เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  พระเทวทัต (ตอนที่ ๙) พระเทวทัตพาภิกษุบวชใหม่ ๕๐๐ รูป ไปเมืองคยาสีสะ.. พระสารี-
  พระโมค ตามพากลับ ทำให้โลหิตพุ่งออกจากปากพระเทวทัต
993
 
  เรื่องพระเทวทัต
  (ความย่อ

พระเทวทัตหาพรรคพวกจากภิกษุบวชใหม่ ๕๐๐ รูป
สมัยนั้น พระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็น พระบวชใหม่และรู้พระธรรมวินัยน้อย พวกเธอจับสลากด้วยเข้าใจว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ลำดับนั้น พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เข้าเฝ้า
ครั้งนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าฯเพื่อกราบทูล ทรงตรัสว่า พวกเธอ จักมีความ การุญ ในภิกษุใหม่เหล่านั้นมิใช่หรือ เธอจงรีบไป ภิกษุเหล่านั้นกำลังจะถึงความย่อยยับ


พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พาภิกษุ ๕๐๐ กลับ
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ไปพบพระเทวทัต ขณะนั่งแสดงธรรมอยู่ พระเทวทัตกล่าวกะภิกษุ ว่า เห็นไหม ธรรมเรากล่าวดีแล้ว พระสารีบุตร โมคคัลลานะอัครสาวก ของพระสมณโคดม ยังพากันมาสู่สำนักเรา ต้องชอบใจธรรม ของเราแน่

พระโกกาลิกะ* เตือนพระเทวทัต
ท่านอย่าไว้ วางใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ทั้งสองมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจ แก่ความปรารถนาลามก พระเทวทัตกล่าวว่า อย่าเลย ท่านทั้งสองมาดี เพราะชอบใจธรรมของเรา
*(พระโกกาลิกะ ต่อมาได้ติเตียนพระสารีบุตร และพระโมคฯ คืนนั้นมรณะภาพ และได้ไปเกิดในปทุมนรก)

พระเทวทัต เชื้อเชิญให้พระสารีบุตร กับพระโมค แสดงธรรมด้วย
พระเทวทัตนิมนต์ ท่านพระสารีบุตร กับพระโมคคัลลานะ ให้แสดงธรรม กล่าวว่าเราเมื่อยหลัง จักเอน พระสารีบุตรรับคำ ครั้งนั้น พระสารีบุตร กล่าวสอนภิกษุด้วยธรรมีกถา อันเป็นอนุศาสนี เจือด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์  ส่วนพระมหาโมคคัลลานะ กล่าวสอนด้วยธรรมีกถา อันเป็นอนุศาสนี เจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ จากนั้นพระสารีบุตร พระโมค พาภิกษุ ๕๐๐ รูป ไปทางพระเวฬุวัน

พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัต
ครั้งนั้น พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัต ให้ลุกขึ้นด้วยคำว่า ท่านเทวทัต ลุก ขึ้นเถิดพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว เราบอกท่านแล้ว มิใช่หรือว่า อย่าไว้วางใจพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความ ปรารถนาลามก ถึงอำนาจความปรารถนาลามก

ครั้งนั้น โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัต ในที่นั้นเอง ฯ
(อรรถกถาแต่งว่า เสียชีวิตเนื่องจากธรณีสูบ-วิกิพีเดีย)

พระเทวทัตจักเกิดในอบาย
เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๘ (โลกธรรม ๘) ประการครอบงำ ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบาย ตกนรกชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้ (ตกนรกอเวจี มีประตูถึง ๔ ประตูอันน่ากลัว)

   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 


เรื่องพระเทวทัต ชุดที่ 9

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๗ วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ หน้าที่ ๑๓๐

พระเทวทัตหาพรรคพวกจากภิกษุบวชใหม่ ๕๐๐ รูป


           [๓๘๙] ครั้งนั้น ถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตลุกจากอาสนะ ประกาศให้ ภิกษุทั้งหลายจับสลากว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้ว ทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่าพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้ มักน้อย ...

การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็น ไปเพื่อความเป็น ผู้มักน้อย ... การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทาน พระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใด อาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ... ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดพึงฉันปลา และเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ

วัตถุ ๕ ประการนี้ พระสมณโคดม ไม่ทรงอนุญาต แต่พวกเรานั้นย่อมสมาทาน ประพฤติตามวัตถุ ๕ ประการนี้ วัตถุ    ๕ ประการนี้ ชอบแก่ท่าน ผู้ใด ท่านผู้นั้นจงจับสลาก ฯ

           [๓๙๐] สมัยนั้น พระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็น พระบวชใหม่และรู้พระธรรมวินัยน้อย พวกเธอจับสลากด้วยเข้าใจว่า นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ลำดับนั้น พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป หลีกไปทางคยาสีสะ*ประเทศ (พระเทวทัตพาพระบวชใหม่ไปทาง คยาสีสะ)
* (ตำบลหนึ่งในเมืองคยา แคว้นมคธ)

           [๓๙๑] ครั้งนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปหลีกไปทางคยาสีสะประเทศ

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร โมคคัลลานะ พวกเธอจักมีความการุญ ใน ภิกษุใหม่เหล่านั้นมิใช่หรือ พวกเธอจงรีบไป ภิกษุเหล่านั้นกำลังจะถึง  ความย่อยยับ

           พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วเดินทางไปคยาสีสะประเทศ ฯ




ภิกษุรูปหนึ่งยืนร้องให้

           [๓๙๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งยืนร้องไห้ อยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มี พระภาคตรัสถาม ภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ* เธอร้องไห้ทำไม

           ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็น อัครสาวกของ พระผู้มีพระภาค ไปในสำนักพระเทวทัต คงจะชอบใจธรรมของ พระเทวทัต

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ข้อที่สารีบุตรโมคคัลลานะ จะพึงชอบ   ใจธรรมของเทวทัต นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส แต่เธอทั้งสองไปเพื่อซ้อมความ เข้าใจกะภิกษุ ฯ
*(ภิกษุร้องให้เกิดความเข้าใผิด)


พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พาภิกษุ ๕๐๐ กลับ

           [๓๙๓] สมัยนั้น พระเทวทัตอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม แล้วนั่งแสดงธรรมอยู่ เธอได้เห็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มาแต่ไกล จึงเตือนภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เห็นไหม ธรรมเรากล่าวดีแล้ว พระสารีบุตร โมคคัลลานะอัครสาวก ของพระสมณโคดม พากันมาสู่สำนักเรา ต้องชอบใจธรรม ของเรา

           เมื่อพระเทวทัต กล่าวอย่างนี้แล้ว พระโกกาลิกะ* ได้กล่าวกะพระเทวทัตว่า ท่านเทวทัต ท่านอย่าไว้ วางใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เพราะเธอ ทั้งสอง มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก พระเทวทัตกล่าวว่า  อย่าเลย คุณ ท่านทั้งสองมาดี เพราะชอบใจธรรมของเรา
*(พระโกกาลิกะ ต่อมาได้กล่าวตู่พระสารีบุตร และพระโมค- ว่าเป็นผู้มีความปรารถนาอันเลวทราม  ต่อหน้าพระศาสดา จากนั้นได้ทำกาละ เข้าถึง ปทุมนรก อายุ 1 กัป อ่าน โกกาลิกสูตร )

           ลำดับนั้น ท่านพระเทวทัตนิมนต์ท่านพระสารีบุตร ด้วยอาสนะกึ่งหนึ่ง ว่า มาเถิด ท่านสารีบุตร นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้ ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า อย่าเลย ท่าน แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่ง นั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระมหา โมคคัลลานะ ก็ถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           ลำดับนั้น พระเทวทัต แสดงธรรม กถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงหลายราตรี แล้วเชื้อเชิญ ท่านพระสารีบุตรว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ ปราศจากถีนมิทธะแล้วธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะท่าน เราเมื่อยหลัง จักเอน ท่านพระสารีบุตรรับคำพระเทวทัตแล้ว (พระเทวทัตขอให้พระสารีบุตรแสดงธรรม ต่อ)

