เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 (ชุด2) กายคตาสติ เจริญกระทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก 1421
  P1420 P1421 P1422 P1423 P1424 P1425 P1426 P1427
รวมพระสูตร กายคตาสติ
 

(โดยย่อ)

มีสติหายใจเข้า-หายใจออก รู้ตัวทั่วพร้อม
1. ภิกษุตั้งกายตรงดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า มีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว แม้นี้ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ

2. ภิกษุ เดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า กำลังเดิน หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง ... เธอทรงกายโดยอาการใดๆอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ…แม้ก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ

3. ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ รู้สึกตัวในเวลาก้าวไป และถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู งอแขน เหยียดแขน การฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ…แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------

พิจารณากายภายนอก และโดยความเป็นธาตุ
4. ภิกษุย่อมพิจารณา เห็นกายนี้แล ข้างบน แต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมามีหนังหุ้ม อยู่ โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดว่ามีอย่ในกายนี้ แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

5. ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------

พิจารณาอสุภะ (กายที่ไม่งาม)
6. ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า วันหนึ่ง สองวัน สามวันที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ น้ำเหลืองเยิ้ม จึงนำเข้า มาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แลก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

7. ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า อันฝูงกา จิกกิน ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกาย นี้ ว่าแม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้ เป็นธรรมดา… แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

8. ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นรูปร่างด้วยกระดูก ไม่มีเนื้อ มีแต่เลือด เปรอะเปื้อน เปรียบเทียบ กายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา…แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

9. ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่ กระดูก สีขาว… เห็นศพเป็นท่อนกระดูก เรี่ยราดเป็นกองๆ มีอายุเกินปีหนึ่ง… จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------

เจริญภาวนา ฌาน 1 2 3 4 (รูปสัญญา)
10. ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอยังกายนี้แลให้คลุกเคล้าบริบูรณ์ …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

11. ภิกษุเข้าทุติยฌาน มีความ ผ่องใส แห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตก และวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่ สมาธิอยู่ …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

12. ภิกษุเป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติมีสติสัมปชัญญะอยู่ เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อม เข้าตติยฌาน ที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่าผู้วางเฉย …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ

13. ภิกษุเข้าจตุตถฌาน อันไม่มี ทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่ …แม้นี้ก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ


กายคตาสติ อันภิกษุเจริญแล้วทำให้มากแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการนี้ คือ

(๑) อดกลั้นต่อความไม่ยินดี และความยินดีได้ 

(๒) อดกลั้นต่อภัย และความหวาดกลัวได้ 

(๓) อดทน คือเป็นผู้มีปรกติ อดกลั้นต่อความหนาว คำพูดที่กล่าวร้าย 

(๔) เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเกิดมีในมหัคคตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน 

(๕) ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคน

(๖) ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์ และเสียงมนุษย์ 

(๗) ย่อมกำหนดรู้ใจ ของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ

(๘) ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ 

(๙) ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต 

(๑๐) ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๑๖๑

(2)
๙. กายคตาสติสูตร (๑๑๙)

          [๒๙๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกัน กลับจาก บิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหาร แล้วนั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อสนทนากันขึ้น ในระหว่างดังนี้ว่า

          ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มี พระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็นเป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธ ตรัส กายคตาสติ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้อสนทนากัน ในระหว่างของภิกษุเหล่านั้นค้างอยู่ เพียงเท่านี้แล

          [๒๙๓] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอยู่ ในเวลาเย็น เสด็จเข้าไป ยังอุปัฏฐานศาลานั้น ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง ณ อาสนะ ที่เขาแต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถาม ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอ นั่งประชุมสนทนา เรื่องอะไรกัน และพวกเธอสนทนา เรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง

          ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ณ โอกาสนี้ พวกข้าพระองค์ กลับจาก บิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อสนทนา กันขึ้น ในระหว่างดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็น พระอรหันต สัมมาสัมพุทธ ตรัสกายคตาสติ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อสนทนากันในระหว่าง ของพวกข้าพระองค์ ได้ค้างอยู่เพียงเท่านี้ พอดีพระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          [๒๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ กายคตาสติ อันภิกษุเจริญแล้ว อย่างไร ทำให้มาก แล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

