อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ ภาค ๔ (หน้าที่ ๑๓๓๑- ๑๓๖๗)
ว่าด้วย มัคคอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐคือมรรค
ธรรมสัญญาในฐานะแห่งธรรมโอสถโดยธรรมปีติ
(๑๔) การรักษาโรคด้วยอำนาจสมาธิ
อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอ ก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ.
สัญญา ๑๐ ประการนั้นคือ อนิจจสัญญา
อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา สัพพโลเกอนภิรต สัญญา สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา อานาปานสติ.
อานนท์ ! อนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดย ประจักษ์อย่างนี้ ว่า “รูป ไม่เที่ยง เวทนา ไม่เที่ยง สัญญา ไม่เที่ยง สังขาร ไม่เที่ยง วิญญาณ ไม่เที่ยง” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยง ในอุปาทานขันธ์ทั้งห้า เหล่านี้ อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า อนิจจสัญญา.
อานนท์ ! อนัตตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า “ตา เป็นอนัตตา รูป เป็นอนัตตา หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็น อนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะ เป็นอนัตตา ใจเป็น อนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่งความ เป็นอนัตตา ในอายตนะ ทั้งภายในและภายนอกหก เหล่านี้ อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา.
อานนท์ ! อสุภสัญญา เป็นอย่างไรเล่า?
อานนท์! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นโดยประจักษ์ซึ่งกายนี้นี่แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไปถึงเบื้อง บน แต่ปลายผมลงมาถึงเบื้องล่าง ว่ามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของอสุจิ มีประการต่างๆ คือกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำลื่นหล่อข้อ น้ำมูตร เป็นผู้ตามเห็นความไม่งาม ในกายนี้ อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า อสุภสัญญา.
อานนท์ ! อาทีนวสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า
“กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก คือในกายนี้มีอาพาธต่างๆ เกิดขึ้น กล่าวคือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคที่ศีรษะ โรคที่หู โรคที่ปาก โรคที่ฟัน โรคไอ โรคหืด ไข้หวัด ไข้มีพิษร้อน ไข้เซื่องซึม โรคกระเพาะ โรคลมสลบ ลงแดง จุกเสียด เจ็บเสียว โรคเรื้อรัง โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน คุดทะราด โรคละออง โรคโลหิต โรคดีซ่าน เบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง ริดสีดวงทวาร อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฎฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน ไข้สันนิบาต ไข้เพราะฤดูแปรปรวน ไข้เพราะบริหารกาย ไม่สม่ำเสมอ ไข้เพราะออกกำลังเกิน ไข้เพราะวิบากกรรม ความไม่สบายเพราะความ หนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ” ดังนี้ เป็นผู้ตามเห็นโทษในกายนี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ นี้เรียกว่า อาทีนวสัญญา.
อานนท์ ! ปหานสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง กามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อม บรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง พยาบาทวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป ไม่ยอมรับไว้ซึ่งวิหิงสาวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง อกุศลธรรมทั้งหลาย อันลามกที่เกิดขึ้น แล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป นี้เรียกว่า ปหานสัญญา.
อานนท์ ! วิราคสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ ระงับ แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับเย็น” ดังนี้ นี้เรียกว่า วิราคสัญญา.
อานนท์ ! นิโรธสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ ระงับ แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความดับ เป็นความดับเย็น” ดังนี้ นี้เรียกว่า นิโรธสัญญา.
อานนท์ ! สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ อนุสัย (ความเคยชิน) ในการตั้งทับในการฝังตัวเข้าไป ยึดมั่น แห่งจิตด้วยตัณหาอุปาทาน ใดๆ ในโลก มีอยู่ เธอละอยู่ซึ่งอนุสัยนั้นๆ งดเว้น ไม่เข้าไปยึดถืออยู่: นี้เรียกว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา (ความสำคัญในโลกทั้งปวง ว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดี).
อานนท์ ! สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง ต่อสังขารทั้งหลายทั้งปวง นี้เรียกว่า สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง).
(สัญญาข้อที่เก้านี้ ควรจะมีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา หรือมิฉะนั้นก็ควร จะมีชื่อว่า สัพพสังขาเรสุทุกขสัญญา จึงจะสมกับเนื้อความตามที่กล่าวอยู่ และ สัญญาข้อที่แปดข้างบนแห่งข้อนี้ ที่มีชื่อว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น น่าจะมี ชื่อว่า สัพพโลเกอนุปาทานสัญญา มากกว่า จึงจะมีความสมชื่อ ด้วยเหตุผลอย่าง เดียวกัน).
อานนท์ ! อานาปานสติ เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามา โดยรอบตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก.
เมื่อ หายใจเข้า ยาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว เมื่อ หายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก ทำการศึกษาว่า เราทำกายสังขาร ให้ระงับอยู่ หายใจเข้า ทำกายสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก.
ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า รู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก ทำการศึกษาว่า เราทำจิตตสังขาร ให้ระงับอยู่ หายใจเข้า ทำจิตตสังขารให้ระงับอยู่ หายใจออก.
ทำการศึกษาว่า เรา รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก.
ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า ตามเห็นความ ไม่เที่ยง หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความจางคลาย หายใจเข้า ตามเห็นความจางคลาย หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจเข้า ตามเห็นความดับไม่เหลือ หายใจออก ทำการศึกษาว่า เรา ตามเห็นความสลัดคืน หายใจเข้า ตามเห็นความสลัดคืน หายใจออก. นี้เรียกว่า อานาปานสติ.
อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการ เหล่านี้ แก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญา สิบประการ แล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ.
ลำดับนั้นแล ท่านอานนท์จำเอาสัญญาสิบประการเหล่านี้ ในสำนักของพระ ผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเข้าไปหาท่านคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการแก่ท่าน เมื่อท่านพระคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธก็ระงับไปโดยฐานะอันควร. ท่านคิริมานนท์หาย แล้วจากอาพาธ และอาพาธก็เป็นเสมือนละไปแล้วด้วย แล.
- ทสก. อํ. ๒๔/๑๑๕ - ๑๒๐/๖๐.
(บาลีพระสูตรนี้ ได้ทำให้เกิดประเพณีสวดคิริมานนทสูตร ให้คนเจ็บฟัง เพื่อจะได้หายเจ็บไข้ เช่นเดียวกับโพชฌงคสูตร. บางคนอาจจะสงสัยว่า มิเป็นการ ผิดหลักกรรมหรือเหตุปัจจัยไปหรือ ที่ความทุกข์ดับไปโดยไม่มีการดับเหตุแห่งทุกข์ ตามหลักแห่งจตุราริยสัจ. ข้อนี้ขอให้เข้าใจว่า การฟังธรรมของพระคิริมานนท์ ทำให้มีธรรมปีติอย่างแรงกล้า อำนาจของธรรมปีตินั้นสามารถระงับเสียได้ ซึ่งทุกข เวทนา ทุกขเวทนาจึงระงับไป ดุจดังว่าหายจากอาพาธ กล่าวได้ว่ามีปัจจัยเพื่อการ ดับ แห่งทุกข์อริยสัจ ไม่ผิดไปจากกฎเกณฑ์แห่งกรรม หรือกฎเกณฑ์แห่งเหตุ ปัจจัยเลย เป็นการดับทุกข์ได้วิธีหนึ่ง จึงนำข้อความนี้ มาใส่ไว้ในหมวดนี้). |