อง จักช่วยอะไรท่านได้ขอรับนิมนต์ท่าน ออกจากอาบัติของตน เสียเถิดขอรับ.

384 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุนั้นทำ คืนอาบัตินั้น ตามคำ ของพระพหูสูต แล้วเข้า ไปหาภิกษุเหล่านั้น ครั้นแล้วบอกภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ทราบมา ว่า ภิกษุรูปใด ทำ อย่างนี้ด้วย อย่างนี้ด้วย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่อนี้ พวกท่านต้อง อาบัติชื่อนี้แล้วขอรับ จงทำ คืนอาบัตินั้นเสีย.ถ้าภิกษุเหล่านั้นจะพึงทำคืนอาบัตินั้น ตามคำของภิกษุผู้บอกทำ ได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าจะไม่พึงทำ คืน ภิกษุนั้นไม่ ปรารถนา ก็ไม่พึงว่ากล่าวภิกษุเหล่านั้น.

หน้า 299
ทำอุโบสถไม่ต้องอาบัติ
๑๕ ข้อ
[๑๙๑]

385. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็น ธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

386.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวก อื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความ สำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวด ดีแล้ว.พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่ยังเหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

387.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกนิ กว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอัน สวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังสวดที่ยังเหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้อง อาบัติ.

388 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความ สำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวด ปาติโมกข์ ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

389 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความ สำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน. ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอัน สวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ

390. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า. ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอัน สวดดีแล้ว.พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

391 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

392. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน

393. ดูกรภิกษุทั้งหลาย … มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

394 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทบางพวกลุกไปแล้วขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น มาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่ พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

395.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. พอภิกษุเหล่านั้นสวดปาติโมกข์ จบ บริษัทบางพวกลุกไปแล้วขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

396.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

397.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวก อื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่า นั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

398 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นใน ศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุ เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวด ปาติโมกข์จบ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

399 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ไม่ต้องอาบัติ.

หน้า 303
ทำอุโบสถเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ
[๑๙๒]
400. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวด ปาติโมกข์ ใหม่ พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

401. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน …

402.
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว.พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวดต้องอาบัติทุกกฏ.

403. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความ สำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวด ปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

404.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

405.
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้วพวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

406.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีพวกภิกษุ เจ้าถิ่นอื่นที่ยังไม่มา.พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน จึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์.พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ บริษัทยังไม่ทันลุกไป … มีจำนวนมากกว่า

407.
… มีจำนวนเท่ากัน …
408. … มีจำนวนน้อยกว่า …
409. … บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว … มีจำนวนมากกว่า …
410. … มีจำนวนเท่ากัน …
411 . … มีจำนวนน้อยกว่า …

412.
… บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

413.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

414 .
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว.พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 305
มีความสงสัยทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ
[๑๙๓]
415. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นที่ยังไม่มาและมีความสงสัยว่า พวกเราควรทำอุโบสถหรือไม่ควรหนอ ดังนี้แล้ว ยังขืนทำอุโบสถสวดปาติโมกข์.เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

416.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

417.
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้วพวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวดต้องอาบัติทุกกฏ.

418 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นใน ศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุ เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มาและมีความสงสัยว่า พวกเราควรทำอุโบสถหรือไม่ควรหนอ ดังนี้แล้วยังขืนทำอุโบสถสวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบขณะนั้นมีภิกษุ … มีจำนวนมากกว่า …

419 .
… มีจำนวนเท่ากัน …
420. … มีจำนวนน้อยกว่า …
421. … บริษัทยังไม่ทันลุกไป … มีจำนวนมากกว่า …
422. … มีจำนวนเท่ากัน …
423. … มีจำนวนน้อยกว่า …
424. … บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว … มีจำนวนมากกว่า …
425. … มีจำนวนเท่ากัน …
426. … มีจำนวนน้อยกว่า …
427. … บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

428.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

429.
…. มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว.พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า306
ฝืนใจทำอุโบสถ
๑๕ ข้อ
[๑๙๔]
430. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นมากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. แต่ฝืนใจทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ ด้วยเข้าใจว่า พวกเราควรทำอุโบสถแท้ มิใช่ไม่ควร. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

431.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

432.
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอันสวดดีแล้ว.พวกภิกษุที่มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวดต้องอาบัติทุกกฏ.

433.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวก อื่นที่ยังไม่มา.แต่ฝืนใจทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ด้วยเข้าใจว่า พวกเราควรทำอุโบสถแท้ มิใช่ไม่ควร. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้นมีภิกษุ … มีจำนวนมากกว่า …

434.
… มีจำนวนเท่ากัน …
435. … มีจำนวนน้อยกว่า …
436. … บริษัทยังไม่ทันลุกไป … มีจำนวนมากกว่า …
437. … มีจำนวนเท่ากัน …
438. … มีจำนวนน้อยกว่า …
439. … บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว … มีจำนวนมากกว่า …
440. … มีจำนวนเท่ากัน …
441 . … มีจำนวนน้อยกว่า …

442.
… บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

443.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

444 .
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้วก็เป็นอันสวดดีแล้ว.พวกภิกษุผู้มาทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำ นักพวกเธอ.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า307
มุ่งความแตกร้าวทำอุโบสถ ๑๕ ข้อ
[๑๙๕]
445. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนา นี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่น ที่ยังไม่มาและมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่า นั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้จึงทำอุโบสถ สวดาติโมกข์. เมื่อพวกเธอกำลังสวดปาติโมกข์ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

446.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

447.
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอันสวดดีแล้ว.พวกภิกษุที่มาทีหลัง พึงฟังส่วนที่เหลือต่อไป. พวกภิกษุผู้สวดต้องอาบัติถุลลัจจัย.

448 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นใน ศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง. พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุ เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มาและมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุ เหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้จึงทำอุโบสถสวดปาติโมกข์. พอพวกเธอสวดปาติโมกข์จบ ขณะนั้น มีภิกษุ … มีจำนวนมากกว่า …

449 .
… มีจำนวนเท่ากัน …
450. … มีจำนวนน้อยกว่า …
451. … บริษัทยังไม่ทันลุกไป … มีจำนวนมากกว่า …
452. … มีจำนวนเท่ากัน …
453. … มีจำนวนน้อยกว่า …
454. … บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว … มีจำนวนมากกว่า …
455. … มีจำนวนเท่ากัน …
456. … มีจำนวนน้อยกว่า …

457.
… บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องสวดปาติโมกข์ใหม่.พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

458.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

459.
… มีจำนวนน้อยกว่า ปาติโมกข์ที่สวดแล้ว ก็เป็นอันสวดดีแล้ว. พวกภิกษุผู้มา ทีหลัง พึงบอกปาริสุทธิในสำนักพวกเธอ. พวกภิกษุผู้สวด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
การทำอุโบสถ๒๕ติกะจบ

หน้า309
เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ (1)
[๑๙๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.พวกเธอไม่รู้ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา …
… พวกเธอไม่รู้ว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว …
… พวกเธอไม่เห็น ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่กำลังเข้ามาภายในสีมา …
… พวกเธอไม่เห็น ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่เข้ามาภายในสีมาแล้ว …
… พวกเธอไม่ได้ยินว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา …
… พวกเธอไม่ได้ยินว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว …

โดยนัย๑๗๕ติกะภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุเจ้าถิ่นภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุเจ้าถิ่นภิกษุเจ้าถิ่น กับภิกษุอาคันตุกะภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุอาคันตุกะรวมเป็น๗๐๐ติกะโดยเปยยาลมุข. (2)

1. เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ หมายถึง หัวข้อแห่งการละข้อความเกี่ยวกับลักษณะที่ภิกษุอื่นๆ เข้ามาสู่สีมาไว้จำนวน ๗๐๐ ติกะ. ติกะ หมายถึง หมวดสาม, อย่างละสาม, ประกอบด้วย ๓ –ผู้รวบรวม
2. นำเหตุการณ์ขั้นตอนทั้ง ๗ คือ ภิกษุประชุมกัน ๔ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง (เริ่มจากข้อ [๑๙๑]ไปจนถึง พวกเธอไม่ได้ยินว่ามีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว ในข้อ [๑๙๖]) แล้วนำไปคูณ ๒๕ ติกะดังกล่าวมาแล้วในข้อ [๑๙๑]-[๑๙๕] เท่ากับ ๑๗๕ ติกะ โดยแยกภิกษุผู้ทำอุโบสถกับภิกษุผู้เข้าสู่สีมาเป็น ๔ คู่ คือ (๑) ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุเจ้าถิ่น (๒) ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุเจ้าถิ่น (๓) ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะ (๔) ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุอาคันตุกะ แต่ละคู่ได้จำนวน๑๗๕ ติกะ และ ๔ คู่คูณด้วย ๑๗๕ ติกะ จึงเท่ากับ ๗๐๐ ติกะ ที่มา : พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับเฉลิมพระเกียรติฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ –ผู้รวบรวม


หน้า 310
วันอุโบสถต่างกัน

[๑๙๗]
460. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วันอุโบสถของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑๔ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ เป็นวัน ๑๕ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุ อาคันตุกะพึงอนุวัตตามพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึง อนุวัตตามพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึง อนุวัตตามพวกภิกษุอาคันตุกะ.

461.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง วันอุโบสถของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ เป็นวัน ๑๔ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุ อาคันตุกะพึงอนุวัตตามพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึง อนุวัตตามพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึง อนุวัตตามพวกภิกษุอาคันตุกะ.

462.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง วันอุโบสถของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ เป็นวัน ๑๕ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุ เจ้าถิ่นไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ พวกภิกษุอาคันตุกะ พึงไปนอกสีมาแล้วทำอุโบสถเถิด. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนา ก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ พวกภิกษุอาคันตุกะพึงไปนอกสีมา แล้วทำอุโบสถเถิด. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงให้ ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ หรือพึงไปนอกสีมา.

463.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง วันอุโบสถของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุ อาคันตุกะพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือไปนอกสีมา. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือพึงไปนอกสีมา. ถ้าพวก ภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่าพวกภิกษุอาคันตุกะ ไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ความสามัคคี แก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงไปนอกสีมาแล้ว ทำอุโบสถเถิด.

หน้า311
การเห็นอาการว่ามีภิกษุ ๑๕ ข้อ
[๑๙๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในพระศาสนานี้ ได้เห็นอาการเจ้าถิ่น ลักษณะ เจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่นของภิกษุเจ้าถิ่น เตียง ตั่ง ฟูก หมอน ปูลาด จัดไว้เรียบร้อย น้ำฉัน น้ำใช้แต่งตั้งไว้เป็นระเบียบ บริเวณกวาดสะอาดสะอ้าน ครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นยังมีหรือไม่มีหนอ.

464.
พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่เที่ยวค้นหา ครั้นแล้วขืนทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ


465.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วแต่ไม่พบ จึงทำอุโบสถ
ไม่ต้องอาบัติ.


466.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วพบ จึงทำอุโบสถร่วมกัน
ไม่ต้องอาบัติ.


467.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วพบ ครั้นแล้วแยกกันทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ


468.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วพบ ครั้นแล้วมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุ เหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงทำอุโบสถ ต้องอาบัติถุลลัจจัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะใน ศาสนานี้ ได้ยินอาการเจ้าถิ่น ลักษณะเจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่นของ พวกภิกษุเจ้าถิ่น ได้ยินเสียงเท้าของภิกษุเจ้าถิ่นกำลังเดินจงกรม ได้ยินสาธยาย เสียงไอ เสียงจาม ครั้นแล้ว มีความสงสัยว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นมีหรือไม่มีหนอ

469.
พวกเธอมีความสงสัย แต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

470.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาไม่พบ ครั้นแล้วจึงทำอุโบสถ
ไม่ต้องอาบัติ
.

471.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วจึงทำอุโบสถร่วมกัน
ไม่ต้องอาบัติ.

472.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วจึงแยกกันทำอุโบสถ ต้องอาบัติทุกกฏ.

473. พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วมุ่งความแตกร้าว ว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุ เหล่านั้น ดังนี้จึงทำอุโบสถ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้เห็นอาการอาคันตุกะ ลักษณะ อาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะ สิ่งที่แสดงอาคันตุกะของภิกษุอาคันตุกะ ได้เห็นบาตร จีวร ผ้านิสีทนะ อันเป็นของภิกษุพวกอื่น ได้เห็นรอยน้ำล้างเท้า ครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่มีหนอ.

474.
พวกเธอมีความสงสัย แต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

475.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วไม่พบ ครั้นแล้วทำอุโบสถ
ไม่ต้องอาบัติ.

476.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วจึงทำอุโบสถร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.

477.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วได้แยกกันทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

478.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วมุ่งความแตกร้าว ว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้น จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุ เหล่านั้น ดังนี้ จึงทำอุโบสถ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้ยินอาการอาคันตุกะ ลักษณะ อาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะ สิ่งที่แสดงอาคันตุกะ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้ยิน เสียงเท้าของ พวกภิกษุอาคันตุกะกำลังเดินมา ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น ได้ยินเสียง ไอเสียงจาม ครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่มีหนอ.

479.
พวกเธอมีความสงสัย แต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

480.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วไม่พบ ครั้นแล้วจึงทำอุโบสถ
ไม่ต้องอาบัติ.

481 .
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วจึงได้ทำ อุโบสถร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.

482.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วแยกกันทำอุโบสถ ต้องอาบัติทุกกฏ.

