เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  พระเทวทัต (ตอนที่ ๗) วางแผนลอบปลง สมณโคดมถึง ๓ ครั้ง 991
 
  เรื่องพระเทวทัต
  (ความย่อ

พระเทวทัตวางแผนอุบาทว์
พระเทวทัต ให้อชาตสัตตกุมาร ลอบปลงพระบิดา (พระเจ้าพิมพิสาร)
ส่วนพระเทวทัต จะลอบปลงสมณะโคดม

อชาตสัตตกุมาร ลอบปลงพระเจ้าพิมพิสาร
แต่ถูกทหารเห็นพิรุธ จึงจับค้นตัว พบกริชเสียบไว้ต้นขา(เพลา) จึงนำตัวไปมอบให้พระเจ้า พิมพิสาร พระองค์ถามว่า ต้องการฆ่าพ่อด้วยเหตุผลอะไร อชาตฯ ตอบว่าต้องการราชสมบัติ
พระเจ้าพิมพิสาร จึงมอบราชสมบัติให้ ให้อชาตสัตตกุมารได้ครอบครอง

พระเทวทัตวางแผนลอบปลงสมณโคดม
ครั้งที่ ๑
พระเทวทัตให้บุรุษ ๑ คน ซึงเป็นคนของอชาตสัตตกุมาร ลอบปลงพระชนม์ ด้วยธนู แต่บุรุษคนนั้น ไม่กล้า พระองค์จึง เรียกเข้าไปหา พร้อมแสดง อนุปุพพิกถา ทาน ศีล สวรรค์ และอาทีนพ(โทษ) อันต่ำทราม ของกามทั้งหลาย และแสดง อริยสัจสี่ จนบรรลุธรรม พร้อมกับ แสดงธรรมนี้ ให้กับบุรุษ อีก ๔ คน ๘ คน ๑๖ คน ที่เดินสวนออกไปเพื่อตามหาบุรุษชุดแรก จน บรรลุธรรมทั้งหมด

ครั้งที่ ๒ พระเทวทัตทุ่มหินลงมาจากเขาคิชฌกูฏ
ขณะสมณโคดมเดินจงกรม แต่ยอดบรรพต ทั้งสอง น้อมมา รับศิลานั้นไว้ สะเก็ดกระเด็นจากศิลานั้นต้องพระบาท ทำพระโลหิตให้ห้อขึ้น แล้ว ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนขึ้นไป ได้ตรัสกะพระเทวทัตว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอสั่งสม บาป มิใช่บุญไว้ มากนัก เพราะมีจิตคิดประทุษร้ายมีจิตคิดฆ่ายังโลหิตของ ตถาคต ให้ห้อขึ้น

ครั้งที่ ๓ เรื่องปล่อยช้างนาฬาคิรี  มาทำร้ายพระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงแผ่เมตตาจิตไปสู่ ช้างนาฬาคิรี จึงลดงวงลงแล้วเข้าไปยืนอยู่ตรง พระพักตร์
   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 


เรื่องพระเทวทัต ชุดที่ 7

ฉบับหลวง เล่มที่ ๒ วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๒


อชาตสัตตุกุมาร
วางแผนปลงพระชนม์ พระเจ้าพิมพิสาร(พระบิดา)


           [๓๖๖] ครั้งนั้น พระเทวทัตเข้าไปหา อชาตสัตตุกุมาร* แล้วได้กล่าวว่า  ดูกรกุมาร เมื่อก่อนคนทั้งหลายมีอายุยืน เดี๋ยวนี้มีอายุสั้น ก็การที่ท่านจะพึงตาย เสียเมื่อยังเป็นเด็ก นั่นเป็นฐานะจะมีได้ ดูกรกุมาร ถ้ากระนั้น ท่านจงปลงพระชนม์ พระชนก(พระบิดา) เสีย แล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อาตมาจักปลง พระชนม์ พระผู้มีพระภาคแล้วเป็น พระพุทธเจ้า
*(อชาตสัตตุกุมาร หรือ พระเจ้าอชาติศัตรู คือบุคคลคนเดียวกัน เป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ราชา แห่งแคว้นมคธ กาลต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาพุทธศาสนา ณ ถ้ำสุวรรณคูหา)

