(อรรถกถา-คำแต่งใหม่)
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
หมวดว่าด้วยความสุข
๑. เรื่องการระงับความทะเลาะของหมู่พระญาติ (ตรัสแก่พระญาติฝ่ายศากยะ และโกลิยะ ที่ทะเลาะกันเพราะแย่งน้ำทำนา)
ในหมู่มนุษย์ผู้มีเวร
เราเป็นผู้ไม่มีเวร อยู่เป็นสุขจริงหนอ
ในหมู่มนุษย์ผู้มีเวร เราอยู่อย่างไม่มีเวร
ในหมู่มนุษย์ผู้เดือดร้อน
เราเป็นผู้ไม่เดือดร้อน อยู่เป็นสุขจริงหนอ
ในหมู่มนุษย์ผู้เดือดร้อน เราอยู่อย่างไม่เดือดร้อน
ในหมู่มนุษย์ผู้ขวนขวาย
เราเป็นผู้ไม่ขวนขวาย อยู่เป็นสุขจริงหนอ
ในหมู่มนุษย์ผู้ขวนขวาย เราอยู่อย่างไม่ขวนขวาย
๒. เรื่องมาร (ตรัสแก่มารผู้มีบาป )
เราไม่มีกิเลสเครื่องกังวล อยู่เป็นสุขจริงหนอ
เรามีปีติเป็นภักษา ดุจทวยเทพชั้นอาภัสระ ฉะนั้น
๓. เรื่องความพ่ายแพ้ของพระเจ้าโกศล (ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย)
ชนะย่อมก่อเวร ผู้พ่ายแพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์
ผู้ละทั้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว
มีใจสงบ ย่อมนอนเป็นสุข
๔. เรื่องสาวน้อยในตระกูลหนึ่ง (ตรัสแก่สามีของสาวน้อยในตระกูลหนึ่ง)
ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี
โทษเสมอด้วยโทสะไม่มี
ทุกข์เสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี
สุข(อื่น)ยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
๕. เรื่องอุบาสกคนใดคนหนึ่ง (ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย)
ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง
สังขารทั้งหลาย เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
บัณฑิตรู้เรื่องนี้ตามความเป็นจริงแล้ว
ย่อมทำนิพพานให้แจ้ง
เพราะนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
๖. เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล (ตรัสแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล)
ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง
ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
๗. เรื่องพระติสสเถระ (ตรัสพระคาถานี้แก่พระติสสเถระ)
บุคคลดื่มปวิเวกรส
ลิ้มรสแห่งความสงบ
และได้ลิ้มรสแห่งปีติในธรรมแล้ว
เป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่มีบาป
๘. เรื่องท้าวสักกะ (ตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลาย)
การพบเห็นพระอริยะทั้งหลาย เป็นการดี
การอยู่ร่วมกับพระอริยะ ก่อให้เกิดสุขทุกเมื่อ
เพราะการไม่พบเห็นคนพาล บุคคลพึงอยู่เป็นสุขเนืองนิตย์
เพราะผู้คบค้าสมาคมกับคนพาล
ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน
การอยู่ร่วมกับคนพาล เป็นทุกข์ตลอดเวลา
เหมือนอยู่ร่วมกับศัตรู
การอยู่ร่วมกับนักปราชญ์มีแต่ความสุข
เหมือนอยู่ในหมู่ญาติ
เพราะฉะนั้นแล บุคคลควรคบผู้เป็นปราชญ์
มีปัญญา เป็นพหูสูต
มีปกติเอาธุระ มีวัตร เป็นพระอริยะ
เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาดี เช่นนั้น
เหมือนดวงจันทร์โคจรไปตามทางของดาวนักษัตร ฉะนั้น
หมวดว่าด้วยสิ่งเป็นที่รัก
๑. เรื่องบรรพชิต ๓ รูป (ตรัสแก่บรรพชิต ๓ รูป)
บุคคลทำตัวให้หมกมุ่นในกิจที่ไม่ควรหมกมุ่น๒-
และไม่หมกมุ่นในกิจที่ควรหมกมุ่น
ละเลยสิ่งที่เป็นประโยชน์ ติดอยู่ในปิยารมณ์
ทะเยอทะยานตามบุคคลผู้ปฏิบัติตนดี
ไม่ว่าเวลาใด บุคคลไม่ควรติดพันกับสิ่งเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก
เพราะการไม่เห็นสิ่งเป็นที่รักเป็นทุกข์
การพบเห็นสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น บุคคลไม่ควรทำสิ่งไรๆ ให้เป็นที่รัก
เพราะการพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์ระทม
ผู้ที่ไม่มีสิ่งเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก
ย่อมไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด
๒. เรื่องกุฎุมพีคนใดคนหนึ่ง (ตรัสพระคาถานี้แก่กุฎุมพี)
ความโศกเกิดจากสิ่งเป็นที่รัก ภัยก็เกิดจากสิ่งเป็นที่รัก
ผู้พ้นจากสิ่งเป็นที่รักได้เด็ดขาด
ย่อมไม่มีความโศกและภัยจากที่ไหนเลย
๓. เรื่องนางวิสาขา (ตรัสแก่นางวิสาขามิคาร มาตาผู้เศร้าโศกเพราะหลานสาวเสียชีวิต)
ความโศกเกิดจากความรัก ภัยก็เกิดจากความรัก
ผู้พ้นจากความรักได้เด็ดขาด
ย่อมไม่มีความโศกและภัยจากที่ไหนเลย
๔. เรื่องเจ้าลิจฉวี (ทรงปรารภพวกเจ้าลิจฉวี ที่แย่งหญิงผู้งดงามจนถึงขั้นชกต่อย)
ความโศกเกิดจากความยินดี ภัยก็เกิดจากความยินดี
ผู้พ้นจากความยินดีได้เด็ดขาด
ย่อมไม่มีความโศกและภัยจากที่ไหนเลย
๕. เรื่องอนิตถิคันธกุมาร (ตรัสแก่อนิตถิคันธกุมาร)
ความโศกเกิดจากกาม ภัยก็เกิดจากกาม
ผู้พ้นจากกามได้เด็ดขาด
ย่อมไม่มีความโศกและภัยจากที่ไหนเลย
๖. เรื่องพราหมณ์คนใดคนหนึ่ง (ตรัสแก่พราหมณ์)
ความโศกเกิดจากตัณหา ภัยก็เกิดจากตัณหา
ผู้พ้นจากตัณหาได้เด็ดขาด
ย่อมไม่มีความโศกและภัยจากที่ไหนเลย
๗. เรื่องเด็กน้อย ๕๐๐ คน (ตรัสพระคาถานี้แก่เด็กน้อย ๕๐๐ คน)
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล และทัสสนะ
ดำรงอยู่ในธรรม กล่าวคำสัตย์
ทำหน้าที่ของตน
ย่อมเป็นที่รักของประชาชน
๘. อนาคามิเถรวัตถุเรื่องพระอนาคามีเถระ (ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นศิษย์ของพระผู้บรรลุ อนาคามิผล)
ภิกษุผู้เกิดฉันทะในธรรม ที่ใครๆ บอกไม่ได้
มีใจได้สัมผัสแล้ว และมีจิตไม่เกาะเกี่ยวในกามทั้งหลาย
เราเรียกว่า ผู้มีกระแสในเบื้องบน
๙. เรื่องนายนันทิยะ (ตรัสพระคาถานี้ แก่พระมหาโมคคัลลานะ ผู้เห็นทิพยสมบัติของ นายนันทิยะในเทวโลก)
ญาติ มิตร และผู้มีใจดีทั้งหลาย
เห็นคนที่จากบ้านไปนาน
กลับจากที่ไกลมาถึงโดยสวัสดิภาพ
ย่อมยินดีว่ามาแล้ว
เช่นเดียวกันนั้น บุญทั้งหลาย
ย่อมต้อนรับคนที่ทำบุญไว้
ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า
เหมือนญาติต้อนรับญาติผู้เป็นที่รักที่กลับมาบ้าน ฉะนั้น |