483.
พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วมุ่งความ แตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วย ภิกษุเหล่านั้นดังนี้ จึงทำอุโบสถ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

หน้า313
ภิกษุนานาสังวาสและสมานสังวาส
[๑๙๙]
484 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นภิกษุเจ้าถิ่นมีสังวาสต่างกัน พวกเธอกลับได้ความเห็นว่า มีสังวาสเสมอกัน ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม จึงทำอุโบสถร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.

485.
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ทำอุโบสถร่วมกัน
ต้องอาบัติ ทุกกฎ

486.
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ แยกกันทำอุโบสถ
ไม่ต้องอาบัติ
.

487.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งพวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่น มีสังวาสเสมอกัน พวกเธอกลับได้ความเห็นว่ามีสังวาสต่างกัน ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ทำอุโบสถร่วมกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

488 .
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ แยกกันทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

489 .
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ทำอุโบสถร่วมกัน
ไม่ต้องอาบัติ
.

490.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะมีสังวาส ต่างกัน พวกเธอกลับได้ความเห็นว่ามีสังวาสเสมอกัน ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม จึงทำอุโบสถ ร่วมกันไม่ต้องอาบัติ.

491 .
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจทำอุโบสถร่วมกัน
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

492.
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ แยกกันทำอุโบสถ
ไม่ต้องอาบัติ
.

493.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะมีสังวาสเสมอกัน พวกเธอกลับได้ความเห็นว่ามีสังวาสต่างกัน ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ทำอุโบสถร่วมกันต้องอาบัติทุกกฏ.

494 .
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ แยกกันทำอุโบสถ
ต้องอาบัติทุกกฏ
.

495.
พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ทำอุโบสถร่วมกัน
ไม่ต้องอาบัติ
.

หน้า 315
ไม่ควรไปไหนในวันอุโบสถ
[๒๐๐]
496. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน
สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มีอันตราย.

497.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน
สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มีอันตราย.

498 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน
สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบ จำนวน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มี อันตราย.

499 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน.

500.
สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน เว้นแต่ไปกับสงฆ์เว้นแต่ มีอันตราย

501.
สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มีอันตราย.

502.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบ จำนวน

503.
… สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน …

504.
… สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวนเว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มีอันตราย.

505.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวก ภิกษุผู้มีสังวาสต่างกัน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มีอันตราย.

506.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนอันเป็นที่อยู่ ของพวกภิกษุผู้มีสังวาสต่างกัน เว้นแต่ไปกับสงฆ์เว้นแต่มีอันตราย.

507.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนอันเป็นที่อยู่ของพวก ภิกษุผู้มี สังวาสต่างกัน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มีอันตราย.

508.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุ ครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน …

509.
… สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน …

510.
… สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน อันเป็นที่อยู่ของพวก ภิกษุผู้มีสังวาสต่างกัน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่ม ีอันตราย.

511 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน …

512.
… สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน …

513.
… สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน อันเป็นที่อยู่ของพวก ภิกษุผู้มีสังวาสต่างกัน เว้นแต่ไปกับสงฆ์ เว้นแต่มี อันตราย.

514 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน อันเป็นที่อยู่ของพวก ภิกษุที่มีสังวาสเสมอกัน ที่รู้ว่าเรา สามารถจะไปถึงในวันนี้ทีเดียว.

515.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน …

516.
… สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึง ในวันนี้ทีเดียว.

517.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน …

518 .
… สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน อันเป็นที่อยู่ของพวก ภิกษุที่มีสังวาสเสมอกัน ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึง ในวันนี้ทีเดียว.

519 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันอุโบสถ พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน …

520.
… สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน …

521.
… สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึง ในวันนี้ทีเดียว.

หน้า317
บุคคลที่อยู่ในบริษัท ที่ทรงห้ามสวดปาติโมกข์
[๒๐๑]
522. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ในบริษัทที่มีภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

523.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่มีสิกขมานานั่งอยู่ด้วย
524. … ในบริษัทที่สามเณรนั่งอยู่ด้วย …
525. … ในบริษัทที่สามเณรีนั่งอยู่ด้วย …
526. … ในบริษัทที่ภิกษุผู้บอกลาสิกขานั่งอยู่ด้วย …

527.
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ในบริษัทที่ภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุ นั่งอยู่ด้วยรูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

528.
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐาน ไม่เห็นอาบัติ นั่งอยู่ด้วย รูปใดสวด พึงปรับอาบัติตามธรรม.

529.
… ในบริษัทที่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่กระทำคืนอาบัตินั่งอยู่ด้วย …

530.
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืน ทิฏฐิอัน ลามก นั่งอยู่ด้วย รูปใดสวด พึงปรับอาบัติตาม ธรรม.

531.
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่บัณเฑาะก์ นั่งอยู่ด้วย รูปใดสวด ต้องอาบัติ ทุกกฏ.

532.
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่คนลักเพศ นั่งอยู่ด้วย …
533. … ในบริษัทที่ภิกษุเข้ารีดเดียรถีย์ นั่งอยู่ด้วย …
534. … ในบริษัทที่คนคล้ายสัตว์ดิรัจฉาน นั่งอยู่ด้วย …
535. … ในบริษัทที่คนฆ่ามารดา นั่งอยู่ด้วย …
536. … ในบริษัทที่คนฆ่าบิดา นั่งอยู่ด้วย …
537. … ในบริษัทที่คนฆ่าพระอรหันต์ นั่งอยู่ด้วย …
538. … ในบริษัทที่คนประทุษร้ายภิกษุณี นั่งอยู่ด้วย …
539. … ในบริษัทภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ นั่งอยู่ด้วย …
540. … ในบริษัทที่คนผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต นั่งอยู่ด้วย …

541 .
ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่อุภโตพยัญชนก นั่งอยู่ด้วยรูปใดสวด
ต้องอาบัติทุกกฏ
.
[๒๐๒]
542. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงทำ อุโบสถด้วยการให้ปาริสุทธิค้างคราว เว้นแต่ บริษัทยังไม่ลุกไป.
[๒๐๓]

543. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ไม่พึงทำอุโบสถในกาลมิใช่วันอุโบสถเว้นแต่วันสังฆสามัคคี.
อุโบสถขันธกะ จบ.

หน้า 320

ขันธ์ที่ ๓ : วัสสูปนายิกขันธกะ
หมวดว่าด้วยการจำพรรษา

หน้า 320-1
ทรงอนุญาตการจำพรรษา
[๒๐๕]
โดยสมัยนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ณพระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแตเขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นพระ ผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติการจำพรรษา แก่ภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อนและฤดูฝน.

คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนา ว่าไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาวฤดูร้อน และฤดูฝนเหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะยังสัตว์เล็กๆจำนวนมาก ให้ถึงความวอดวายเล่าก็พวกปริพาชก อัญญเดียรถีย์เหล่านี้เป็นผู้กล่าวธรรมอันต่ำทรามยังพักยังอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน

อนึ่งฝูงนกเหล่านี้เล่าก็ยังทำรังบนยอดไม้ และพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน
ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาวฤดูร้อน และฤดูฝนเหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะยังสัตว์เล็กๆจำนวนมากให้ถึงความวอดวาย.

ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาใน เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้ว รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

544 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษา.

หน้า 320-2
การจำพรรษา
อย่าง
[๒๐๖]
ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายคิดกันว่าพวกเราพึงจำพรรษาเมื่อไรหนอตรัสว่า

545.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในฤดูฝน.
ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายคิดกันว่าวันเข้าพรรษามีกี่วันหนอตรัสว่า

546.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันเข้าพรรษานี้มี ๒ คือ
ปุริมิกา วันเข้าพรรษาต้น
ปัจฉิมิกา
วันเข้าพรรษาหลัง
เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง พึงเข้าพรรษาต้น เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้วเดือนหนึ่งพึงเข้าพรรษาหลัง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันเข้าพรรษามี ๒ วัน เท่านี้แล.

พระฉัพพัคคีย์เที่ยวจาริกทุกเวลา
[๒๐๗]
547. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจำพรรษา ไม่อยู่ให้ตลอด ๓ เดือนต้น หรือ ๓ เดือนหลัง ไม่พึงหลีกไปสู่จาริก รูปใดหลีกไป ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระฉัพพัคคีย์ไม่จำพรรษา
[๒๐๘]

548 .
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจะไม่จำพรรษาไม่ได้ รูปใดไม่จำพรรษา ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมาพระฉัพพัคคีย์ไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาแกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสียตรัสว่า

549 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาไม่พึงแกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย รูปใดล่วงเลยไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 322
เลื่อนกาลฝน
[๒๐๙]
ก็โดยสมัยนั้นแลพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชมีพระราชประสงค์จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไปจึงทรงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าถ้ากระไรขอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงจำพรรษาในชุณหปักษ์อันจะมาถึงตรัสว่า

550.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน.

หน้า 322-1
เรื่องทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะ

ทายกสร้างวิหารเป็นต้นถวาย
[๒๑๐]
โดยสมัยนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณพระเวฬุวันอันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติการจำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาวฤดูร้อนและฤดูฝน. คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่าไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาวฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสดเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะยังสัตว์เล็กๆจำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกปริพาชก อัญญเดียรถีย์เหล่านี้ เป็นผู้กล่าวธรรม อันต่ำทรามยังพักยังอาศัยอยู่ประจำ ตลอดฤดูฝนอนึ่งฝูงนกเหล่านี้ เล่าก็ยังทำรังบนยอดไม้ และพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน

ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาวฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสดเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะยังสัตว์เล็กๆจำนวนมากให้ถึงความวอดวาย.

ภิกษุทั้งหลายได้ยิน คนพวกนั้นเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้ว รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

551. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๗ จำพวกส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แม้เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต บุคคล ๗ จำ พวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณรสามเณรี อุบาสก อุบาสิกา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล๗ จำพวกนี้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต พึงกลับใน วัน.

552.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมาพึงไปด้วยสัตตาหกรณียะ ได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไปพึงกลับใน วัน.

553.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียวอุทิศสงฆ์ …
554. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
555. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
556. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
557. … ได้ให้สร้างบริเวณ …
558. … ได้ให้สร้างซุ้ม …
559. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
560. … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
561. … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
562. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
563. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
564. … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
565. … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
566. … ได้ให้สร้างโรงน้ำ …
567. … ได้ให้สร้างเรือนไฟ …
568. … ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ …
569. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
570. … ได้ให้สร้างมณฑป …
571. … ได้ให้สร้างอาราม …
572. … ได้ให้สร้างอารามวัตถุ …

573.
ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรมและพบ เห็น ภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้แต่เมื่อเขาไม่ส่งมาก็ไม่พึงไป พึงกลับใน วัน.

574.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน …
575. … ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุรูปหนึ่ง …
576. … ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว …
577. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
578. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
579. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
580. … ได้ให้สร้างบริเวณ …
581 . … ได้ให้สร้างซุ้ม …
582. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
583. … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
584 . … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
585. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
586. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
587. … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
588 . … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
589 . … ได้ให้สร้างโรงน้ำ …
590. … ได้ให้สร้างเรือนไฟ …
591 . … ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ …
592. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
593. … ได้ให้สร้างมณฑป …
594 . … ได้ให้สร้างอาราม …
595. … ได้ให้สร้างอารามวัตถุ …

596.
ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบ เห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน วัน.

597.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุณีสงฆ์ …
598 . … อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน …
599 . … อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง …
600. … อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน …
601. … อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง …
602. … อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน …
603. … อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง …
604. … อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน …
605. … อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง …
606. … ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว …
607. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
608. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
609. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
610. … ได้ให้สร้างบริเวณ …
611 . … ได้ให้สร้างซุ้ม …
612. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
613. … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
614 . … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
615. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
616. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
617. … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
618 . … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
619 . … ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ …
620. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
621. … ได้ให้สร้างมณฑป …
622. … ได้ให้สร้างอาราม …
623. … ได้ให้สร้างอารามวัตถุ. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะ ถวายทาน ฟังธรรม และพบภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน วัน.

624.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างนิเวศน์เพื่อประโยชน์ตน
625. … ได้ให้สร้างเรือนนอน …
626. … ได้ให้สร้างโรงเก็บของ …
627. … ได้ให้สร้างร้าน …
628. … ได้ให้สร้างโรงกลม …
629. … ได้ให้สร้างร้านค้า …
630. … ได้ให้สร้างโรงร้านค้า …
631. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
632. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
633. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
634. … ได้ให้สร้างบริเวณ …
635. … ได้ให้สร้างซุ้ม …
636. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
637. … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
638. … ได้ให้สร้างโรงครัว …
639. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
640. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
641 . … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
642. … ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ …
643. … ได้ให้สร้างเรือนไฟ …
644 . … ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ …
645. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
646. … ได้ให้สร้างมณฑป …
647. … ได้ให้สร้างอาราม …

648 .
… ได้ให้สร้างอารามวัตถุ อนึ่ง จะมีการมงคลแก่บุตรก็ดีจะมีการมงคลแก่ธิดาก็ดี เขาเจ็บไข้ก็ดี จะกล่าวพระสุตตันตะที่รู้เฉพาะ ก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่าขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา จักได้เรียนพระสุตตันตะนี้ไว้ โดยวิธีที่พระสุตตันตะ นี้จะไม่เสื่อมสูญไปเสีย หรือว่าเขามีกิจหรือกรณียะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระ คุณเจ้า ทั้งหลายมาข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหะกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน วัน

649 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนา พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะ ได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไปพึงกลับใน วัน.