ครั้งนั้น อชาตสัตตุกุมารคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าเทวทัต มีฤทธิ์มาก มีอนุภาพมาก พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตพึงทราบแน่ แล้วเหน็บกฤชแนบพระเพลา ทรงกลัว หวั่นหวาด สะดุ้งพระทัย รีบเสด็จเข้าไปภายในพระราชวัง(พระเจ้าพิมพิสาร) แต่เวลา กลางวัน  

พวกมหาอำมาตย์ ผู้รักษาภายในพระราชวัง ได้แลเห็นอชาตสัตตุกุมาร ทรงกลัว หวั่นหวาด สะดุ้ง พระทัยรีบเสด็จเข้ามาภายในพระราชวังแต่เวลากลางวัน จึงรีบจับไว้ มหาอำมาตย์เหล่านั้น ตรวจค้นพบกฤชเหน็บอยู่ที่พระเพลา(ต้นขา) แล้วได้ทูล ถาม อชาตสัตตุกุมาร ว่า พระองค์ประสงค์จะทำการ อันใดพระเจ้าข้า
          อ. เราประสงค์จะปลงพระชนม์พระชนก(บิดา)
          ม. ใครใช้พระองค์
        
  อ. พระผู้เป็นเจ้าเทวทัต

           มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า ควรปลงพระชนม์พระกุมาร ควร  ฆ่าพระเทวทัต และ ภิกษุทั้งหมด(ที่เป็นสาวกของพระเทวทัตจำนวน ๕๐๐รูป)

           มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ เพราะพวก   ภิกษุไม่ผิดอะไร ควรปลงพระชนม์พระกุมาร และฆ่าพระเทวทัต

           มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า ไม่ควรปลงพระชนม์พระกุมาร ไม่ควรฆ่าพระเทวทัต ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ ควรกราบทูลพระราชา พระราชารับสั่ง อย่างใด พวกเราจักทำอย่างนั้น ฯ

           [๓๖๗] ครั้งนั้น มหาอำมาตย์เหล่านั้นคุมอชาตสัตตุกุมารเข้าไปเฝ้า พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสารจอม  เสนามาคธราช
           พิ. ดูกรพนาย มหาอำมาตย์ทั้งหลายลงมติอย่างไร
           ม. ขอเดชะ มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า ควรปลงพระชนม์ พระกุมารควรฆ่าพระเทวทัต และภิกษุทั้งหมด มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติ อย่างนี้ ว่าไม่ควรฆ่าพวกภิกษุเพราะพวกภิกษุไม่ผิดอะไร ควรปลงพระชนม์ พระกุมาร และฆ่า พระเทวทัต มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า ไม่ควรปลง พระชนม์พระกุมาร ไม่ควรฆ่าพระเทวทัต ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุควรกราบทูลพระราชา พระราชารับสั่ง อย่างใด พวกเราจักทำอย่างนั้น

           พิ. ดูกรพนาย พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ จักทำอะไรได้ ชั้นแรก ทีเดียว พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประกาศพระเทวทัต ในกรุงราชคฤห์มิใช่หรือว่า ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัต ทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์  เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง

           บรรดามหาอำมาตย์ เหล่านั้น พวกที่ลงมติอย่างนี้ว่า ควรปลงพระชนม์   พระกุมาร ควรฆ่าพระเทวทัต และภิกษุทั้งหมด พระราชาได้ทรงถอดยศ พวกเธอเสีย พวกที่ลงมติอย่างนี้ว่า ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ เพราะพวกภิกษุไม่ผิดอะไร ควรปลงพระชนม์ พระกุมาร และฆ่าพระเทวทัต พระราชาได้ทรงลดตำแหน่งพวกเธอ

           พวกที่ลงมติอย่างนี้ว่า ไม่ควรปลงพระชนม์พระกุมาร ไม่ควรฆ่า พระเทวทัต ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ ควรกราบทูลพระราชา พระราชารับสั่งอย่างใด พวกเราจักทำ อย่างนั้น พระราชาได้ทรงเลื่อนตำแหน่งพวกเธอ

           ลำดับนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้รับสั่งถาม อชาตสัตตุกุมาร ว่า ลูกเจ้าต้องการฆ่าพ่อเพื่ออะไร อชาตสัตตุกุมาร กราบทูลว่า หม่อมฉันต้องการราชสมบัติพระพุทธเจ้าข้า
           พระราชาตรัสว่า ลูก ถ้าเจ้าต้องการราชสมบัติ ราชสมบัตินั้นเป็นของเจ้า แล้วทรงมอบราชสมบัติแก่อชาตสัตตุกุมาร ฯ


