พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๒๒๐
หมวด ๗
ธรรมมีประเภทละ ๗
(1) อริยทรัพย์ ๗ อย่าง
๑. สัทธาธนัง [ทรัพย์คือศรัทธา]
๒. สีลธนัง [ทรัพย์คือศีล]
๓. หิริธนัง [ทรัพย์คือหิริ]
๔. โอตตัปปธนัง [ทรัพย์คือโอตตัปปะ]
๕. สุตธนัง [ทรัพย์คือสุตะ]
๖. จาคธนัง [ทรัพย์คือจาคะ]
๗. ปัญญาธนัง [ทรัพย์คือปัญญา]
(2) โพชฌงค์ ๗ อย่าง
๑. สติสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความระลึกได้]
๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือการสอดส่องธรรม]
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความเพียร]
๔. ปีติสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความอิ่มใจ]
๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความสงบ]
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความตั้งใจมั่น]
๗. อุเปกขาสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือ ความวางเฉย]
(3) บริขารของสมาธิ ๗ อย่าง
๑. สัมมาทิฏฐิ [ความเห็นชอบ]
๒. สัมมาสังกัปปะ [ความดำริชอบ]
๓. สัมมาวาจา [เจรจาชอบ]
๔. สัมมากัมมันตะ [การงานชอบ]
๕. สัมมาอาชีวะ [เลี้ยงชีวิตชอบ]
๖. สัมมาวายามะ [พยายามชอบ]
๗. สัมมาสติ [ระลึกชอบ]
(4) อสัทธรรม ๗ อย่าง
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
๑. เป็นคนไม่มีศรัทธา
๒. เป็นคนไม่มีหิริ
๓. เป็นคนไม่มีโอตตัปปะ
๔. เป็นคนมีสุตะน้อย
๕. เป็นคนเกียจคร้าน
๖. เป็นคนมีสติหลงลืม
๗. เป็นคนมีปัญญาทราม
(5) สัทธรรม ๗ อย่าง
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
๑. เป็นคนมีศรัทธา
๒. เป็นคนมีหิริ
๓. เป็นคนมีโอตตัปปะ
๔. เป็นคนมีพหูสูต
๕. เป็นคนปรารภความเพียร
๖. เป็นคนมีสติมั่นคง
๗. เป็นคนมีปัญญา
(6) สัปปุริสธรรม ๗ อย่าง
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
๑. เป็นผู้รู้จักเหตุ
๒. เป็นผู้รู้จักผล
๓. เป็นผู้รู้จักตน
๔. เป็นผู้รู้จักประมาณ
๕. เป็นผู้รู้จักกาล
๖. เป็นผู้รู้จักบริษัท
๗. เป็นผู้รู้จักบุคคล
(7) นิทเทสวัตถุ ๗ อย่าง
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
๑. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานสิกขา ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในการสมาทานสิกขาต่อไปด้วย
๒. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการไตร่ตรองธรรม ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในการไตร่ตรองธรรมต่อไปด้วย
๓. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการปราบปรามความอยาก ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในการปราบปรามความอยากต่อไปด้วย
๔. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการเร้นอยู่ ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในการเร้นอยู่ต่อไปด้วย
๕. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการปรารภความเพียร ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในการปรารภความเพียรต่อไปด้วย
๖. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในสติและปัญญาเครื่องรักษาตน ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในสติและปัญญาเครื่องรักษาตนต่อไปด้วย
๗. เป็นผู้มีความพอใจอย่างแรงกล้าในการแทงตลอดซึ่งทิฐิ ทั้งเป็นผู้ไม่หมดความรักในการแทงตลอดซึ่งทิฐิต่อไปด้วย
(8) สัญญา ๗ อย่าง
๑. อนิจจสัญญา [กำหนดหมายความไม่เที่ยง]
๒. อนัตตสัญญา [กำหนดหมายเป็นอนัตตา]
๓. อสุภสัญญา [กำหนดหมายความไม่งาม]
๔. อาทีนวสัญญา [กำหนดหมายโทษ]
๕. ปหานสัญญา [กำหนดหมายเพื่อละ]
๖. วิราคสัญญา [กำหนดหมายวิราคะ]
๗. นิโรธสัญญา [กำหนดหมายนิโรธ]
(9) พละ ๗ อย่าง
๑. สัทธาพละ [กำลังคือศรัทธา]
๒. วิริยพละ [กำลังคือความเพียร]
๓. หิริพละ [กำลังคือหิริ]
๔. โอตตัปปพละ [กำลังคือโอตตัปปะ]
๕. สติพละ [กำลังคือสติ]
๖. สมาธิพละ [กำลังคือสมาธิ]
๗. ปัญญาพละ [กำลังคือปัญญา]