650.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียวอุทิศสงฆ์ …
651. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
652. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
653. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
654. … ได้ให้สร้างบริเวณ …
655. … ได้ให้สร้างซุ้ม …
656. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
657. … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
658. … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
659. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
660. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
661. … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
662. … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
663. … ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ …
664. … ได้ให้สร้างเรือนไฟ …
665. … ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ …
666. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
667. … ได้ให้สร้างมณฑป …
668. … ได้ให้สร้างอาราม …

669.
… ได้ให้สร้างอารามวัตถุ. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะ ถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมาก็ไม่พึงไป พึงกลับ ใน วัน.

670.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน …
671. … อุทิศภิกษุรูปหนึ่ง …
672. … อุทิศภิกษุณีสงฆ์ …
673. … อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน …
674. … อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง …
675. … อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน …
676. … อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง …
677. … อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน …
678. … อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง …
679. … อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน …
680. … อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง …
681 . … ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว …
682. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
683. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
684 . … ได้ให้สร้างถ้ำ …
685. … ได้ให้สร้างบริเวณ …
686. … ได้ให้สร้างซุ้ม …
687. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
688 . … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
689 . … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
690. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
691 . … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
692. … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
693. … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
694 . … ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ …
695. … ได้ให้สร้างเรือนไฟ …
696. … ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ …
697. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
698 . … ได้ให้สร้างมณฑป …
699 . … ได้ให้สร้างอาราม …

700.
… ได้ให้สร้างอารามวัตถุ. ถ้านางส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวาย ทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน วัน.

701.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างนิเวศน์เพื่อประโยชน์ตน 702. … ได้ให้สร้างเรือนนอน …
703. … ได้ให้สร้างโรงเก็บของ …
704. … ได้ให้สร้างร้าน …
705. … ได้ให้สร้างโรงกลม …
706. … ได้ให้สร้างร้านค้า …
707. … ได้ให้สร้างโรงร้านค้า …
708. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
709. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
710. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
711 . … ได้ให้สร้างบริเวณ …
712. … ได้ให้สร้างซุ้ม …
713. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
714 . … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
715. … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
716. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
717. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
718 . … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
719 . … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
720. … ได้ให้สร้างโรงน้ำ …
721. … ได้ให้สร้างเรือนไฟ …
722. … ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ …
723. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
724. … ได้ให้สร้างมณฑป …
725. … ได้ให้สร้างอาราม …

726. … ได้ให้สร้างอารามวัตถุ อนึ่ง จะมีการมงคลแก่บุตรก็ดีจะมีการมงคลแก่ธิดาก็ดี เขาเจ็บไข้ก็ดี จะกล่าวพระสุตตันตะที่รู้เฉพาะ ก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา จักได้เรียนพระสุตตันตะนี้ไว้ โดยวิธีที่พระสุตตันตะนี้ จะไม่เสื่อมสูญไปเสีย หรือว่าเขามีกิจหรือกรณียะอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมาดิฉันปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.

727.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ …
728. … ภิกษุณีได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ …
729. … สิกขมานาได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ …
730. … สามเณรได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ …
731. … สามเณรีได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ …
732. … อุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน …
733. … อุทิศภิกษุรูปหนึ่ง …
734. … อุทิศภิกษุณีสงฆ์ …
735. … อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน …
736. … อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง …
737. … อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน …
738. … อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง …
739. … อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน …
740. … อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง …
741 . … อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน …
742. … อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง …
743. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สามเณรีในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารเพื่อประโยชน์ตน
744 . … ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว …
745. … ได้ให้สร้างเรือนชั้น …
746. … ได้ให้สร้างเรือนโล้น …
747. … ได้ให้สร้างถ้ำ …
748 . … ได้ให้สร้างบริเวณ …
749 . … ได้ให้สร้างซุ้ม …
750. … ได้ให้สร้างโรงฉัน …
751. … ได้ให้สร้างโรงไฟ …
752. … ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี …
753. … ได้ให้สร้างวัจจกุฎี …
754. … ได้ให้สร้างที่จงกรม …
755. … ได้ให้สร้างโรงจงกรม …
756. … ได้ให้สร้างบ่อน้ำ …
757. … ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ …
758. … ได้ให้สร้างสระโบกขรณี …
759. … ได้ให้สร้างมณฑป …
760. … ได้ให้สร้างอาราม …
761. … ได้ให้สร้างอารามวัตถุ. ถ้านางส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวาย ทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน วัน.

หน้า 334
ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะเพราะสหธรรมิก
[๒๑๑]
ก็โดยสมัยนั้นแลภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ. เธอได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่ากระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย… ตรัสว่า

762. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสหธรรมิก ๕ แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา สหธรรมิก ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานาสามเณร สามเณรี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสหธรรมิก ๕ นี้แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ ไปด้วย สัตตาหกรณียะ ได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา แต่ต้องกลับใน วัน.

สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยภิกษุ

763.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้อาพาธ ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุ ทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุ. ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าว ไปไย เมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฏฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้อง กลับใน วัน.

764. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่ภิกษุในศาสนานี้.ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความกระสันบังเกิด แก่กระผมแล้ว ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไป ด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักระงับความ กระสัน หรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วย ระงับ หรือจัก ทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน วัน.

765.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความรำคาญบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าความรำคาญ บังเกิดแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมากระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไป ด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักบรรเทาความรำคาญ หรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วย บรรเทา หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน วัน.

766.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความเห็นผิดบังเกิดแก่ภิกษุในศาสนานี้.ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่า ความเห็นผิด บังเกิด แก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักเปลื้องความเห็นผิด จักวานภิกษุอื่นให้ช่วย เปลื้อง หรือจักทำ ธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน๗ วัน.

767.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ต้องครุกาบัติ1ควรอยู่ปริวาส. ถ้าเธอพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเอง ต้องครุกาบัติควรอยู่ปริวาส ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมากระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้ ปาริวาส จักช่วยสวด หรือจักเป็น คณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน วัน.

768.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่ากระผมเอง เป็น ผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมากระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้เมื่อเธอ มิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายชักเข้าหาอาบัติ เดิม จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะปูรกะแต่ต้องกลับใน วัน.

769.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรมานัต. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรมา นัต ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวาย ให้มานัต จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะ ปูรกะ แต่ต้องกลับใน วัน.

770.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรอัพภาน.ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควร อัพภาน ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไป ด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อัพภาน จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะ ปูรกะ แต่ต้องกลับใน วัน.

771. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรม คือตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุในศาสนานี้. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรมแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอสงฆ์จึงจะไม่ทำกรรม หรือพึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา แต่ต้องกลับใน วัน.

772.
อนึ่ง ภิกษุนั้นได้ถูกสงฆ์ทำกรรม คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรมปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรืออุกเขปนียกรรมแล้ว. ถ้าเธอจะพึงส่ง ทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่กระผมแล้ว ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไร หนอ ภิกษุนั้นพึงประพฤติชอบหายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ สงฆ์จะได้ระงับกรรมนั้นเสีย แต่ต้องกลับใน วัน.

สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยภิกษุณี
773. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุณีในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณ เจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าว ไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฏฐากภัต คิลานเภสัชจักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน วัน.

774. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความกระสันบังเกิด แก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไป ด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่าจักระงับความกระสัน หรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือจักทำ ธรรมกถา แก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน วัน.

775.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความรำคาญบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุ ทั้งหลายว่าความรำคาญ บังเกิดแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่าจักบรรเทาความรำคาญ หรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน วัน.

776.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความเห็นผิดบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำ นักภิกษุทั้งหลายว่าความเห็นผิด บังเกิด แก่ดิฉัน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักเปลื้องความเห็นผิดจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยเปลื้อง หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุณีนั้นแต่ต้องกลับใน วัน.

777.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ต้องครุกาบัติควรมานัต. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองต้อง ครุกาบัติ ควรมานัต ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่าจักทำการขวนขวายให้มานัต แต่ต้องกลับใน วัน.

778.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองเป็น ผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่าจักทำการขวนขวายชักเข้าหาอาบัติเดิม แต่ต้องกลับใน๗ วัน.

779.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ควรอัพภาน.ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองเป็นผู้ควรอัพภาน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อัพภาน แต่ต้องกลับใน วัน.

780.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรม คือตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรมหรืออุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุณีในศาสนานี้. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรมแก่ดิฉัน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเธอ ส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ สงฆ์จึงจะไม่ทำกรรม หรือพึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา แต่ต้องกลับใน วัน.

781 .
อนึ่งภิกษุณีนั้นได้ถูกสงฆ์ทำกรรม คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรมปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรือ อุกเขปนียกรรมแล้ว. ถ้าเธอจะพึง ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไร หนอ ภิกษุณีนั้นพึงประพฤติชอบหายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ สงฆ์จะได้ระงับกรรมนั้นเสียแต่ต้องกลับใน วัน.

สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสิกขมานา
782.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิกขมานาในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมาดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฏฐากภัตคิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน วัน.

783.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สิกขมานาในศาสนานี้ …

784 .
… ความรำคาญบังเกิด …

785.
… ความเห็นผิดบังเกิด …

786.
… สิกขาของสิกขมานาในศาสนานี้กำเริบ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สิกขาของดิฉันกำเริบแล้วขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้สมาทานสิกขา แต่ต้องกลับใน วัน.

787.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สิกขมานาในศาสนานี้เป็นผู้ใคร่จะอุปสมบท. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าดิฉันเอง ใคร่จะ อุปสมบท ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมาดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อุปสมบท จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน วัน.

สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสามเณร
788 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สามเณรในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนา ภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้อง กล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฏฐากภัต คิลานเภสัชจักถามอาการ หรือจัก พยาบาล แต่ต้อง กลับใน วัน.

789 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สามเณรในศาสนานี้ …

790.
… ความรำคาญบังเกิด …

791 .
… ความเห็นผิดบังเกิด …

792.
สามเณรเป็นผู้ใคร่จะถามปี. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองใคร่จะถามปี ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักถามหรือจักบอก แต่ต้องกลับใน วัน.

793.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สามเณรในศาสนานี้เป็นผู้ใคร่จะอุปสมบท. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองใคร่จะ อุปสมบท ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมากระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไป ด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อุปสมบท จักช่วยสวด หรือจักเป็นคุณ ปูรกะ แต่ต้องกลับใน วัน.

สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสามเณรี
794 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สามเณรีในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธขออาราธนา พระคุณเจ้า ทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไป ด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไป ไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฏฐากภัต คิลานเภสัชจักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน วัน.

795.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สามเณรีในศาสนานี้ …

796.
… ความรำคาญบังเกิด …

797.
… ความเห็นผิดบังเกิด …

798 .
… สามเณรีเป็นผู้ใคร่จะถามปี …

799 .
สามเณรีเป็นผู้ใคร่จะสมาทานสิกขา. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองใคร่จะสมาทานสิกขา ขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้สมาทานสิกขา แต่ต้องกลับใน๗ วัน.
[๒๑๒]
ก็โดยสมัยนั้นแล มารดาของภิกษุรูปหนึ่งได้ป่วยไข้. นางส่งทูตไปในสำนักภิกษุ ผู้เป็นบุตรว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ดิฉันปรารถนาการมาของบุตร จึงภิกษุนั้นได้ดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า เมื่อบุคคล ๗ จำพวกส่งทูตมา ไปด้วยสัตตาห กรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา จะไปไม่ได้ สำหรับสหธรรมิก ๕ แม้มิได้ส่งทูตมา ก็ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา ก็นี่มารดาของเรา
กำลังป่วยไข้ และท่านก็มิใช่อุบาสิกา เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ … ตรัสว่า

800.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๗ จำ พวก แม้มิได้ส่งทูตมาเราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา บุคคล ๗ จำพวก คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานาสามเณร สามเณรี มารดาและบิดา. ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคล ๗ จำพวกนี้ แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมาแต่ต้องกลับใน วัน.

801. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มารดาของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้เป็นบุตรว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ขอบุตรของ ดิฉันจงมา ดิฉันปรารถนาการมาของบุตร. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อนางมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไย เมื่อนาง ส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฏฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน วัน.

802.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บิดาของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้เป็นบุตรว่า ฉันเองป่วยไข้ ขอบุตรของ ฉันจงมา ฉันปรารถนาการมาของบุตร. ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้เมื่อเขามิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเขา ส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัตคิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน วัน.

803.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พี่ชายน้องชายของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้พี่ชายน้องชายว่า กระผมเอง ป่วยไข้ ขอพี่ชายน้องชายของกระผมจงมา กระผมปรารถนาการมาของพี่ชายน้องชาย. ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาห กรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน วัน.

804.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พี่หญิงน้องหญิงของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ขอพี่ชาย น้องชายของดิฉันจงมา ดิฉันปรารถนาการมาของพี่ชายน้องชาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อ เขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไปแต่ต้องกลับใน วัน.

805.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ญาติของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปสำนักภิกษุว่า กระผมเองป่วยไข้ ขอพระคุณเจ้าจงมา กระผมปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน วัน.

806.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุรุษผู้ภักดีต่อภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้.ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุว่า กระผมเองป่วยไข้ขออาราธนาภิกษุ ทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่ง ทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน วัน.