พระเทวทัตส่งคนไปปลงพระชนม์พระศาสดา (ครั้งที่๑)
(พระเทวทัต เป็นผู้วางแผนปลงพระชนม์ สมณโคดม)

           [๓๖๘] ครั้งนั้น พระเทวทัตเข้าไปหาอชาตสัตตุกุมาร แล้วถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงรับสั่งใช้ ราชบุรุษผู้จักปลงพระชนม์ พระสมณโคดม ลำดับนั้น อชาตสัตตุกุมาร รับสั่งใช้คนทั้งหลายว่า พนาย พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตสั่ง อย่างใด ท่านทั้งหลายจงทำอย่างนั้น

           ลำดับนั้น พระเทวทัตจึงสั่งราชบุรุษคนหนึ่งว่า เจ้าจงไป พระสมณโคดม ประทับอยู่ในโอกาสโน้น จงปลงพระชนม์พระองค์แล้วจงมาทางนี้ ดังนี้

ซุ่มราชบุรุษไว้ คนริมทางนั้น ด้วยสั่งว่าราชบุรุษใดมาทางนี้ลำพังผู้เดียว เจ้าทั้งสองจงฆ่าราชบุรุษนั้นแล้ว มาทางนี้

ได้ซุ่มราชบุรุษไว้ คนริมทางนั้น ด้วยสั่งว่า ราชบุรุษเหล่าใดมาทางนี้ ๒ คน เจ้าทั้ง ๔ คน จงฆ่าราชบุรุษ๒ คนนั้น แล้วมาทางนี้

ได้ซุ่มบุรุษไว้ คนริมทางนั้น ด้วยสั่งว่า ราชบุรุษเหล่าใดมา ทางนี้๔ คน เจ้าทั้ง ๘ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๔ คนนั้นแล้วมาทางนี้

ได้ซุ่มราชบุรุษไว้ ๑๖ คนริมทางนั้น ด้วยสั่งว่า ราชบุรุษเหล่าใด มาทางนี้ ๘ คน เจ้าทั้ง ๑๖ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๘ คนนั้นแล้วมา ฯ
(พระเทวทัตสั่งฆ่าผู้ปฏิบัติงาน เป็นทอดๆเพื่อปิดปาก)


พระเทวทัตให้บุรุษลอบปลงพระชนม์ ด้วยธนู

           [๓๖๙] ครั้งนั้น บุรุษคนเดียวนั้นถือดาบและโล่ห์ผูกสอดแล่งธนู แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กลัว หวั่นหวาด สะทกสะท้าน มีกายแข็ง ได้ยืนอยู่ในที่ ไม่ไกล พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษนั้น ผู้กลัว หวั่นหวาด สะทกสะท้าน มีกายแข็งยืนอยู่ ครั้นแล้วได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่า มาเถิด เจ้าอย่ากลัวเลย

           จึงบุรุษนั้นวางดาบและโล่ห์ปลดแล่งธนูวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ซบศรีษะลงแทบพระบาท ยุคลของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า โทษมาถึงซึ่งข้าพระพุทธเจ้าตามความโง่ ตามความหลงตาม อกุศล เพราะข้าพระพุทธเจ้ามีจิตคิดประทุษร้าย มีจิตคิดจะฆ่า เข้ามาถึงที่นี้ขอพระผู้มี พระภาคโปรดรับโทษของข้าพระพุทธเจ้านั้น โดยความเป็น โทษ เพื่อความสำรวมต่อไปพระพุทธเจ้าข้า

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เอาเถอะเจ้า โทษมาถึงเจ้าตามความโง่ ตามความ หลง ตามอกุศลเพราะเจ้ามีจิตคิดประทุษร้าย มีจิตคิดจะฆ่า เข้ามาถึงที่นี้ เมื่อใดเจ้า เห็นโทษ โดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม เมื่อนั้น เรารับโทษนั้น ของเจ้า เพราะผู้ใดเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวม ต่อไป ข้อนั้น เป็นความเจริญในอริยวินัย

           ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อนุปุพพิกถา แก่บุรุษนั้น คือทรงแสดง ทาน ศีล สวรรค์ และ อาทีนพ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย แล้วจึงทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงทราบว่า บุรุษนั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อนมีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตสูงขึ้น มีจิตผ่องใส จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้นแสดง ด้วยพระองค์ เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่บุรุษนั้น ณ ที่นั่นนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อม เป็นอย่างดี ฉะนั้น

          ครั้งนั้น บุรุษนั้นมีธรรมอันเห็นแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้ง แล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศ ธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่ คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทางหรือส่อง ประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่าคนมี จักษุจักเห็นรูป ดังนี้

          ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึง พระผู้มีพระภาค พระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำ ข้าพระพุทธ เจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิต ถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป

           ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะบุรุษนั้นว่า เจ้าอย่าไปทางนี้ จงไป ทางนี้ แล้วทรงส่งไปทางอื่น ฯ

           [๓๗๐] ครั้งนั้น บุรุษสองคนนั้นคิดว่า ทำไมหนอบุรุษคนเดียวนั้น จึงมา ช้านัก แล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ โคนไม้ แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

            พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง อนุปุพพิกถา แก่บุรุษ๒ คนนั้น ...พวกเขา ... ไม่ต้อง เชื่อผู้อื่นในคำสอน ของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ ไพเราะ นัก พระพุทธเจ้าข้า ... ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่า เป็นอุบาสก ผู้มอบ ชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป

           ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะบุรุษทั้งสองนั้นว่า เจ้าทั้งสองอย่าไป ทางนี้ จงไปทางนี้ แล้วทรงส่งไปทางอื่น ฯ

           [๓๗๑] ครั้งนั้น บุรุษ ๔ คนนั้น ... ครั้งนั้น บุรุษ ๘ คนนั้น ... ครั้งนั้น บุรุษ ๑๖ คนนั้น คิดว่าทำไมหนอ บุรุษ ๘ คนนั้นจึงมาช้านัก แล้วเดินสวนทางไป ได้ไปพบ พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถา แก่บุรุษ ๑๖ คนนั้น คือ ทรงแสดง ทาน ศีล ... พวกเขา... ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า

            ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า ... ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๖ คนว่า เป็น อุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป

           ครั้งนั้น บุรุษคนเดียวนั้นได้เข้าไปหาพระเทวทัต แล้วได้กล่าวว่า ท่าน   เจ้าข้า กระผมไม่สามารถจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นได้ เพราะพระองค์ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พระเทวทัตจึงกล่าวว่า อย่าเลยเจ้า อย่าปลงพระชนม์ พระสมณ โคดมเลย เรานี้แหละจักปลงพระชนม์พระสมณโคดม ฯ


พระเทวทัตทำโลหิตุปบาท (ครั้งที่๒)
(พระเทวทัตกลิ้งหิน หมายปลงพระชนม์)


           [๓๗๒] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏบรรพต ครั้งนั้น พระเทวทัต ขึ้นสู่ คิชฌกูฏบรรพต แล้วกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ด้วยหมายใจว่า  จักปลงพระชนม์พระสมณโคดมด้วยศิลานี้ ยอดบรรพตทั้งสองน้อมมารับศิลานั้นไว้ สะเก็ดกระเด็นจากศิลานั้นต้องพระบาท ของพระผู้มีพระภาค ทำพระโลหิตให้ ห้อขึ้นแล้ว

           ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนขึ้นไปได้ตรัสกะพระเทวทัตว่า ดูกร โมฆบุรุษ เธอสั่งสมบาปมิใช่บุญไว้มากนัก เพราะมีจิตคิดประทุษร้ายมีจิตคิดฆ่า ยังโลหิตของ ตถาคตให้ห้อขึ้น ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้จัดเป็นอนันตริยกรรมข้อที่ ๑ ที่เทวทัตสั่งสมแล้ว เพราะเธอ มีจิตคิดประทุษร้าย มีจิตคิดฆ่า ทำโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น

           ภิกษุทั้งหลายได้สดับข่าวว่า พระเทวทัตได้ ประกอบการปลงพระชนม์ พระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุเหล่านั้น จงกรมอยู่รอบๆ วิหารของพระผู้มี พระภาค ทำการ สาธยาย มีเสียงสูง เสียงดัง เพื่อรักษาคุ้มครองป้องกันพระผู้มีพระภาค พระผู้มี พระภาคทรงสดับเสียง สาธยาย มีเสียงเซงแซ่ แล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