           ลำดับนั้น พระเทวทัตปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น แล้วจำวัตรโดยข้างเบื้องขวา เธอเหน็ดเหนื่อย หมดสติสัมปชัญญะ ครู่เดียวเท่านั้น ก็หลับไป

           [๓๙๔] ครั้งนั้น
ท่านพระสารีบุตร
กล่าวสอนพร่ำสอนภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถา อันเป็นอนุศาสนี เจือด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์

ท่านพระมหาโมคคัลลานะ กล่าวสอน พร่ำสอน ภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถา อันเป็นอนุศาสนี เจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์

           ขณะเมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอน อยู่ด้วย อนุศาสนี เจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์ และอันท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวสอน อยู่ พร่ำสอนอยู่ ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ดวงตาเห็นธรรมที่ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งหมด มีความดับเป็นธรรมดา ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลาย  มาว่า ท่านทั้งหลาย เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้ใดชอบใจธรรมของพระผู้มี พระภาคนั้น ผู้นั้นจงมา

           ครั้งนั้น พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พาภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นเข้าไป ทางพระเวฬุวัน

           ครั้งนั้น พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัต ให้ลุกขึ้นด้วยคำว่า ท่านเทวทัต ลุก ขึ้นเถิดพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว เราบอกท่านแล้ว มิใช่หรือว่า อย่าไว้วางใจพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความ ปรารถนาลามก ถึงอำนาจความปรารถนาลามก

           ครั้งนั้น โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัต ในที่นั้นเอง ฯ

           [๓๙๕] ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลาย ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย พึงอุปสมบทใหม่

           พ. อย่าเลย สารีบุตร เธออย่าพอใจการอุปสมบทใหม่ของพวกภิกษุผู้ ประพฤติ ตามภิกษุผู้ทำลาย เลย ดูกรสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้พวกภิกษุ ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย แสดง อาบัติถุลลัจจัย* ก็เทวทัตปฏิบัติแก่เธออย่างไร
* (อาบัติถุลลัจจัย คืออาบัติเบาที่เปรียบด้วยลหุโทษ ทำให้ภิกษุผู้ต้องอาบัตินั้น ต้องประจานตน ต่อหน้าภิกษุด้วยกัน)

           ส. พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาให้ภิกษุทั้งหลาย เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วได้รับสั่งกะ  ข้าพระพุทธเจ้าว่า ดูกรสารีบุตรภิกษุสงฆ์ปราศจาก ถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุ ทั้งหลายจงแจ่มแจ้งแก่เธอ เราเมื่อยหลัง ดังนี้ฉันใด พระเทวทัต ก็ได้ปฏิบัติ ฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าข้า ฯ
--------------------------------------------------------------------------------------------------

ทรงอุปมาว่า พระเทวทัตเลียนแบบเรา ทำให้ช้างที่ติดตาม ตายทั้งโขลง

           [๓๙๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีสระใหญ่อยู่ในราวป่า ช้างทั้งหลายอาศัยสระนั้นอยู่ และพวกมัน พากันลงสระนั้นเอางวง ถอนเง่าและ รากบัวล้างให้สะอาดจนไม่มีตม แล้วเคี้ยวกลืน กิน เง่าและรากบัวนั้น เง่าและรากบัวนั้น ย่อมบำรุงวรรณะ และกำลังของช้างเหล่านั้น และช้างเหล่านั้นก็ไม่เข้าถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเป็นเหตุ

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนลูกช้างตัวเล็กๆ เอาอย่างช้างใหญ่เหล่านั้น และ พากันลงสระ นั้น เอางวงถอนเง่า และรากบัวแล้วไม่ล้างให้สะอาดเคี้ยวกลืน กินทั้งที่มี ตม เง่าและ รากบัวนั้น ย่อมไม่บำรุงวรรณะและกำลัง ของลูกช้างเหล่านั้น และพวกมันย่อม เข้าถึง ความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตเลียน แบบ เราจักตายอย่างคนกำพร้า อย่างนั้นเหมือนกันฯ

           พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประพันธคาถา ว่าดังนี้:

           [๓๙๗] เมื่อช้างใหญ่คุมฝูง ขุดดิน กินเง่าบัวอยู่ในสระใหญ่ ลูกช้างกินเง่าบัว ทั้งที่มีตมแล้วตาย ฉันใด เทวทัตเลียนแบบเรา แล้วจักตายอย่างคนกำพร้า ฉันนั้น


พระเทวทัตจักเกิดในอบาย

           [๔๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๘ ประการครอบงำ ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบาย ตกนรกชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้ อสัทธรรม* ๘ ประการ เป็นไฉน คือ
           ๑. เทวทัตมีจิต อันลาภครอบงำ ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบายตกนรก ตั้งอยู่ตลอด กัปช่วยเหลือไม่ได้
           ๒. เทวทัตมีจิต อันความเสื่อมลาภครอบงำ ย่ำยีแล้ว ...
           ๓. เทวทัตมีจิต อันยศ ครอบงำ ย่ำยีแล้ว ...
           ๔. เทวทัตมีจิต อันความเสื่อมยศ ครอบงำ ย่ำยีแล้ว ...
           ๕. เทวทัตมีจิต อันสักการะ ครอบงำ ย่ำยีแล้ว ...
           ๖. เทวทัตมีจิต อันความเสื่อมสักการะ ครอบงำ ย่ำยีแล้ว ...
           ๗. เทวทัตมีจิต อันความปรารถนาลามก ครอบงำ ย่ำยีแล้ว ...
           ๘. เทวทัตมีจิต อันความเป็นมิตรชั่ว ครอบงำ ย่ำยีแล้วจักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป ช่วยเหลือไม่ได้
*(โลกธรรม ๘)

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตมีจิตอัน อสัทธรรม ๘ ประการนี้แล ครอบงำ  ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป ช่วยเหลือไม่ได้

           [๔๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตมีจิตอัน อสัทธรรม ๓ ประการ ครอบงำ ย่ำยี จักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป ช่วยเหลือไม่ได้อสัทธรรม ๓ ประการ เป็นไฉน คือ:
๑. ความปรารถนาลามก
๒. ความมีมิตรชั่ว
๓. พอบรรลุคุณวิเศษเพียงคั่นต่ำ
*ก็เลิกเสียในระหว่าง
*(น่าจะขั้นต่ำ)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๓ ประการนี้แล ครอบงำย่ำยีจักเกิดใน อบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป ช่วยเหลือไม่ได้

นิคมคาถา

           [๔๐๓] ใครๆจงอย่าเกิดเป็นคนปรารถนาลามก ในโลก ท่านทั้งหลายจงรู้จัก เทวทัต นั้นตามเหตุแม้นี้ว่า มีคติเหมือนคติของคนปรารถนาลามก เทวทัตปรากฏว่า เป็นบัณฑิต รู้กันว่าเป็นผู้อบรมตนแล้ว เราก็ได้ทราบว่า เทวทัต ตั้งอยู่ดุจผู้รุ่งเรือง ด้วยยศ เธอสั่งสมความประมาทเบียดเบียนตถาคตนั้น จึงตกนรกอเวจี มีประตูถึง ๔ ประตูอันน่ากลัว

ก็ผู้ใดประทุษร้าย ต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่ทำบาปกรรมบาปย่อมถูกต้องเฉพาะผู้นั้น ผู้มีจิตประทุษร้าย ไม่เอื้อเฟื้อผู้ใดตั้งใจประทุษร้ายมหาสมุทร ด้วยยาพิษเป็นหม้อๆ

ผู้นั้นไม่ควรประทุษร้ายด้วยยาพิษนั้น เพราะมหาสมุทรเป็นสิ่งที่ น่ากลัว ฉันใด ผู้ใดเบียดเบียนตถาคตผู้เสด็จไปดีแล้ว มีพระทัยสงบด้วยกล่าวติเตียน การกล่าว ติเตียน ในตถาคตนั้น ฟังไม่ขึ้น ฉันนั้นเหมือนกัน

ภิกษุผู้ดำเนินตามมรรคาของ พระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด พึงถึงความสิ้นทุกข์ บัณฑิตพึงกระทำ พระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เช่นนั้นให้เป็นมิตร และพึงคบหาท่าน

Next 10   


 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์