หน้า 345
ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะเพราะกิจของสงฆ์

[๒๑๓]
ก็โดยสมัยนั้นแลมหาวิหารของสงฆ์ชำรุดลง อุบาสกคนหนึ่ง ได้ให้ตัดเครื่องทัพพ สัมภาระ ไว้ในป่า. เขาส่งทูตไปใน สำนักภิกษุทั้งหลาย ถ้าพระคุณเจ้าทั้งหลาย จะพึงขนเครื่อง ทัพพสัมภาระนั้นไปได้กระผม ขอถวายเครื่องทัพพสัมภาระนั้น…ตรัสว่า

807.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปได้เพราะกรณียะของสงฆ์ แต่ต้องกลับใน วัน

หน้า 345-1

อันตรายของภิกษุผู้จำพรรษา

• ถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียนเป็นต้น

[๒๑๔]
ก็โดยสมัยนั้นแลภิกษุทั้งหลาย จำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบทถูกเหล่าสัตว์ร้ายเบียดเบียน มันจับเอาไปได้บ้างหนีมันรอดมาได้บ้าง… ตรัสว่า

808. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียน มันจับเอาไปได้บ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง. พวกเธอ พึงหลีกไปด้วยความสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

809.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วถูกงูเบียดเบียน มันขบกัดเอาบ้าง หนีมัน รอดมาได้บ้าง. พวกเธอพึง หลีกไป ด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

810.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วพวกโจรเบียดเบียน มันปล้นบ้าง รุมตีบ้าง. พวกเธอพึงหลีกไปด้วย สำคัญ ว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

811 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วถูกพวกปิศาจรบกวน มันเข้าสิงบ้าง พาเอาไปบ้าง. พวกเธอพึงหลีก ไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

812.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วหมู่บ้านประสบอัคคีภัย. ภิกษุทั้งหลายลำบาก ด้วย บิณฑบาต. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

813.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วเสนาสนะถูกไฟไหม้. ภิกษุทั้งหลาย เดือดร้อนด้วย เสนาสนะ. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

814 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วหมู่บ้านประสบอุทกภัย. ภิกษุทั้งหลาย ลำบากด้วยบิณฑบาต. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

815.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วเสนาสนะถูกน้ำท่วม. ภิกษุทั้งหลายเดือดร้อน ด้วยเสนาสนะ. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.
[๒๑๕]
ก็โดยสมัยนั้นแลเมื่อภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งชาวบ้านอพยพไปเพราะพวกโจรภัยตรัสว่า

816.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้าน.ชาวบ้านแยกกันเป็นสองพวกตรัสว่า

817.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้านที่มากกว่า.ชาวบ้านที่มากกว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใสตรัสว่า

818 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส.
[๒๑๖]
ก็โดยสมัยนั้นแลภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ไม่ได้โภชนาหารอันเศร้าหมอง หรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการตรัสว่า

819 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วไม่ได้โภชนาหารอันเศร้าหมอง หรือประณีต บริบูรณ์ ตามต้องการ. พวกเธอ พึง หลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

820.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้โภชนาหารอันเศร้าหมอง หรือประณีตบริบูรณ์ ตามต้องการ แต่ไม่ได้ โภชนาหารอันเป็นที่สบาย พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่านั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

821.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วได้โภชนาหารอันเศร้าหมอง หรือประณีตบริบูรณ์ ตามต้องการและได้โภชนาหารอันเป็นที่สบาย แต่ไม่ได้ เภสัชอันเป็นที่สบายพวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแล อันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.

822.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วได้โภชนาหารอันเศร้าหมอง หรือประณีตบริบูรณ์ตาม ต้องการได้ โภชนาหารอันเป็นที่สบาย ได้เภสัชอันเป็นที่สบาย แต่ไม่ได้อุปัฏฐากที่สมควร พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

823.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้วสตรีนิมนต์ว่า ขอท่านจงมาเถิดเจ้าข้า ดิฉันจะถวาย เงิน ทองนา สวน พ่อโค แม่โค ทาส ทาสี แก่ท่าน จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของท่าน ดิฉันจะยอมเป็นภรรยาของท่าน หรือมิฉะนั้นจะนำสตรีอื่น มาให้เป็นภรรยาของท่าน. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็น ธรรมชาติกลับกลอกเร็วนัก สักหน่อย จะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่ พรรษาขาด.

824.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้วหญิงแพศยานิมนต์ …

825.
… หญิงสาวเทื้อนิมนต์ …
826.
… บัณเฑาะก์นิมนต์ …
827. … พวกญาตินิมนต์ …
828. … พระราชาทั้งหลายนิมนต์ …
829. … พวกโจรนิมนต์ …

830.
… พวกนักเลงนิมนต์ว่า ขอท่านมาเถิดขอรับ พวกข้าพเจ้าจักถวาย เงิน ทอง นา สวน พ่อโค แม่โค ทาส ทาสี แก่ท่านจะยก ลูกสาว ให้เป็นภรรยาท่าน หรือจะนำสตรีอื่นมาให้เป็นภรรยาของท่าน. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติ กลับกลอกเร็วนักสักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสียไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

831.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว พบทรัพย์ไม่มีเจ้าของ. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติ กลับกลอกเร็วนัก สักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษา ขาด.

832.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เห็นภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่อง นั้นถ้า ภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก เมื่อเราอยู่พร้อมหน้า สงฆ์อย่าแตกกันเลยพึงหลีก ไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

833.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่าการทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก เมื่อเรายังอยู่พร้อมหน้า สงฆ์อย่าแตกกันเลย พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

834.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลายพระผู้มี พระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนักพวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตามจักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ย โสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

835.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่ใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุที่เป็นมิตรของภิกษุเหล่านั้น เป็นมิตรกับ เรา เราจักบอกกับภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่าอาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็น กรรมหนักนัก พวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเราจักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้อง อาบัติ แต่พรรษาขาด.

836.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำ พรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า การ ทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนักพวกท่านอย่าพอใจทำ ลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตามจักเชื่อฟังคำของเราจักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีก ไปเสียไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

837.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นมิใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุที่เป็นมิตรของภิกษุเหล่านั้นเป็นมิตรกับเรา เราจักบอกภิกษุ เหล่านั้น ภิกษุที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลาย พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อ ฟังคำ ของเราจักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

838.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียก ตะกาย เพื่อ ทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้อง หญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำ ลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำ ของเราจักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสียไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

839.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียก ตะกาย เพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นมิใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุณีที่เป็นมิตรของ ภิกษุณี เหล่านั้นเป็น มิตรกับเรา เราจักบอกภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่าดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มี พระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

840.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกันได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องอย่า พอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลง สดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.

841 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นไม่ใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุณีที่เป็นมิตรของภิกษุณีเหล่านั้นเป็นมิตรกับเรา เราจักบอก ภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลาย สงฆ์เป็นกรรม หนักนักพวกน้องหญิงอย่าพอใจทำ ลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้อง อาบัติ แต่พรรษาขาด

หน้า 352
ทรงอนุญาตสถานที่ในการจำพรรษา

[๒๑๗]
ก็โดยสมัยนั้นแลภิกษุรูปหนึ่งใคร่จำพรรษาในหมู่โคต่างตรัสว่า

842.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในหมู่โคต่างได้.หมู่โคต่างย้ายไป… ตรัสว่า

843.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุญาตให้เดินทางไปกับหมู่โคต่างได้. สมัยต่อมาภิกษุรูปหนึ่งเมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา ใคร่จะเดินทาง ไปกับพวกเกวียน… ตรัสว่า

844 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุญาตให้จำพรรษาในหมู่พวกเกวียนได้. สมัยต่อมาภิกษุรูปหนึ่งเมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา ใคร่จะเดินทาง ไปกับเรือ… ตรัสว่า

845. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในเรือได้.

หน้า 353
ทรงห้ามจำพรรษาในสถานที่ไม่สมควร
[๒๑๘]
846.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในโพรงไม้รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
847. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาบนค่าคบไม้รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
848. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในที่แจ้ง รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
849. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่มีเสนาสนะไม่พึงจำพรรษา รูปใดจำต้องอาบัติทุกกฏ
850. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในกระท่อมผี รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ
851. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในร่ม รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
852. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในตุ่ม รูปใดจำต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 353-1
ตั้งกติกาไม่เป็นธรรมในระหว่างพรรษา
[๒๒๐]
853. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงตั้งกติกาเช่นนี้ว่า ในระหว่างพรรษาห้ามไม่ให้บรรพชา รูปใดตั้ง ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 354
จำพรรษาในอาวาส แห่ง
[๒๒๑]
…ดูกรอุปนนท์ ข่าวว่าเธอถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่าจะอยู่จำพรรษา แล้วทำให้คลาดจริงหรือ.  จริงพระพุทธเจ้าข้า.
ดูกรโมฆบุรุษ เธอถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้คลาดเสียเล่า. เราติเตียนการพูดเท็จ สรรเสริญ กิริยาที่เว้นจากการพูดเท็จโดยอเนกปริยายแล้วมิใช่หรือ. การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส …

854.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น พบอาวาส๒ แห่ง มีจีวรมาก ในระหว่างทางจึงคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราจะพึง จำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จีวรเป็นอันมากก็จักบังเกิดแก่เรา ดังนี้. เธอจึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏและเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ

หน้า 354-1
ปฏิญาณจำพรรษาต้น

[๒๒๒]
855. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา ต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

856.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา ต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำจึงเข้าวิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

857.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา ต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอก วิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำ พรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

858.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้า พรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอก วิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย. ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

859. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้า พรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะตั้งน้ำ ฉัน น้ำ ใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วย สัตตาหกรณียะ. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ

860.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำ พรรษาในวัน เข้าพรรษาต้น. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไป ด้วยสัตตาหกรณียะ. เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.

861.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้า พรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภาย นอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหารจัด เสนาสนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. ยังอีก ๗ วัน จะถึงวันปวารณาเธอมีกิจจำเป็น หลีก ไปเสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษาต้น ของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.

862. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำ พรรษาในวันเข้า พรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้นทำ อุโบสถ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว. ดูกรภิกษ ุทั้งหลาย วันจำ พรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

863.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่าจะจำ พรรษาในวันเข้า พรรษาต้น เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถถึง วันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำ ใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำ เป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว

864.
… เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย …
865. … เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย …

866.
… เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษ ุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

867.
เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธอกลับมาภายใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้น ปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะ รับคำ.

868.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้า พรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถถึงวัน แรม ๑ ค่ำ จึงเข้าสู่วิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำ ฉัน น้ำ ใช้กวาดบริเวณ. ยังอีก ๗ วัน จะถึงวันปวารณา เธอมีกิจจำเป็นหลีกไป. ดูกรภิกษ ุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษาต้นของ ภิกษุนั้นปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.

หน้า 357
ปฏิญาณจำพรรษาหลัง
869.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา หลัง. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอก วิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนา สนะตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

870.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะจำพรรษา ในวันเข้า พรรษาหลัง. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำ ใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำ เป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว …

871.
… เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย …
872. … เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย …

873.
… เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของ ภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.

874.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่าจะจำพรรษา ในวันเข้า พรรษาหลัง. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำ ใช้ กวาดบริเวณ. เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วย สัตตาหกรณียะ. เธอกลับมาภายใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลายวันจำพรรษา หลังของภิกษุ นั้นปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติเพราะรับคำ.

875.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่าจะจำพรรษา ในวันเข้า พรรษาหลัง …

876.
… ยังอีก ๗ วัน จะครบ ๔ เดือน อันเป็นที่บานแห่งดอกโกมุทเธอมีกิจจำเป็น หลีกไป เสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่ อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษาหลัง ของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.

877.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่าจะจำพรรษา ในวันเข้า พรรษาหลัง. เธอเข้าไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอไม่มี กิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว

878.
… เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว …
879. … เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย …
880. … เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย …

881 .
… เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของ เธอไม่ปรากฏ และเธอ ต้องอาบัติทุกกฏ เพราะ รับคำ.

882.
… เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธอกลับมา ภายใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของภิกษุ นั้นปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะ รับคำ.

883.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้า พรรษาหลัง …

884 .
… ยังอีก ๗ วันจะครบ ๔ เดือน อันเป็นที่บานแห่งดอกโกมุทเธอมีกิจจำ เป็น หลีกไป เสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจักมาสู่ อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษาหลัง ของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอ ไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.

วัสสูปนายิกขันธกะ จบ.

หน้า 360
ขันธ์ที่ : ปวารณาขันธกะ

หมวดว่าด้วยการให้ภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือนได้

[๒๒๖]
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาไม่ผาสุกเลย ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาอย่างปศุสัตว์อยู่ร่วมกันแท้ๆ ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาอย่างแพะอยู่ร่วมกันแท้ๆ ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก ข่าวว่า โมฆบุรุษพวก นี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาอย่างคนประมาทอยู่ร่วมกันแท้ๆ ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก.