           ดูกรอานนท์ นั่นเสียง สาธยาย มีเสียงเซงแซ่ อะไรกัน

          ท่านอานนท์ทูลตอบว่า พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายได้สดับข่าวว่า พระเทวทัต ได้ประกอบการปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ก็ภิกษุเหล่านั้นจงกรม อยู่รอบ รอบวิหาร ของพระผู้มีพระภาคทำการสาธยายมีเสียงเซงแซ่ เพื่อรักษา คุ้มครอง ป้องกันพระผู้มีพระภาค

           เสียงนั้นนั่นเป็นเสียงสาธยาย มีเสียงเซงแซ่พระพุทธเจ้าข้าพระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้ากระนั้น เธอจงเรียกภิกษุทั้งหลาย เหล่านั้นมาตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย

           ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธพจน์ แล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น แจ้งให้ทราบว่า พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย

           ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระอานนท์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่ง ณที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มี พระภาครับสั่งว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความ พยายามของ ผู้อื่นนั่น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสเพราะพระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่ปรินิพพาน ด้วย ความพยายามของผู้อื่น (ไม่มีใครทำอันตรายพระองค์จนทำให้เสียชีวิตได้)


เรื่องปล่อยช้างนาฬาคิรี (ครั้งที่๓)

           [๓๗๗] สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ มีช้างชื่อนาฬาคิรี เป็นสัตว์ดุร้าย ฆ่ามนุษย์ ครั้งนั้น พระเทวทัตเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์แล้วไปยังโรงช้าง ได้กล่าวกะพวกควาญช้าง ว่า พนาย เราเป็นพระราชญาติ สามารถจะแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในตำแหน่ง ต่ำไว้ในตำแหน่ง สูงได้ สามารถจะเพิ่มได้ทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือน พนาย ถ้า กระนั้นเวลาใด พระสมณโคดม ทรงพระดำเนินมาตรอกนี้เวลานั้น พวกท่านจง ปล่อยช้างนาฬาคิรี เข้าไปยังตรอกนี้ ควาญช้างเหล่านั้นรับคำพระเทวทัตแล้ว

           ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตร จีวร เสด็จเข้าไป ยัง กรุงราชคฤห์พร้อมกับภิกษุมากรูป ทรงพระดำเนินถึงตรอกนั้น ควาญช้าง เหล่านั้น ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคทรงพระดำเนินถึงตรอกนั้น จึงปล่อยช้างนาฬา คิรีให้ไปยัง ตรอกนั้น

           ช้างนาฬาคิรีได้แลเห็นพระผู้มีพระภาค ทรงพระดำเนินมา แต่ไกลเทียว แล้วได้ชูงวง หูชันหางชี้ วิ่งรี่ไปทางพระผู้มีพระภาค ภิกษุเหล่านั้นได้แลเห็นช้าง นาฬาคิรี วิ่งมาแต่ไกลเทียว แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ช้างนาฬาคิรี นี้ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์ เดินเข้ามายังตรอกนี้แล้ว ขอพระผู้มีพระภาค จงเสด็จ กลับเถิด ขอพระสุคตจงเสด็จกลับเถิดพระพุทธเจ้าข้า

           พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย เธออย่ากลัวเลย ข้อที่ บุคคล จะปลง ชีวิต ตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่นนั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเพราะ พระตถาคต ทั้งหลาย ย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น

           แม้ครั้งที่สอง ภิกษุเหล่านั้น ...

           แม้ครั้งที่สาม ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า   ช้างนาฬาคิรีนี้ ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์ เดินเข้ามายังตรอกนี้แล้ว ขอพระผู้มี   พระภาค จงเสด็จกลับเถิดขอพระสุคตจงเสด็จกลับเถิด พระพุทธเจ้าข้า

           พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย อย่ากลัวเลย ข้อที่บุคคล  จะปลงชีวิต ตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส เพราะ พระตถาคต ทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น ฯ