(10) วิญญาณฐิติ ๗ อย่าง
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
๑. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์และพวกเทพ บางพวก พวกวินิปาติกะบางพวก นี้วิญญาณฐิติข้อที่หนึ่ง
๒. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพผู้นับเนื่องใน พวกพรหม ซึ่งเกิดในภูมิปฐมฌาน นี้วิญญาณฐิติข้อที่สอง
๓. มีสัตว์พวกหนึ่ง มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นพวกเทพเหล่า อาภัสสระ นี้วิญญาณฐิติข้อที่สาม
๔. มีสัตว์พวกหนึ่งมี กายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพวกเทพ เหล่า สุภกิณหา นี้วิญญาณฐิติข้อที่สี่
๕. มีสัตว์พวกหนึ่ง เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา โดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึง นานัตตสัญญา นี้วิญญาณฐิติข้อที่ห้า
๖. มีสัตว์พวกหนึ่งก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าถึงวิญญา ณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้นี้วิญญาณฐิติข้อที่หก
๗. มีสัตว์พวกหนึ่งก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงแล้ว เข้าถึงอากิญ จัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่าไม่มีอะไร นี้วิญญาณฐิติข้อที่เจ็ด
(11) ทักขิเณยยบุคคล ๗ อย่าง
๑. อุภโตภาควิมุตต [ท่านผู้หลุดพ้นแล้วโดยส่วนทั้งสอง]
๒. ปัญญาวิมุตต [ท่านผู้หลุดพ้นแล้วด้วยอำนาจปัญญา]
๓. กายสักขิ [ท่านผู้สามารถด้วยกาย]
๔. ทิฏฐิปัตต [ท่านผู้ถึงแล้วด้วยความเห็น]
๕. สัทธาวิมุตต [ท่านผู้พ้นแล้วด้วยอำนาจศรัทธา]
๖. ธัมมานุสารี [ท่านผู้ประพฤติตามธรรม]
๗. สัทธานุสารี [ท่านผู้ประพฤติตามศรัทธา]
(12) อนุสัย ๗ อย่าง
๑. กามราคานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความกำหนัดในกาม]
๒. ปฏิฆานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความกระทบกระทั่งแห่งจิต]
๓. ทิฏฐานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความเห็น]
๔. วิจิกิจฉานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความสงสัย]
๕. มานานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความถือตัว]
๖. ภวราคานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความกำหนัดในภพ]
๗. อวิชชานุสัย [สภาพที่นอนเนื่องในดันดานคือความไม่รู้]
(13) สัญโญชน์ ๗ อย่าง
๑. กามสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความใคร่]
๒. ปฏิฆสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความกระทบกระทั่งแห่งจิต]
๓. ทิฏฐิสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความเห็น]
๔. วิจิกิจฉาสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความสงสัย]
๕. มานสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความถือตัว]
๖. ภวราคสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความกำหนัดในภพ]
๗. อวิชชาสัญโญชน์ [เครื่องเหนี่ยวรั้งคือความไม่รู้]
(14) อธิกรณสมถะ ๗ อย่าง
เพื่อความสงบ เพื่อความระงับอธิกรณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว
๑. พึงให้สัมมุขาวินัย
๒. พึงให้สติวินัย
๓. พึงให้อมุฬหวินัย
๔. พึงปรับตามปฏิญญา
๕. พึงถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. พึงปรับตามความผิดของจำเลย
๗. พึงใช้ติณวัตถารกวิธี [ประนีประนอมดังกลบไว้ด้วยหญ้า]
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมประเภทละ ๗ๆ เหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้ทรง เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้ว พวกเรา ทั้งหมด ด้วยกันพึงสังคายนา ไม่พึงแก่งแย่ง กันในธรรมนั้น การที่พรหมจรรย์นี้พึง ยั่งยืนตั้งอยู่นานนั้นพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุข แก่ชนมาก เพื่อ อนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ ทั้งหลาย
จบ หมวด ๗
|