หน้า 360-1
ทรงห้ามมูควัตร ติตถิยสมาทาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุไฉน โมฆบุรุษพวกนี้จึงได้ถือมูควัตร ซึ่งพวกเดียรถีย์ถือกัน …
885. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมาทานมูควัตร ที่พวกเดียรถีย์สมาทานกัน รูปใดสมาทาน ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 360-2
ทรงอนุญาตปวารณา
886. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายอยู่จำพรรษา แล้วปวารณาด้วยเหตุ ๓ สถาน คือ ด้วยได้เห็น ๑ ด้วยได้ฟัง ๑ ด้วยสงสัย ๑ การปวารณานั้นจักเป็นวิธีเหมาะสมเพื่อว่ากล่าวกันและกัน เป็นวิธีออกจาก อาบัติ เป็นวิธีเคารพพระวินัยของพวกเธอ.

วิธีปวารณา

887. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงปวารณา อย่างนี้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ กรรมวาจาว่าดังนี้

สัพพสังคาหิกาญัตติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วันนี้เป็นวันปวารณา ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวปวารณาอย่างนี้ ว่าดังนี้

เตวาจิกาปวารณา
เธอทั้งหลาย ฉันปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่า กล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ฉันปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉันฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ฉันปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่า กล่าวฉันฉันเห็น อยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวปวารณาอย่างนี้ ว่าดังนี้ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความ กรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้าข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสียท่านเจ้าข้า แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ด ีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย ท่านเจ้าข้า แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

หน้า 362
ทรงอนุญาตให้นั่งกระโหย่งปวารณา
[๒๒๗]
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพระฉัพพัคคีย์เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่ ยังนั่ง บนอาสนะ จริงหรือ.จริงพระพุทธเจ้าข้า.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษพวกนั้น เมื่อภิกษุผู้เถระ ทั้งหลายนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่ จึงได้นั่งอยู่บนอาสนะเล่า …

888 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบรรดาภิกษุผู้เถระนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่ภิกษุไม่พึงนั่งบนอาสนะ รูปใดนั่ง ต้องอาบัติทุกกฏ.

889 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทุกรูปนั่งกระโหย่งปวารณา.สมัยต่อมาพระเถระ รูปหนึ่งชราทุพพลภาพนั่งกระโหย่งรอคอยอยู่จนกว่าภิกษุทั้งหลายจะปวารณาเสร็จทุกรูปได้เป็นลมล้มลง

890. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นั่งกระโหย่งในระหว่างที่ยังปวารณา และอนุญาตให้ ภิกษุปวารณา แล้วนั่ง บนอาสนะ.

หน้า 362-1
วันปวารณามี
[๒๒๘]
ครั้งนั้นแลภิกษุทั้งหลายสงสัยว่าวันปวารณามีกี่วัน. … ตรัสว่า
891 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันปวารณานี้มี ๒ คือ วัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ.ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันปวารณามี ๒ เท่านี้แล.

หน้า 362-2
อาการที่ทำปวารณามี
ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายสงสัยว่าอาการที่ทำปวารณามีเท่าไรหนอ. … ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย อาการที่ทำปวารณานี้มี ๔ คือ
1. การทำปวารณาเป็นวรรคโดยอธรรม
2. การทำปวารณาพร้อมเพรียงกันโดยอธรรม
3. การทำปวารณาเป็นวรรคโดยธรรม
4. การทำปวารณาพร้อมเพรียงกันโดยธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในการทำปวารณา ๔ นั้น.

892. การทำปวารณานี้ใด เป็นวรรคโดยอธรรม การทำปวารณาเห็นปานนั้น ไม่ควรทำ และ เราก็ไม่อนุญาต.
893. การทำปวารณานี้ใด ที่พร้อมเพรียงกันโดยอธรรม การทำปวารณาเห็นปานนั้น ไม่ควรทำ และ เราก็ไม่อนุญาต.
894 . การทำปวารณานี้ใด ที่เป็นวรรคโดยธรรม การทำปวารณาเห็นปานนั้น ไม่ควรทำ และ เราก็ไม่อนุญาต.
895. การทำปวารณานี้ใด ที่พร้อมเพรียงกันโดยธรรม การทำปวารณาเห็นปานนั้น ควรทำ และเราก็อนุญาต.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอพึงทำในใจว่า จักทำปวารณากรรมชนิดที่พร้อม เพรียงกันโดยธรรม ดังนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แล.

หน้า 363
ทรงอนุญาตให้มอบปวารณา

[๒๒๙]
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประชุมกัน สงฆ์จักปวารณา. ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่ายังมีภิกษุอาพาธอยู่เธอมา ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า.
896. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธมอบปวารณา

วิธีมอบปวารณา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบอย่างนี้ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้า อุตราสงค์เฉวียงบ่านั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำมอบปวารณาอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอมอบปวารณา ขอท่านจงนำปวารณาของข้าพเจ้าไป ขอท่านจงปวารณาแทน ข้าพเจ้าภิกษุรับด้วยกาย รับด้วยวาจา รับด้วยกายด้วย วาจาก็ได้ เป็นอันภิกษุอาพาธมอบ ปวารณาแล้ว. ไม่รับด้วยกาย ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยกายด้วยวาจา ไม่เป็นอันภิกษุ
อาพาธมอบปวารณา. หากได้ภิกษุผู้รับอย่างนี้นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ ภิกษุทั้งหลาย พึงใช้เตียงหรือตั่ง หามภิกษุ อาพาธนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์แล้วปวารณา.

897.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้ มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า หากพวกเราจัก ย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นจักถึงมรณภาพ ดังนี้ไม่พึงย้ายภิกษุอาพาธ สงฆ์พึงไปปวารณาในสำนักภิกษุ อาพาธนั้น แต่สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณาหากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

898 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำ ปวารณาหลบไปเสียจากที่นั้นแล ภิกษุอาพาธพึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น.

899 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ณ ที่นั้นแหละ … ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีดเดียรถีย์ ปฏิญาณเป็นดิรัจฉาน ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดาปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์ ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนกภิกษุอาพาธพึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น.

900.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสียใน ระหว่างทาง ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.

901.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ในระหว่างทาง ถึงมรณภาพ … ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.

902.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้วหลบไปเสีย ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.

903.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้วสึกเสีย ถึงมรณภาพ … ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.

904.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้วหลับเสียมิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.

905.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้ว เข้าสมาบัติ มิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.

906.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้วเผลอไปไม่ได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.

907.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้วแกล้งไม่บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว แต่ภิกษุผู้นำปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

908.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ณ ที่นั้นแหละ … ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่านปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามกปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีดเดียรถีย์ ปฏิญาณเป็นดิรัจฉาน ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดาปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์ ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนกภิกษุอาพาธจึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น.

909.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสีย ในระหว่างทาง

ปวารณาไม่เป็นอันนำมา
.
910. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสียใน ระหว่างทาง ถึงมรณภาพ … ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.

911 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้ว หลบไปเสีย

ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว
.
912. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้วสึกเสีย ถึงมรณภาพ … ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.

913.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้ว หลับเสียมิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.

914 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้ว เข้าสมาบัติ มิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.

915.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้ว เผลอไปไม่ได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.

916.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุม สงฆ์แล้ว แกล้งไม่บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว แต่ภิกษุผู้นำปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

917.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในวันปวารณา เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มอบปวารณา มอบฉันทะด้วย เผื่อสงฆ์จะมีกรณียกิจ.

หน้า 367
การปวารณาเมื่อภิกษุถูกจับไว้
[๒๓๐]
918 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในวันปวารณา พวกญาติจับภิกษุในศาสนานี้ไว้. หมู่ญาติเหล่านั้น อันภิกษุทั้งหลายพึง ว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุรูปนี้ สักครู่หนึ่งพอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การ ขอร้องอย่างนี้ หมู่ญาติเหล่านั้นอันภิกษุ ทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง สักครู่ก่อนพอภิกษุรูปนี้มอบปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ พึงว่า กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายขอพวกท่านกรุณานำ ภิกษุนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอสงฆ์ ปวารณาเสร็จ. ถ้าได้การ ขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้สงฆ์เป็นวรรค ไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ

919 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งในวันปวารณาพระราชาทั้งหลายได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้
920. … พวกโจรได้จับ
921. … พวกนักเลงได้จับ
922. … พวกภิกษุที่เป็นข้าศึกได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้. พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน พอภิกษุนี้มอบปวารณา เสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดีหากไม่ได้ พวกนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่าท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณาพาภิกษุรูปนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอสงฆ์ปวารณา เสร็จ. หากได้การขอ ร้องอย่างนี้นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค ไม่พึงปวารณา หากขืน ปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 368

ปวารณาเป็นการสงฆ์
[๒๓๑]
ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป จึงภิกษุเหล่านั้น ได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติไว้ว่าพึงปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่ เพียง๕รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ… ตรัสว่า
923. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์.

หน้า 369

ปวารณาเป็นการคณะ
สมัยต่อมาในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน๔รูปจึงภิกษุเหล่านั้น ได้มีความ ปริวิตกว่าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ก็พวกเรามีอยู่ เพียง๔รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ… ตรัสว่า

924.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน.

วิธีทำคณะปวารณา
925. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบ ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า

ญัตติกรรมวาจาขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า วันนี้เป็นวันปวารณา ถ้าความพร้อมพรั่ง ของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า

คำปวารณา
เธอ ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอท่าน ทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่า กล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอ ฉันปวารณาต่อท่าน ทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วย สงสัยก็ดี ขอท่านงหลายจงอาศัย ความกรุณาว่ากล่าวฉันฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอ ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดีด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณา ว่ากล่าวฉัน ฉันเห็น อยู่จักทำคืนเสีย

ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวคำปวารณาต่อ ภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่าท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจง อาศัยความกรุณาว่ากล่าวผมผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

หน้า 370

คณะปวารณา (พระ
รูป)
926.
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน

วิธีทำคณะปวารณา

927. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้น ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า

ญัตติกรรมวาจา
ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า วันนี้เป็นวันปวารณา ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลาย ถึงที่แล้ว เราทั้งหลาย พึงปวารณากันเถิด.ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณา ต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ ว่าดังนี้

คำปวารณา
เธอ ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลาย จงอาศัยความกรุณา ว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอ ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณา ว่ากล่าวฉันฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอ ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณา ว่ากล่าวฉันฉันเห็นอยู่จัก ทำคืนเสีย.

ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวคำปวารณา ต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ ว่าท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย ด้วยได้เห็นก็ดีด้วย ได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัย ความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่ จักทำคืนเสีย.

ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่าน ทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำ คืนเสีย. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่าน ทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟัง ก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

หน้า 371

คณะปวารณา (พระ
รูป)
928. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน.

วิธีทำคณะปวารณา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุทั้งสองพึงปวารณาอย่างนี้ ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้นวกะอย่างนี้ ว่าดังนี้เธอ ฉันปวารณา ต่อเธอ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดีขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็น อยู่จักทำคืนเสียเธอ ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสียเธอ ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่ สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็น อยู่จักทำคืนเสีย.

ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวคำปวารณา ต่อภิกษุผู้เถระอย่างนี้ ว่า ดังนี้ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดีขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสียท่าน ผมปวารณาต่อท่าน แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดีด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจง อาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสียท่าน ผมปวารณาต่อท่าน แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟัง ก็ดีด้วย สงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.

หน้า 372

อธิษฐานปวารณา

929. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุในศาสนานี้อยู่รูปเดียว. ภิกษุนั้นพึงกวาด สถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุทั้งหลาย คือ จะเป็นโรงฉัน มณฑป หรือโคน ต้นไม้ ก็ตามแล้วจัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้ ปูอาสนะ ตามประทีป แล้วนั่งรออยู่. หากมีภิกษุเหล่าอื่น มา พึงปวารณาร่วมกับพวกเธอ หากไม่มีมาพึงอธิษฐานว่า ปวารณา ของเราวันนี้ หากไม่อธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.

930.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป จะนำปวารณาของภิกษุรูปกนึ่ง มาแล้ว 4 รูป ปวารณา เป็นการสงฆ์ไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

931.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้ว ๓ รูป ปวารณา ต่อกันไม่ได้หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

932.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้ว ๒ รูป ปวารณา ต่อกันไม่ได้หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

933.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้ว อีกรูปหนึ่งอธิษฐาน ไม่ได้หากขืนอธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 373
แสดงอาบัติก่อนปวารณา

[๒๓๒]
ก็โดยสมัยนั้นแลภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติในวันปวารณา. ธอได้คิดสงสัยในขณะนั้นว่าพระผู้มี พระภาคทรงบัญญัติไว้ว่าภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้วจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอตรัสว่า

934.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติในวันปวารณา. ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหา ภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตรา สงค์เฉวียงบ่านั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ผมแสดงคืนอาบัตินั้น
ภิกษุผู้รับพึงถามว่า ท่านเห็นหรือ.
ภิกษุผู้แสดงพึงตอบว่า ครับ ผมเห็น.
ภิกษุผู้รับพึงบอกว่า ท่านพึงสำรวมต่อไป.

สงสัยในอาบัติ
935. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่าท่านผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้น เมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อที่ สงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

กำลังปวารณาระลึกอาบัติได้
936. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ กำลังปวารณา ระลึกอาบัติได้. เธอพึงบอก ภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ลุกจากที่นี้แล้ว จักทำคืนอาบัตินั้น ครั้นแล้วพึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อ ที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.