           [๓๗๘] คราวนั้น คนทั้งหลาย หนีขึ้นไปอยู่บนปราสาทบ้าง บนเรือน โล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง บรรดาคนเหล่านั้น พวกที่ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใส ไร้ปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่าชาวเราผู้เจริญ พระมหาสมณโคดมพระรูปงาม จักถูกช้างเบียดเบียน

ส่วนพวกที่มีศรัทธาเลื่อมใสฉลาด มีปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเราผู้เจริญ ไม่นานเท่าไรนัก พระพุทธนาคจักทรงทำสงครามกับช้าง

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปสู่ช้างนาฬาคิรี

ลำดับนั้น ช้างนาฬาคิรีได้สัมผัสพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลดงวงลงแล้ว เข้าไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาค

ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคิรี พลางตรัสกะ ช้างนาฬาคิรี ด้วยพระคาถา ว่าดังนี้:

           [๓๗๙] ดูกรกุญชร เจ้าอย่าเข้าไปหาพระพุทธนาค เพราะการเข้าไปหา พระ พุทธนาค ด้วยวธกะจิตเป็นเหตุแห่งทุกข์ ผู้ฆ่าพระพุทธนาคจากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า ไม่มีสุคติเลย เจ้าอย่าเมา และอย่าประมาท เพราะคนเหล่านั้น เป็นผู้ประมาทแล้ว จะไปสู่สุคติไม่ได้ เจ้านี่แหละ จักทำโดยประการที่จักไปสู่สุคติได้ ฯ

           [๓๘๐] ลำดับนั้น ช้างนาฬาคิรีเอางวงลูบละอองธุลีพระบาท ของพระผู้มี พระภาคแล้ว พ่นลงบนกระหม่อม ย่อตัวถอยออกไปชั่วระยะที่แลเห็นพระผู้มีพระภาค ไปสู่โรงช้างแล้ว ได้ยืนอยู่ณ ที่ของตน ก็แล ช้างนาฬาคิรีเป็นสัตว์อันพระพุทธนาค ทรงทรมาน แล้ว ด้วยประการ นั้น ฯ

           [๓๘๑] สมัยนั้น คนทั้งหลายขับร้องคาถานี้ ว่าดังนี้ คนพวกหนึ่งย่อมฝึกช้าง และม้า ด้วยใช้ท่อนไม้บ้าง ใช้ขอบ้างใช้แส้บ้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้แสวงพระคุณ ใหญ่ ทรงทรมานช้างโดยมิต้องใช้ท่อนไม้ มิต้องใช้ศัสตรา คนทั้งหลายต่างก็เพ่ง โทษ ติเตียน โพนทะนาว่าพระเทวทัตนี้เป็นคนมีบาป ไม่มีบุญ เพราะพยายามปลง พระชนม์ พระสมณโคดม ผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมาก อย่างนี้ ลาภสักการะ ของพระเทวทัตเสื่อม ส่วนลาภสักการะของ พระผู้มีพระภาคเจริญ ยิ่งขึ้น ฯ

           [๓๘๒] สมัยต่อมา พระเทวทัตเสื่อมลาภสักการะแล้ว พร้อมทั้งบริษัท ได้เที่ยวขอใน สกุลทั้งหลายมาฉัน ประชาชนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงเที่ยวขอในสกุลทั้งหลาย มาฉันเล่า ของที่ปรุง เสร็จแล้วใครจะไม่พอใจของที่ดีใครจะไม่ชอบใจ

           ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ พวกที่ เป็นผู้ มักน้อย... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระเทวทัตพร้อม กับบริษัท จึงเที่ยวขอ ในสกุลทั้งหลายมาฉันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ตรัสถามว่า ดูกรเทวทัต ข่าวว่าเธอพร้อมกับบริษัทเที่ยวขอ ในสกุล ทั้งหลายมาฉัน จริงหรือ

พระเทวทัตทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ...

           ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะ ภิกษุทั้งหลาย ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น แล เราจักบัญญัติโภชนะสำหรับ ๓ คนในสกุลแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๓ ประการ คือ
     เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑
     เพื่ออยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีล เป็นที่ รัก ๑
     เพื่ออนุเคราะห์สกุลด้วย หวังว่าภิกษุทั้งหลายที่มีความปรารถนาลามก อย่าอาศัย ฝักฝ่ายทำลายสงฆ์ ๑

ในการฉันเป็นหมู่ พึงปรับอาบัติตามธรรม ฯ

Next 8   

 


 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์