(1)
          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่าง ก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติ หายใจออก มีสติ หายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือ เมื่อหายใจ เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจ ออกสั้น หรือเมื่อหายใจ เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจัก เป็นผู้กำหนดรู้กองลม ทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับ กายสังขาร หายใจออกว่าเราจักระงับ กายสังขาร หายใจเข้า

          เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ อย่างนี้ ย่อมละ ความดำริพล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไป ภายใน เท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(2)

          [๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า กำลังเดิน หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่า กำลังยืน หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง หรือนอนอยู่ ก็รู้ชัดว่า กำลังนอนหรือเธอทรงกาย โดยอาการ ใดๆ อยู่ ก็รู้ชัดว่า กำลังทรงกาย โดยอาการ นั้นๆ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน ธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละ ความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไป ภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(3)

          [๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ รู้สึกตัว ในเวลาก้าวไป และถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลา งอแขน และ เหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลา ฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลา เดิน ยืน นั่งนอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาทมีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละ ความดำริพล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละ ความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไป ภายใน เท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(4)

          [๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อม พิจารณากายนี้แล ข้างบน แต่พื้นเท้า ขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของ ไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอดไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลืองเลือด เหงื่อมันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง ๒ ข้าง เต็มด้วยธัญญชาติ ต่างๆ ชนิด คือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือกถั่วเขียว ถั่วทอง งา และข้าวสาร บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้น ออกแล้วพึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วทอง นี้งา นี้ข้าวสารฉันใด

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ข้างบน แต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมามีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วย ของ ไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอย่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้นน้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความ เพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริ พล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายใน เท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่งเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญ กายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(5)

          [๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้ แล ตามที่ ตั้งอยู่ ตามที่ ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำธาตุไฟ ธาตุลม ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน คนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโค ผู้ฉลาด ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ ใกล้ทางใหญ่ ๔ แยก ฉันใด

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละ ความดำริพล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่าน นั้นได้ จิตอันเป็นไป ภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(6)

          [๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า อันตายได้ วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ มี น้ำเหลืองเยิ้ม จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้น ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละ ความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(7)

          [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน ป่าช้า อัน ฝูงกา จิกกิน อยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง หมู่สุนัข บ้าน กัดกินอยู่บ้างหมู่สุนัขป่า กัดกินอยู่บ้าง สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ ชนิดฟอนกิน อยู่บ้าง จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้ เป็นธรรมดา มีความ เป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้เมื่อภิกษุนั้นไม่ ประมาท มีความเพียร ส่งตนไป ในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่ อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละ ความดำริ พล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้นย่อมคงที่ แน่นิ่งเป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(8)

          [๓๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุม เป็นรูปร่าง อยู่ด้วยกระดูก มีทั้งเนื้อและเลือด เส้นเอ็นผูกรัดไว้…เห็นศพที่เขา ทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ไม่มีเนื้อ มีแต่เลือด เปรอะเปื้อน อยู่ เส้นเอ็น ยังผูกรัดไว้… เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ปราศจากเนื้อ และเลือดแล้ว แต่เส้นเอ็น ยังผูกรัดอยู่…

เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูก รัดแล้ว กระจัดกระจายไป ทั่วทิศต่างๆ คือ กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง กระดูกเท้า อยู่ทางหนึ่ง กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าขา อยู่ทางหนึ่ง กระดูกสะเอวอยู่ทางหนึ่ง กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง กระดูกซี่โครง อยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกอยู่ทางหนึ่ง กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง กระดูกคออยู่ทางหนึ่ง กระดูกคาง อยู่ทางหนึ่ง กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะอยู่ทางหนึ่ง จึงนำเข้ามา
เปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา
มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้น ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ อย่างนี้ ย่อมละ ความดำริ พล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไป ภายใน เท่านั้น ย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(9)