937.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ กำลังปวารณา มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึง บอกภิกษุใกล้เคียง อย่างนี้ว่า อาวุโส ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้ว พึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อที่มี ความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

หน้า 375
สงฆ์ต้องสภาคาบัติ
938. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณาสงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้อง สภาคาบัติ. พวกเธอพึงส่ง ภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทันในมาถึงมีจำนวน เท่ากัน …

994 .
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …

995.
… บริษัทบางพวกลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนวันนั้นด้วยสั่งว่า อาวุโส คุณจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้นในสำ นักคุณ. ถ้าได้ภิกษุ เช่นนั้น อย่างนี้นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย ญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้

ญัตติกรรมวาจา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติเมื่อใด พบภิกษุรูปอื่นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ เมื่อนั้นสงฆ์ จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักภิกษุรูปนั้น ครั้นแล้วพึงปวารณา แต่ไม่พึงทำ อันตรายแก่ปวารณาเพราะ ข้อที่ต้องสภาคาบัติ นั้นเป็นปัจจัย.

สงสัยในสภาคาบัติ
939. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณาสงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ มีความ สงสัยในสภาคาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้

ญัตติกรรมวาจา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ จักหมดความสงสัย เมื่อใด จักทำคืนอาบัติ นั้นเมื่อนั้น.ครั้นแล้วพึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะ ข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

หน้า 376
ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ
[๒๓๓]
940. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกันแต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน (จึง) ปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า พวกเธอต้องปวารณาใหม่ ภิกษุที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

941 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มา พวกเธอมคี วามสำคญั ว่าเป็นธรรม มคี วามสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญ ว่าพร้อมกัน (จึง) ปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมี จำนวนเท่ากัน ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้วพวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

942.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่ มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรมมีความ สำคัญว่า เป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อม กัน(จึง) ปวารณา.เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้า ถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำ นวนน้อย กว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้วพวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป พวกที่ปวารณา แล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

943.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยัง ไม่มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความ สำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่า พร้อมกัน (จึง) ปวารณา.เมอื่ พวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นมาถึงมีจำนวน มากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ ภิกษุที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

944 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ภิกษุพวกที่ ปวารณาแล้ว เป็นอัน ปวารณาดีแล้วภิกษุพวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำ นักพวกเธอ พวกที่ ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

945.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุที่ปวารณา แล้ว เป็นอัน ปวารณาดีแล้วภิกษุพวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณา แล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

946.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญ ว่าพร้อมกัน (จึง) ปวารณา.เมื่อพวกเธอปวารณาเสรจ็ พอดี แต่บริษัท ยังไม่ทันลุกไปขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ ภิกษุพวกที่ ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

947.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน …

948 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ ปวารณาแล้ว เป็นอัน ปวารณาดีแล้ว พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

949 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่า พร้อมกัน (จึง) ปวารณา. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทบางพวก ลุกไปแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุ เจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

950.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน …

951.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ ปวารณาแล้ว เป็นอัน ปวารณาดีแล้วพวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณา แล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

952.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่ มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความ สำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน (จึง) ปวารณา. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น มาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

953.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน …

954.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ ปวารณาแล้ว เป็นอัน ปวารณาดีแล้วพวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณา แล้ว ไม่ต้องอาบัติ.

หน้า 379
ปวารณาเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน
๑๕ ข้อ
[๒๓๔]
955. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.พวกเธอรู้อยู่ว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความ สำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา. เมื่อพวกเธอกำ ลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

956.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

957.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว นอกนั้นพึงปวารณาต่อไป พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

958.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความ สำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า

959.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
960. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
961. … เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี บริษัทยังไม่ทันลุกไปขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า …
962. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
963. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …

964.
… เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี บริษัทบางพวกลุกไปแล้วขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า …
965. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
966. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
967. … เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า …
968. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
969. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 380
มีความสงสัยทำปวารณา
๑๕ ข้อ
[๒๓๕]
970. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น พวกอื่น ที่ยังไม่มา พวกเธอมีความสงสัยว่า พวกเราปวารณา กันจะสมควรหรือไม่สมควรหนอ ดังนี้ แล้วยังขืนปวารณา.

971.
เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

972.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
973. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่าภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

974.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสงสัยว่า พวกเราปวารณา กันจะสมควรหรือไม่สมควรหนอ ดังนี้ แล้วยังขืน ปวารณา. พอพวกเธอปวารณาเสร็จ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น มาถึงมีจำนวนมากกว่า …

975.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
976. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
977. … บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
978. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
979. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
980. … บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า …
981 . … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
982. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
983. … บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
985. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 382

ฝืนใจทำปวารณา
๑๕ ข้อ
[๒๓๖]
986. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา แต่ฝืนใจ ทำปวารณา ด้วยเข้าใจว่า พวกเรา ปวารณากัน สมควรแท้จะไม่สมควรก็หามิได้. เมื่อพวกเธอกำลั งปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น มาถึงมี จำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้น ต้องปวารณาใหม่ พวกที่ปวารณาแล้วต้องอาบัติทุกกฏ.

987.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …

988 .
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่าภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

989 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มาแต่ฝืนใจทำปวารณา ด้วยเข้าใจว่า พวกเรา ปวารณากันสมควรแท้จะไม่สมควร ก็หามิได้.พอพวกเธอปวารณาเสร็จ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า …

990.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
991 . … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
992. … บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
993. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมากกว่า
996. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
997. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
998 . … บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
999 . … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
1000. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 383
มุ่งความแตกร้าวทำปวารณา
๑๕ ข้อ
[๒๓๗]
1001. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้างพวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มา และมุ่ง ความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วย ภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

1002.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า …
1003. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่าภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

1004.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้างเกินกว่าบ้าง พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มาและมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา.พวกเธอปวารณาเสร็จ ขณะนั้น มีภิกษุเจ้า ถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า

1005.
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
1006. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
1007. … บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
1008. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
1009. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …
1010. … บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า …
1011 . … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
1012. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า …

1013.
… บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่. พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

1014 .
… ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน …
1015. … ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอัน ปวารณาดีแล้ว พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

หน้า 385
เปยยาลมุข
๗๐๐ ติกะ (1)
[๒๓๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูป ด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.พวกเธอไม่ทราบว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นกำลัง เข้ามาภายในสีมา …
… พวกเธอไม่ทราบว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาในสีมาแล้ว …
… พวกเธอไม่เห็น ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่กำลังเข้ามาในสีมา …
… พวกเธอไม่เห็น ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว …
… พวกเธอไม่ได้ยินว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา…
… พวกเธอไม่ได้ยินว่า มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว …
โดยนัย๑๗๕ติกะภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุเจ้าถิ่นภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุเจ้าถิ่นภิกษุเจ้าถิ่น กับภิกษุอาคันตุกะภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุอาคันตุกะรวมเป็น๗๐๐ติกะโดยเปยยาลมุข.

หน้า 386
ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะนับวันปวารณาต่างกัน
[๒๓๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น๑๔ ค่ำ ของพวกภิกษุ อาคันตุกะเป็น ๑๕ ค่ำ.

1016.
ถ้าพวกเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น.
1017. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น.

1018 .
ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงอนุวัตรพวกภิกษุอาคันตุกะ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุ อาคันตุกะเป็น ๑๔ ค่ำ.

1019 .
ถ้าพวกเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น.
1020. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น.

1021.
ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงอนุวัตรพวกภิกษุ อาคันตุกะ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑ ค่ำ ของพวกภิกษุ อาคันตุกะเป็น ๑๕ ค่ำ.

1022.
ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำ นวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนา ก็ไม่ให้ความสามัคคี แก่พวกภิกษุอาคันตุกะ พวกภิกษุอาคันตุกะพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.

1023.
ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนา ก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุ อาคันตุกะ พวกภิกษุอาคันตุกะ พึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.

1024.
ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุ อาคันตุกะ หรือพึงไปเสียนอกสีมา.ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นใน ศาสนานี้เป็น ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑ ค่ำ.

1025.
ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้ความสามัคคี แก่พวกภิกษุ เจ้าถิ่น หรือพึงไปเสียนอกสีมา.

1026.
ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือพึงไป เสียนอกสีมา.

1027.
ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะไม่ปรารถนา ก็ไม่ต้องให้ ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.

หน้า
387
ปวารณาของภิกษุที่สงสัยเป็นต้น

[๒๔๐]
1028. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ ได้เห็นอาการเจ้าถิ่น ลักษณะเจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่น ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น เตียง ตั่ง ฟูก ฟมอนจัดไว้ได้ระเบียบ น้ำฉันท์ น้ำ จัดหาไว้เป็นอันดี บริเวณกวาดสะอาดสะอ้าน ครั้นแล้ว มีความสงสัยว่า พวกภิกษุ เจ้าถิ่น มีหรือไม่มีหนอ. พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่เที่ยวค้นหา ครั้นแล้วขืนปวารณา ต้องอาบัติ ทุกกฏ.

1029.
… พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วแต่ไม่พบ จึงปวารณาไม่ต้องอาบัติ.
1030. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วพบ จึงปวารณาร่วมกันไม่ต้องอาบัติ.
1031. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วพบ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1032. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหาแล้วพบ ครั้นแล้วมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุพวกนั้น จงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุพวกนั้น ดังนี้จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

1033.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ ได้ยินอาการเจ้าถิ่น ลักษณะ เจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่น ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น ได้ยินเสียงเท้าของพวกภิกษุ เจ้าถิ่น กำลังเดินจงกรม ได้ยินเสียงท่องสาธยาย เสียงไอ เสียงจามครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุ เจ้าถิ่นยังมีหรือไม่มีหนอ.พวกเธอมีความสงสัย แต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

1034.
… พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วไม่พบครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
1035. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้วจึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
1036. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้วจึงแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1037. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้วมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

1038.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้เห็นอาการอาคันตุกะ ลักษณะ อาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะสิ่งที่แสดงอาคันตุกะของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้เห็น บาตรจีวร ผ้านิสีทนะ อันเป็นของภิกษุพวกอื่น ได้เห็นรอยน้ำล้างเท้าครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุ อาคันตุกะยังมี หรือไม่หนอ.พวกเธอมีความสงสัย แต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนปวารณา ต้องอาบัติ ทุกกฏ.

1039.
… พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วไม่พบครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้อง อาบัติ.
1040. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้ว จึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
1041 . … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้ว ได้แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1042. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้ว มุ่งความแตกร้าว ว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

1043.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้ยินอาการอาคันตุกะ ลักษณะ อาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะสิ่งที่แสดงอาคันตุกะของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้ยินเสียงเท้า ของพวกภิกษุ อาคันตุกะกำลังเดินมา ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบได้ยินเสียงไอ เสียงจาม ครั้นแล้ว มีความสงสัยว่า พวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่มีหนอ. พวกเธอมีความสงสัย แต่ไม่ ค้นหาครั้นแล้วขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

1044 .
… พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วไม่พบครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้อง อาบัติ.
1045. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้ว ได้ปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
1046. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้ว ได้แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1047. … พวกเธอมีความสงสัย ได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบครั้นพบแล้ว มุ่งความแตกร้าว ว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

หน้า 390
ภิกษุสมานสังวาสเป็นต้นปวารณา
[๒๔๑]
1048 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่นซึ่งเป็น นานาสังวาส พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นสมานสังวาส ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้วจึง ปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.

1049 .
… พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ต้องอาบัติ ทุกกฏ.
1050. … พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
1051. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่น ซึ่งเป็น สมานสังวาส พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นนานาสังวาส ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้ว
ปวารณา ร่วมกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

1052.
… พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติ ทุกกฏ.

1053.
… พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
1054. … พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
1055. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะ ซึ่งเป็น นานาสังวาส พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นสมานสังวาส ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้ว ปวารณา ร่วมกันไม่ต้องอาบัติ.

1056.
… พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ต้องอาบัติ
ทุกกฏ
.
1057. … พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ

1058. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ ได้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะ ซึ่งเป็น สมานสังวาส พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นนานาสังวาส ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้ว ปวารณา ร่วมกันต้องอาบัติทุกกฏ.

1059.
… พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติ ทุกกฏ.
1060. … พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.

หน้า 391

ไม่ควรไปไหนในวันปวารณา

[๒๔๒]
1061. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1062.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่ อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1063.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส หรือ ถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1064.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวนนอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1065.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1066.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1067.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุ ครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวนนอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1068.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1069.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสหรือถิ่น ที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1070.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส มีภิกษุซึ่งครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1071.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่ถิ่น ที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวนซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไป เป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1072.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1073.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน …

1074.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน

1075.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

1076.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุ ครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน

1077.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุ ครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน …

1078.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมี ภิกษุ ครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของภิกษุผู้เป็น นานา สังวาสนอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.

สถานที่ควรไปในวันปวารณา
1079. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุพึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาส ที่มีภิกษุครบจำนวน
1080.
… สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส …
1081 . … สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าเรา สามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.

1082.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน …
1083. … สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส …
1084 . … สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าเรา สามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.

1085.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุ ครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน …
1086. … สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส …
1087. … สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าจะ สามารถไปถึงในวันนี้แหละ.

บุคคลที่ควรเว้นในปวารณา
[๒๔๓]

1088 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1089 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี สิกขมานานั่งอยู่ด้วย …
1090. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี สามเณร นั่งอยู่ด้วย …
1091 . ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี สามเณรี นั่งอยู่ด้วย …
1092. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุผู้บอกลาสิกขาแล้ว นั่งอยู่ด้วย …
1093. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุ นั่งอยู่ด้วยรูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.