          [๓๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่ กระดูก สีขาว เปรียบดังสีสังข์… เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก เรี่ยราดเป็นกองๆ มีอายุเกินปีหนึ่ง… เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่กระดูก ผุเป็นจุณ จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ ว่าแม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริ พล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละ ความดำริพล่านนั้น ได้จิตอันเป็นไปภายใน เท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(10)

          [๓๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้าบริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกาย ทุกส่วน ของเธอที่ปีติ และสุข เกิดแต่วิเวก จะไม่ถูกต้อง

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือของ พนักงาน สรงสนานผู้ฉลาด โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว เคล้า ด้วยน้ำให้เป็นก้อนๆ ก้อนจุณสำหรับ สรงสนานนั้น มียางซึม เคลือบ จึงจับกัน ทั้งข้างใน ข้างนอกและกลายเป็นผลึกด้วยยาง ฉันใด

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมยังกายนี้แลให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิด แต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกาย ทุกส่วน ของเธอ ที่ปีติและสุข เกิดแต่วิเวก จะไม่ถูกต้อง เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตน ไปในธรรมอยู่อย่างนี้ย่อมละ ความดำริพล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละ ความดำริ พล่านนั้น ได้จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(11)

          [๓๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าทุติยฌาน มีความ ผ่องใส แห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตก และวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่ สมาธิอยู่ เธอยังกายนี้แล ให้คลุกเคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติ และสุข เกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ ไม่มีทางระบายน้ำ ทั้งในทิศ ตะวันออก ทั้งในทิศ ตะวันตก ทั้งในทิศเหนือ ทั้งในทิศใต้เลย และฝน ก็ยังไม่หลั่ง สายน้ำ โดยชอบตามฤดูกาล ขณะนั้นแลธารน้ำเย็น จะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น แล้วทำ ห้วงน้ำ นั้นเอง ให้คลุกเคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่าน ด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งห้วงน้ำ ทุกส่วนนั้น ที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกาย ทุกส่วน ของเธอที่ปีติ และสุขเกิดแต่สมาธิ จะไม่ถูกต้องเมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไป ในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริ พล่าน ที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละ ความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่งเป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(12)

          [๓๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้วางเฉย เพราะ หน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าตติยฌาน ที่พระอริยะ เรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่ เธอยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยสุข ปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วน ของเธอที่สุข ปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือ ดอกบัวขาว แต่ละชนิด ในกอบัวขาบ หรือในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เนื่องอยู่ในน้ำ ขึ้นตามน้ำ จมอยู่ในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซึมซาบ ด้วยน้ำเย็น จนถึงยอดและเง่า ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาวทุกส่วนที่น้ำเย็น จะไม่ถูกต้อง ฉันใด

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่าน ด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกาย ทุกส่วนของเธอ ที่สุข ปราศจากปีติ จะไม่ถูกต้อง เมื่อ ภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไป ในธรรม อยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริ พล่านที่ อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริ พล่าน นั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(13)

          [๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าจตุตถฌาน อันไม่มี ทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่ เธอย่อม เป็นผู้นั่งเอาใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แผ่ไปทั่วกายนี้แล ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอ ที่ใจ อันบริสุทธิ์ผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษ นั่งเอาผ้าขาวคลุมตลอดทั้งศีรษะ ไม่มีเอกเทศ ไรๆ แห่งกาย ทุกส่วนของบุรุษนั้น ที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมเป็นผู้นั่งเอาใจ อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แผ่ไปทั่วกายนี้แล ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วน ของเธอ ที่ใจอันบริสุทธิ์ ผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง เมื่อภิกษุนั้น ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไป ในธรรม อยู่อย่างนี้ ย่อมละความ ดำริพล่าน ที่อาศัยเรือน เสียได้ เพราะละความดำริพล่าน นั้นได้ จิตอันเป็นไปภายใน เท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า เจริญกายคตาสติ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          [๓๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้ว ทำให้ มากแล้ว ชื่อว่าเจริญ และทำให้มากซึ่งกุศลธรรม ส่วนวิชชา อย่างใด อย่างหนึ่ง อันรวมอยู่ ในภายในด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลไรๆ ก็ตามนึก ถึงมหาสมุทร ด้วยใจแล้ว ชื่อว่านึกถึง แม่น้ำน้อย ที่ไหลมาสู่สมุทร สายใดสายหนึ่ง อันรวมอยู่ใน ภายในด้วย ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญ กายคตาสติ แล้ว ทำให้มากแล้ว ชื่อว่าเจริญและ ทำให้มาก ซึ่ง กุศลธรรม ส่วน วิชชา อย่างใดอย่างหนึ่ง อันรวมอยู่ในภายในด้วย

          [๓๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ ไม่ทำให้มากซึ่ง กายคตาสติ แล้วมาร ย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน บุรุษ เหวี่ยง ก้อนศิลาหนัก ไปที่ กองดินเปียก ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญ ความนั้น เป็นไฉน ก้อนศิลาหนักนั้น จะพึงได้ช่อง ในกองดินเปียกหรือหนอ ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ได้ พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ ไม่ทำให้มากซึ่ง กายคตาสติ แล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์

          [๓๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้แห้งเกราะ ทันใดนั้น มีบุรุษ มาถือเอา เป็นไม้สีไฟ ด้วยตั้งใจว่า จักก่อไฟทำเตโชธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นถือเอาไม้แห้งเกราะโน้นเป็นไม้สีไฟ แล้วสีกันไป จะพึง ก่อไฟ ทำเตโชธาตุได้หรือหนอ ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ ไม่ทำให้มากซึ่ง กายคตาสติ แล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์

          [๓๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองน้ำว่างเปล่า อันเขาตั้งไว้ บน เครื่องรอง ทันใดนั้น มีบุรุษมาถือเอาเป็นเครื่องตักน้ำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะพึงได้น้ำเก็บไว้หรือหนอ
ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ ไม่ทำให้มากซึ่ง กายคตาสติ แล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์

          [๓๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้วทำ ให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษ โยนกลุ่มด้าย เบาๆ ลงบนแผ่นกระดานเรียบ อันสำเร็จด้วยไม้แก่นล้วน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ จะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน กลุ่มด้ายเบาๆ นั้นจะพึงได้ ช่องบนแผ่นกระดานเรียบ อันสำเร็จด้วยไม้แก่นล้วนหรือหนอ
ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์

          [๓๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้สดมียาง ทันใดนั้น มีบุรุษ มาถือเอา เป็นไม้สีไฟด้วย ตั้งใจว่า จักก่อไฟ ทำเตโชธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะ สำคัญ ความข้อนั้น เป็นไฉน บุรุษนั้นถือเอาไม้สดมียางโน้น เป็นไม้สีไฟ แล้วสีกันไป จะพึงก่อไฟทำเตโชธาตุได้ หรือหนอ ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์

          [๓๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองน้ำ มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอ ขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเครื่องรอง ทันใดนั้น มีบุรุษมาถือเอา เป็นเครื่อง ตักน้ำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้น จะพึงได้น้ำ เก็บไว้ หรือหนอ ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้วทำ ให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์

          [๓๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้ว ทำให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรม ที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยความรู้ ยิ่ง อันเป็นแดน ที่ตน น้อมจิตไปโดยการทำให้แจ้ง ด้วยความรู้ยิ่งนั้นๆ ได้ ในเมื่อ มีสติ เป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน หม้อกรองน้ำ มีน้ำเต็มเปี่ยม เสมอ ขอบปาก พอที่กา จะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเครื่องรองบุรุษ มีกำลังมา ยังหม้อ กรองน้ำนั้น โดยทางใดๆ จะพึงถึงน้ำได้ โดยทางนั้นๆ หรือ ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้วทำ ให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถ ในธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไป โดยการทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง นั้นๆ ได้ ในเมื่อมีสติ เป็นเหตุ