1094 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็น อาบัติ นั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณาพึงปรับอาบัติตามธรรม.
1095. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัตินั่งอยู่ด้วย รูปใด ปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม.

1096.
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก นั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม.

1097.
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี บัณเฑาะก์ นั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณาต้องอาบัติทุกกฏ.
1098 . ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนลักเพศ นั่งอยู่ด้วย …
1099 . ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุผู้เข้ารีดเดียรถีย์ นั่งอยู่ด้วย …
1100. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนคล้ายดิรัจฉาน นั่งอยู่ด้วย …
1101. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนฆ่ามารดา นั่งอยู่ด้วย …
1102. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนฆ่าบิดา นั่งอยู่ด้วย …
1103. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนฆ่าพระอรหันต์ นั่งอยู่ด้วย …
1104. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนประทุษร้ายภิกษุณี นั่งอยู่ด้วย …
1105. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี ภิกษุทำลายสงฆ์ นั่งอยู่ด้วย …
1106. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี คนทำร้ายพระศาสดาถึงห้อพระโลหิต นั่งอยู่ด้วย
1107. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มี อุภโตพยัญชนก นั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1108. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณา ด้วยการให้ปวารณาค้างคราว นอกจากบริษัท ยังไม่ลุกไป.
1109. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงปวารณา ในดิถีมิใช่วันปวารณา นอกจากวันสังฆ สามัคคี.

หน้า 396
พระพุทธานุญาตเตวาจิกาปวารณา
สัญจรภัยในปวารณา
[๒๔๔]
ก็โดยสมัยนั้นแลอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบทคนชาวดงได้มาพลุกพล่านในวันปวารณา. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนตรัสว่า

1110.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณา ๒ หน.คนชาวดงได้มาพลุกพล่านมากขึ้นภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนตรัสว่า

1111 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณาหนเดียว. ชนชาวดงได้มาพลุก พล่าน หนักขึ้นอีก. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนเดียวตรัสว่า

1112.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณามีพรรษาเท่ากัน.

ราตรีจวนสว่าง
ก็โดยสมัยนั้นแลในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณาชาวบ้าน มัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง จึงภิกษุเหล่านั้น ได้ปรึกษากันว่าคนเหล่านี้ มัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่างถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกันราตรีนี้ ก็จักสว่างเสียก่อนพวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ… ตรัสว่า

1113.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ชาวบ้านในตำบลนี้มัวให้ทานอยู่จน ราตรีจวนสว่าง หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้น มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ชาวบ้านพากันให้ทาน อยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จะปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีนี้ก็จักสว่าง เสียก่อน ดังนี้. ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติกรรม วาจา ว่าดังนี้ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์ จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกันราตรีจักสว่างเสียก่อน ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน
1114 . … สงฆ์พึงปวารณา หนเดียว
1115. … สงฆ์พึงปวารณา มีพรรษาเท่ากัน.
1116. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุทั้งหลายกล่าวธรรมกัน …
1117. … ภิกษุที่เชี่ยวชาญในพระสูตร สังคายนาพระสูตรกัน …
1118 . … พระวินัยธรตัดสินพระวินัยกัน …
1119 . … พระธรรมกถึกสนทนาธรรมกัน …
1120. … ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้น มีความ คิดเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จัก ไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีจักสว่างเสียก่อน ดังนี้. ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายมัวทะเลาะ กันจนาตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันปวารณาทั่วกันราตรีจักสว่างเสียก่อน ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน
1121. … สงฆ์พึงปวารณา หนเดียว
1122. … สงฆ์พึงปวารณา มีพรรษาเท่ากัน.

หน้า 398
การปวารณาเมื่อฝนกำลังตั้งเค้า
ก็โดยสมัยนั้นแลในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบทถึงวันปวารณาภิกษุสงฆ์ มาประชุมกันมาก. สถานที่ประชุมคับแคบคุ้มฝนไม่ได้ และฝนกำลังตั้งเค้ามาใหญ่จึงภิกษุ เหล่านั้นได้ปรึกษากัน ว่าภิกษุสงฆ์นี้ มาประชุมกันมากสถานที่ประชุมคับแคบคุ้มฝนไม่ได้และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา๓หนสงฆ์จักไม่ทัน ได้ปวารณาทั่วกันฝนนี้ก็จักตกเสียก่อนพวกเรา จะพึง ปฏิบัติสถานไรหนอ… ตรัสว่า

1123.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มาประชุม กันมาก. สถานที่ประชุมคับแคบคุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าภิกษุทั้งหลาย ในอาวาส นั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำ ลังตั้งเค้ามาใหญ่ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณา ทั่วกัน ฝนนี้ ก็จักตกหนักเสียก่อน.

ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์ จงฟังข้าพเจ้าภิกษุสงฆ์นี้ประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝน ก็กำลังตั้ง เค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็ จักตกเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน.
1124. … สงฆ์พึงปวารณา หนเดียว.
1125. … สงฆ์พึงปวารณา มีพรรษาเท่ากัน.

หน้า 398-1

อันตราย
๑๐ ประการ
1126. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งในตำบลนี้ ถึงวันปวารณา มีอันตรายเกิดขึ้น คือ
1. พระราชาเสด็จมา (ราชนฺตราโย) …
2. โจรมาปล้น (โจรนฺตราโย) …
3. ไฟไหม้ (อคฺยนฺตราโย) …
4. น้ำหลากมา (อุทกนฺตราโย …)
5. คนมามาก (มนุสฺสนฺตราโย) …
6. ผีเข้าภิกษุ1 (อมนุสฺสนฺตราโย) …
7. สัตว์ร้ายเข้ามา (วาฬนฺตราโย) …
8. งูร้ายเลื้อยเข้ามา (สิรึสปนฺตราโย) …
9. ภิกษุอาพาธหนักจะถึงเสียชีวิต (ชีวิตนฺตราโย) …
10 . มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ (พฺรหฺมจริยนฺตราโย) …
ในข้อนั้น หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เหตุฉุกเฉินนี้แหละ คือ อันตรายแก่พรหมจรรย์ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน อันตราย แก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิดเสียก่อน. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ กรรมวาจา ว่าดังนี้ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เหตุฉุกเฉินนี้คืออันตรายแก่พรหมจรรย์ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ ก็จัก เกิดเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน
1127. … สงฆ์พึงปวารณา หนเดียว.
1128. … สงฆ์พึงปวารณา มีพรรษาเท่ากัน.

หน้า 399
ภิกษุมีอาบัติห้ามปวารณา

[๒๔๕]
ก็โดยสมัยนั้นแลพระฉัพพัคคีย์มีอาบัติติดตัวได้ปวารณาตรัสว่า
1129.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
1130. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวปวารณารูปนั้นทำโอกาส โจทด้วยอาบัติ.
1. บาลีมีว่า อมนุสฺสนฺตราโย สามารถแปลได้ว่า อันตรายเกิดจากอมนุษย์ ผู้รวบรวม
สมัยต่อมาพระฉัพพัคคีย์อันสงฆ์ให้ทำโอกาสก็ไม่ปรารถนาจะทำโอกาส.… ตรัสว่า

1131.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้งดปวารณาของภิกษุผู้ไม่ยอมทำโอกาส.

วิธีงดปวารณา

1132. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงงดปวารณาอย่างนี้เมื่อถึงวันปวารณา ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พ่ร้อมหน้าภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่าดังนี้
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีอาบัติติดตัวปวารณา ข้าพเจ้าของด ปวารณา ของเธอเสีย เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ไม่พึงปวารณา. เท่านี้ เป็นอันงดปวารณาแล้ว.

สมัยต่อมาพระฉัพพัคคีย์หารือกันว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รักงดปวารณาของ พวกเราก่อน ดังนี้ จึงรีบงดปวารณาของภิกษุ ที่บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติเสียก่อน เพราะเรื่องอันไม่สมควรเพราะเหตุ อันไม่สมควร แม้ปวารณาของภิกษุที่ปวารณาแล้วก็งดด้วย… ตรัสว่า

1133. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงงดปวารณาของภิกษุผู้บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติ เพราะเรื่องอัน ไม่สมควร เพราะเหตุอันไม่สมควร รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.
1134. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม้ปวารณาของภิกษุที่ปวารณาแล้วก็ไม่พึงงด รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.

หน้า 400
ลักษณะปวารณาที่ไม่เป็นอันงด

[๒๔๖]
…ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปวารณาไม่เป็นอันงดอย่างไรเล่า.
1135. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว จึงงดปวารณา ปวารณาไม่เป็นอันงด.
1136. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน …
1137. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา หนเดียว …
1138. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา มีพรรษาเท่ากัน อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้วจึงงด ปวารณา ปวารณาไม่เป็นอันงด.ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ปวารณาไม่เป็น อันงด.

หน้า 401
ลักษณะปวารณาเป็นอันงด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปวารณาเป็นอันงด อย่างไรเล่า.
1139. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน อันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ จึงงดปวารณา ปวารณาเป็นอันงด.
1140. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน …
1141 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว …
1142. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากัน อันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบจึงงด ปวารณา ปวารณาเป็นอันงด.ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ปวารณาเป็นอันงด.

หน้า 401-1

ภิกษุผู้งดปวารณา

[๒๔๗]
1143. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่าท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์ มีความ ประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์ มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้เขลาไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ไม่อาจให้ คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลยภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.

1144 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่าท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ แต่มีความ ประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์ มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้เขลาไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจ ให้คำตอบข้อที่ซักถาม.สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลยภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.

1145.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่าท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติ ทางวาจาบริสุทธิ์ แต่มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาดเมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบ ข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลยภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกันอย่าแก่งแย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.

1146.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่าท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความ ประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์ มีอาชีวะบริสุทธิ์ แต่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาดเมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำ ตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลยภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกันอย่าแก่ง แย่งกัน อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.

1147.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความ ประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์ มีอาชีวะบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิตฉลาด มีปัญญา เมื่อถูกซักถาม สามารถ ให้คำตอบข้อที่ซักถามได้.

ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุรูปนี้เพราะอะไร งดเพราะ ศีลวิบัติหรือ งดเพราะอาจารวิบัติหรือ งดเพราะทิฏฐิวิบัติหรือ. หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้างดเพราะศีลวิบัติ ข้าพเจ้างดเพราะอาจารวิบัติข้าพเจ้างดเพราะทิฏฐิวิบัติ. เธออันสงฆ์ พึงถามอย่างนี้ว่า คุณรู้จักศีลวิบัติ รู้จักอาจารวิบัติรู้จักทิฏฐิวิบัติหรือ. หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จักศีลวิบัติ รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติ.

เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็ศีลวิบัติเป็นอย่างไรอาจารวิบัติเป็นอย่างไร ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร. หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ นี้ชื่อว่าศีลวิบัติ ถุลลัจจัย ปาจิตติยะ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต นี้ชื่อว่าอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ นี้ชื่อว่าทิฏฐิวิบัติ.

เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่าอาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยเหตุอะไร งดด้วยได้เห็นหรือ งดด้วยได้ฟัง หรืองดด้วยสงสัยหรือ. หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้างดด้วยได้เห็นก็ดี ข้าพเจ้างดด้วยได้ฟังก็ดี ข้าพเจ้างดด้วยสงสัยก็ดี. เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่าอาวุโส คุณงด ปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็นอย่างไร คุณเห็นอะไร คุณเห็นว่าอย่างไร คุณเห็นเมื่อไร คุณเห็น ที่ไหน

ภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิก คุณเห็นหรือภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คุณเห็นหรือ ภิกษุนี้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย … อาบัติปาจิตติยะ … อาบัติปาฏิเทสนียะ … อาบัติทุกกฏ … อาบัติทุพภาสิต คุณเห็น หรือ คุณอยู่ที่ไหน และภิกษุนี้อยู่ที่ไหน คุณทำอะไรบ้าง ภิกษุนี้ทำอะไรบ้าง หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็น แต่งดปวารณาด้วย ได้ฟังต่างหาก.

เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ ด้วยได้ฟังมาอย่างไร คุณได้ฟัง เรื่องอะไร คุณได้ฟังมาว่าอย่างไร คุณได้ฟังมาเมื่อไร คุณได้ฟังที่ไหน คุณได้ฟังว่าภิกษุนี้ ต้องอาบัติ ปาราชิกหรือ ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย … อาบัติปาจิตติยะ … อาบัติ ปาฏิเทสนียะ … อาบัติทุกกฏ … อาบัติทุพภาสิตหรือ ได้ฟังมาจากภิกษุหรือ ได้ฟังมาจากภิกษุณีหรือ ได้ฟังมาจากสิกขมานาหรือได้ฟังมาจากสามเณรหรือ ได้ฟังมาจากสามเณรีหรือ ได้ฟังมาจากอุบาสกหรือ ได้ฟังมาจากอุบาสิกาหรือ ได้ฟังมาจากพระราชาหรือ. ได้ฟังมาจากราชมหาอำมาตย์หรือ. ได้ฟังมาจากพวกเดียรถีย์หรือ. ได้ฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์หรือ. หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้ฟัง แต่ข้าพเจ้างดปวารณาด้วยสงสัยต่างหาก.

เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ ด้วยสงสัยอย่างไร คุณสงสัยอะไร สงสัยว่าอย่างไร สงสัยเมื่อไรสงสัยที่ไหน คุณสงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิกหรือ สงสัยว่า ภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ สงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย … อาบัติปาจิตติยะ … อาบัติปาฏิเทสนียะ … อาบัติทุกกฏ … อาบัติทุพภาสิตหรือ คุณฟังมาจากภิกษุแล้วสงสัยหรือคุณฟังมาจากภิกษุณีแล้วสงสัยหรือ คุณฟังมาจากสิกขมานาแล้วสงสัยหรือ.
คุณฟังมาจากสามเณรแล้วสงสัยหรือ คุณฟังมาจากสามเณรีแล้วสงสัยหรือ คุณฟังมาจากอุบาสกแล้วสงสัยหรือคุณฟังมาจากอุบาสิกาแล้วสงสัยหรือ คุณฟังมาจากพระราชาแล้วสงสัยหรือ คุณฟังมาจากราชมหาอำมาตย์แล้วสงสัยหรือคุณฟังมาจากพวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ คุณฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ. หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยสงสัย ความจริงแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า เรางด ปวารณาของภิกษุนี้เสียด้วยเหตุไรเล่า.

ฟังคำปฏิญาณของโจทก์และจำเลย
1148 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้น ตอบข้อซักถามไม่เป็นที่พอใจ ของสพรหมจารีผู้รู้ ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า คุณไม่ควรฟ้องภิกษุจำเลย.

1149 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้น ตอบข้อซักถามเป็นที่พอใจของสพรหมจารี ผู้รู้ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า คุณควรฟ้องภิกษุจำเลย.

1150.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำ จัดด้วยอาบัติปาราชิก ไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแล้วจึงปวารณา.

1151.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติสังฆาทิเสส ไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณา.
1152. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติถุลลัจจัยไม่มี มูล
1153. … ด้วยอาบัติปาจิตติยะไม่มีมูล …
1154. … ด้วยอาบัติปาฏิเทสนียะไม่มีมูล …
1155. … ด้วยอาบัติทุกกฏไม่มีมูล …
1156. … ด้วยอาบัติทุพภาสิตไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณา.
1157. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติปาราชิก สงฆ์พึงนาสนะ เสีย แล้วจึงปวารณา.
1158. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติสังฆาทิเสส สงฆ์พึงปรับ อาบัติสังฆาทิเสส แล้วจึงปวารณา.
1059. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติถุลลัจจัย …
1160. … อาบัติปาจิตติยะ …
1161. … อาบัติปาฏิเทสนียะ …
1162. … อาบัติทุกกฏ …
1163. … อาบัติทุพภาสิต สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วปวารณาเถิด.

มีความเห็นไม่ตรงกันในอาบัติที่ต้อง
[๒๔๘]
1164. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัยในวันปวารณา. ภิกษุบางพวก มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำ ภิกษุรูปนั้น ออกไป ในที่ควร ส่วนข้างหนึ่งปรับอาบัติตามธรรม แล้วเข้าไปหาสงฆ์ กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้น ต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำ คืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง ปวารณา.

1165.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัยในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำ ภิกษุรูปนั้น ออกไปในที่ ควรส่วนข้างหนึ่ง ปรับอาบัติตามธรรม แล้วเข้าไปหาสงฆ์ กล่าวอย่างนี้ว่าอาวุโส ทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.

1166.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติปาจิตติยะ…
1167. … ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ …
1168. … ต้องอาบัติทุกกฏ …
1169. … ต้องอาบัติทุพภาสิตในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติ ทุพภาสิตพึงนำ ภิกษุรูปนั้น ออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ปรับอาบัติตามธรรม แล้วเข้าไปหาสงฆ์ กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำ คืนตามธรรมแล้วถ้า ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.

1170.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติทุพภาสิตในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิตบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสติบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำ ภิกษุรูปนั้น ออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่งปรับอาบัติตามธรรม แล้วเข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.

วัตถุและบุคคลปรากฏ
[๒๔๙]
1171. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุนี้ปรากฏบุคคลไม่ปรากฏ ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุ แล้วปวารณาเถิด.ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส พระผู้มี พระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ ถ้าวัตถุปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ เธอจงระบุบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.

1172.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลนี้ปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึง ที่แล้วสงฆ์พึงงดบุคคล แล้วปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโส พระผู้มี พระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับภิกษุทั้งหลาย ผู้พร้อมเพรียงกัน ถ้าบุคคลปรากฏ วัตถุไม่ ปรากฏ เธอจงระบุวัตถุนั้นมาเดี๋ยวนี้.

1173.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุและบุคคลนี้ปรากฏ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุและบุคคล แล้วปวารณาเถิด.ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส พระผู้มี พระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำ หรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์และพร้อมเพรียงกัน ถ้าวัตถุและ บุคคลปรากฏ เธอจงระบุวัตถุและบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.

1174.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากวัตถุปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังบุคคลจึงปรากฏ ควรพูดขึ้น. หากบุคคลปรากฏก่อนปวารณาภายหลังวัตถุจึงปรากฏ ก็ควรพูดขึ้น. หากวัตถุและบุคคล ปรากฏก่อนปวารณา. ถ้าเมื่อทำปวารณาแล้ว ฟื้นเรื่องนั้นขึ้นเป็นปาจิตติยะ เพราะฟื้นเรื่องขึ้น.

ภิกษุก่อความบาดหมางเป็นต้น
[๒๕๐]
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันที่เคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาวก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ด้วยประสงค์ว่า ในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย.

ภิกษุเหล่านั้นได้ทราบข่าวว่า ณ สถานที่ใกล้เคียงของพวกเรา มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความ บาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ ด้วยมุ่งหมายว่าในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำ


พรรษาเหล่านั้นเสียดังนี้พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอจึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดังนี้

1175. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่น ที่ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ ด้วยมุ่งหมายว่า ในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของพวกภิกษุ ที่อยู่จำ พรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำอุโบสถ ๒คือ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือ ๓ อุโบสถ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ให้เป็นอุโบสถ ๑๔ ค่ำด้วยประสงค์ว่า ไฉนพวกเราพึงปวารณาก่อนภิกษุเหล่านั้น.

1176.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นมาสู่อาวาส ภิกษุพวกเจ้าถิ่นเหล่านั้นพึงรีบประชุม ปวารณาเสียโดยเร็ว ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด ก็จงทำสถานนั้นเถิด.

1177. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น ไม่แจ้งให้ทราบก่อนมาสู่อาวาสนั้น พวกภิกษุเจ้าถิ่น เหล่านั้น พึงปูอาสนะ จัดหาน้ำ ล้างเท้า ตั่งรองเท้ากระเบื้องเช็ดเท้าไว้ พึงลุกขึ้นแล้วรับบาตรจีวร พึงต้อนรับด้วยน้ำดื่ม. พึงเสแสร้งกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วไปปวารณานอกสีมา.

ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกเรา ปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญ สถานใด ก็จงทำสถานนั้นเถิด. ถ้าได้วิธีการนั้นอย่างนี้ การได้อย่างนี้นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ ภิกษุเจ้าถิ่น ผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายทราบว่า ขอท่านเจ้าถิ่น ทั้งหลาย จงฟัง ข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว พวกเราพึงทำ อุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ในบัดนี้พึงปวารณาในวันกาฬปักที่จะมาถึงเถิด.

1178.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดีแล้ว อาวุโสทั้งหลาย ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด. พวกเธออันภิกษุทั้งหลาย พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายพวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะยังไม่ ปวารณาก่อนละ.

1179.
ดูก ร ภิก ษุทั้ง ห ล า ย ห า ก ภิก ษุที่ก่อ ค ว า ม บ า ด ห ม า งก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันกาฬปักษ์นั้น ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้พวกภิกษุเจ้าถิ่นทราบว่า ท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟัง ข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว พวกเราพึงทำ อุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์ ในบัดนี้เถิด พวกเราพึงปวารณาในวันชุณหปักษ์ที่จะมาถึงเถิด.

1180.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ดีแล้วอาวุโส ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด. พวกเธออันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายพวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะยัง ไม่ปวารณาก่อนละ.

1181 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันชุณหปักษ์แม้นั้นภิกษุเหล่านั้น ทุกรูปไม่ปวารณา ก็ต้องปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง.

1182.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุอาพาธงดปวารณาของ ภิกษุผู้ไม่อาพาธ ภิกษุอาพาธนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านกำลังอาพาธ อันผู้ อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโสขอท่านจงรออยู่จนกว่าจะหาย อาพาธ หายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุอาพาธถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.

1183.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณา ของภิกษุผู้อาพาธ ภิกษุผู้ไม่อาพาธนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุรูปนี้ แลกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่าน จงรออยู่จนกว่าภิกษุรูปนี้หายอาพาธภิกษุนั้นหายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุ ผู้ไม่อาพาธถูกว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะเพราะไม่เอื้อเฟื้อ.

1184 .
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณาอยู่ ภิกษุอาพาธงดปวารณา ของภิกษุ อาพาธ ภิกษุอาพาธนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายกำ ลังอาพาธอันผู้อาพาธพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม โปรดรออยู่ก่อนจนกว่า จะหายอาพาธด้วยกัน หายอาพาธด้วยกันแล้วเมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุผู้อาพาธนั้นถูก ว่ากล่าวอย่างนี้ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.

1185.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำ ลังปวารณากันภิกษุผู้ไม่อาพาธ งดปวารณา ของภิกษุผู้ไม่อาพาธ. ทั้งสองฝ่ายสงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนเป็นการสงฆ์ ปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณาเถิด.

หน้า 412

ทรงอนุญาตให้เลื่อนปวารณา

[๒๕๑]
1186. …ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมาจำ พรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง.เมื่อพวกเธอพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ย่อมบรรลุ ผาสุวิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง. หากภิกษุทั้งหลายในสังฆสันนิบาตนั้นคิดกันอย่างนี้ว่า พวก เรา พร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุวิหารธรรมอย่างใด อย่างหนึ่งแล้ว ถ้าพวก เราจักปวารณากันเสียในบัดนี้ บางทีพวกภิกษุปวารณากันแล้ว จะพึงหลีกไปสู่จาริก ก็จะมีบ้าง เมื่อเป็น เช่นนั้น พวกเราก็จักเหินห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรา อนุญาต ให้ภิกษุเหล่านั้น ทำการเลื่อนปวารณาออกไป.

วิธีเลื่อนปวารณา
1187. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงทำการเลื่อนปวารณาอย่างนี้.ภิกษุทุกๆ รูปต้องประชุม พร้อมกัน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้

กรรมวาจาเลื่อนปวารณา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกันปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุ วิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว.หากพวกเราจักปวารณาเสียในบัดนี้ บางที ภิกษุทั้งหลายปวารณากันแล้ว พึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหิน ห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงทำการเลื่อนปวารณา ออกไป บัดนี้พึงทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ พึงปวารณา ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง. นี้เป็นญัตติ.

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เมื่อพวกเราพร้อมเพรียงกันปรองดองกัน ไม่วิวาทกันอยู่ ได้บรรลุผาสุ วิหารธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว.หากพวกเราจักปวารณาเสียในบัดนี้ บางที ภิกษุทั้งหลาย ปวารณา กันแล้วพึงหลีกไปสู่จาริกก็จะมีบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จักเหิน ห่างจากผาสุวิหารธรรมนี้ สงฆ์ทำ การเลื่อนปวารณาออกไป บัดนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติ โมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง การกระทำซึ่งการเลื่อน ปวารณาออกไป เดี๋ยวนี้สงฆ์จักทำอุโบสถสวด ปาติโมกข์ จักปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึง เป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.การเลื่อนปวารณาอันสงฆ์ทำแล้ว บัดนี้สงฆ์จักทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์จัก ปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือน เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่าง นี้.

ไม่เป็นใหญ่ในปวารณา
1188 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำ การเลื่อนปวารณาออกไปแล้ว หากจะมีภิกษุ สักรูปหนึ่งพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมปรารถนาจะหลีกไปสู่จาริกตามชนบท เพราะผม มีกิจจำ เป็นที่ชนบท. ภิกษุรูปนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดีแล้วอาวุโส ท่านปวารณา แล้วจึงค่อยไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นอันสงฆ์ปวารณาอยู่งดปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งเสีย ภิกษุผู้งด ปวารณา อันภิกษุผู้ถูกห้ามปวารณาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านไม่เป็นใหญ่ในการปวารณา ของผมๆ จักยังไม่ ปวารณาก่อน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุนั้นปวารณาอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งห้าม ปวารณาของภิกษุรูปนั้น สงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วปรับอาบัติตามธรรม.

1189 . ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นทำกรณียกิจนั้นในชนบทเสร็จแล้ว กลับมาสู่อาวาส นั้นภายใน วันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนหากเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณา ภิกษุอีก รูปหนึ่ง งดปวารณา ของภิกษุรูปนั้น ภิกษุผู้งดปวารณา อันภิกษุผู้ถูกงดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านไม่เป็น ใหญ่ในปวารณา ของผม เพราะผมปวารณาเสร็จแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเมื่อ ภิกษุเหล่านั้นปวารณาอยู่ ภิกษุนั้นงด ปวารณาของภิกษุอีกรูปหนึ่ง. ทั้ง ๒ ฝ่ายสงฆ์พึงสอบสวน สืบสวนเป็นการสงฆ์ ปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณาเถิด.

ปวารณาขันธกะจบ.


P 405 หน้า 293 - 412