          [๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสระโบกขรณี สี่เหลี่ยม ในภูมิภาค ที่ราบเขา พูนคันไว้ มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ บุรุษมีกำลัง เจาะ คันสระโบกขรณีนั้น ทางด้านใดๆ จะพึงถึงน้ำทางด้านนั้นๆ ได้หรือ ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้วทำ ให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถ ในธรรม ที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไป โดยการกระทำให้แจ้ง ด้วยความรู้ยิ่งนั้นๆ ได้ ในเมื่อมีสติ เป็นเหตุ

          [๓๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรถม้าอาชาไนย เขาเทียมม้าแล้ว มีแส้ เสียบไว้ ในที่ ระหว่างม้าทั้ง ๒ จอดอยู่บนพื้นที่เรียบตรงทางใหญ่ ๔ แยก นายสารถี ผู้ฝึกม้า เป็นอาจารย์ขับขี่ ผู้ฉลาด ขึ้นรถนั้นแล้ว มือซ้ายจับสายบังเหียน มือขวา จับแส้ ขับรถไปยังที่ปรารถนาได้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน แล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ แล้ว ทำให้มากแล้ว เธอ ย่อมถึงความเป็นผู้ สามารถในธรรม ที่ควรทำให้แจ้ง ด้วยความ รู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ น้อมจิตไปโดยการ กระทำ ให้แจ้ง ด้วยความรู้ยิ่งนั้นๆ ได้ในเมื่อ มีสติเป็นเหตุฯ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          [๓๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติ อันภิกษุเสพแล้วโดยมาก เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่ เนืองๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอ ดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการนี้ คือ

          (๑) อดกลั้นต่อความไม่ยินดี และความยินดีได้ ไม่ถูกความไม่ยินดี ครอบงำ ย่อม ครอบงำ ความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย

          (๒) อดกลั้นต่อภัย และความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาดกลัว ครอบงำ ย่อมครอบงำภัย และความหวาดกลัว ที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย

          (๓) อดทน คือเป็นผู้มีปรกติ อดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความ ระหาย ต่อสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และ สัตว์เสือกคลาน ต่อทำนอง คำพูดที่ กล่าวร้าย ใส่ร้ายต่อเวทนา ประจำสรีระ ที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่ชอบใจ พอจะสังหารชีวิตได้

          (๔) เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเกิดมีในมหัคคตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน ตามความ ปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลำบาก

          (๕) ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคน เป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง นอก ภูเขา ได้ ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดิน เหมือนในน้ำ ก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ โดยบัลลังก์ เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก ปานฉะนี้ ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไป จนถึงพรหมโลกก็ได้

          (๖) ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์ และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและ ที่ใกล้ได้ ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์

          (๗) ย่อมกำหนดรู้ใจ ของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ คือ จิตมี ราคะ ก็รู้ว่า จิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิต มีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิต มีโมหะ หรือจิต ปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิต ฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหัคคตะ ก็รู้ว่าเป็นมหัคคตะ หรือจิตไม่เป็น มหัคคตะก็รู้ว่า จิตไม่เป็น มหัคคตะ จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิต ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น หรือ จิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว หรือจิตยังไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิต ยังไม่หลุดพ้น

          (๘) ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ คือ ระลึกได้ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติ บ้าง ยี่สิบชาติบ้างสามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัปบ้าง หลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวัฏ วิวัฏกัปบ้าง ว่าในชาติโน้น เรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุข และทุกข์ อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจาก ชาตินั้นแล้ว บังเกิดในชาติโน้น แม้ในชาตินั้น เราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุข และทุกข์ อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้น เคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว จึงเข้าถึงในชาตินี้ ย่อมระลึกขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติ ก่อน ได้เป็นอเนกประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ เช่นนี้

          (๙) ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ฯลฯ ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของ มนุษย์ ย่อมทราบชัดหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม เช่นนี้

          (๑๐) ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ อาสวะ ทั้งหลาย สิ้นไป ทำให้แจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติ อันภิกษุเสพแล้ว โดยมากเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยาน แล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนืองๆ แล้วอบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอ ดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการได้ ดังนี้แล

          พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล

จบ กายคตาสติสูตร ที่ ๙







พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์