เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  พระเทวทัต (ตอนที่ ๑๐) เหตุที่เทวทัตไปเกิดในอบาย เพราะไม่เห็นธรรมขาว แม้ปลายขนทราย 994
 
  เรื่องพระเทวทัต
  (ความย่อ

อุทกสูตร (เครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของสัตว์)

(แบบ 1) พวกไม่เสื่อม
(อดีต) กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา กุศลธรรมของบุคคลนี้แลหายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่กุศลมูล ที่บุคคลนั้นยังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอย่างอื่นของเขาจักปรากฏ
(ผล) บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเมล็ดพืชดีเก็บไว้ดีแล้ว และ ปลูก ณ ที่ดินอันพรวนดีแล้วในที่นาดี เมล็ดพืชเหล่านี้จักถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์

(แบบ 2) พวกเสื่อม
(อดีต) กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่อกุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้น อกุศลอื่นของเขาจักปรากฏ
(ผล) บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเมล็ดพืชดีเก็บไว้ดีแล้ว และ ปลูก ณ ที่ศิลาแท่งทึบ เมล็ดพืชเหล่านี้ จักไม่ ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

(แบบ 3) พวกไปนรก
(อดีต) กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้เท่าน้ำที่สลัดออกจากปรายขนทราย ไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วย อกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย-นรก เปรียบเหมือนเมล็ดพืช ดี ปลูก ณ ที่ดินซึ่งพรวนดีแล้วในนาดี เมล็ดพืชนี้ จักไม่ถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ ฯ


(ตรัสแยกไปอีก 3 ประเภท)

(แบบ 4) พวกไม่เสื่อม
(อดีต) กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า(กรรมดำปัจจุบัน)
แต่กุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
(ผล) บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว ลุกโพลง สว่างไสว อันบุคคล เก็บไว้บนศิลาทึบ ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ... เปรียบเหมือน เมื่อพระอาทิตย์ตกไปในเวลาเย็น แสงสว่างจักหายไป ความมืดจักปรากฏ

(แบบ 5) พวกเสื่อม
(อดีต) กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่กุศลมูล ที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความถอนขึ้น โดยประการทั้งปวง
(ผล) บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือน ถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว ลุกโพลง สว่างไสวอันบุคคล เก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง ถ่านไฟเหล่านี้จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ หรือ เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาในเวลารุ่งอรุณ ความมืดจักหายไป แสงสว่างจักปรากฏ

(แบบ 6)
(อดีต) กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้เท่าน้ำที่สลัดออก จากปลายขนทราย ไม่มี บุคคลนี้ประกอบ ด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาว อย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว เปรียบเหมือนถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว อันบุคคลเก็บไว้ บน กองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ (ข้อสังเกตุ อรหันต์ก็ยังมีอกุศลหรือธรรมดำ แต่ปัจจุบัน ไม่สร้างอกุศล แม้ปลายขนทราย ชีวิตในปัจจุบันจึงมีแต่สร้างธรรมขาว)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(สรุปบุคคลทั้ง 6 จำพวก)


ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนั้น
บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น
     คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
     คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อม เป็นธรรมดา
     คนหนึ่งเป็นผู้เกิด ในอบาย ตกนรก

บุคคล ๓ จำพวกข้างหลัง
     คนหนึ่งเป็นผู้ ไม่เสื่อม เป็นธรรมดา
     คนหนึ่งเป็นผู้ เสื่อม เป็นธรรมดา
     คนหนึ่งเป็นผู้ จะปรินิพพานเป็นธรรมดา

   เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
   การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
   การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
   แสวงหาสัจจะ บำเพ็ญทุกรกิริยา
   ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
   ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
   ปลงสังขาร ปรินิพพาน
   ลำดับขั้นการปรินิพพาน
   เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
   แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 


เรื่องพระเทวทัต ชุดที่ 10

ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต หน้าที่ ๓๕๙


อุทกสูตร (เครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของบุคคล ๖ จำพวก)


          [๓๓๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท  พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของชาวโกศลชื่อ ทัณฑกัปปกะ ครั้งนั้นพระผู้มี พระภาค ได้ทรงแวะลงจากหนทาง ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นได้พากันเข้าไปสู่นิคมชื่อ ทัณฑกัปปกะ เพื่อแสวงหาที่พัก ครั้งนั้นท่านพระอานนท์พร้อมด้วยภิกษุหลายรูป ได้ไปที่แม่น้ำ อจิรวดีเพื่อสรงน้ำ ครั้นสรงน้ำในแม่น้ำอจิรวดี เสร็จแล้ว ก็ขึ้นมานุ่งอันตรวาสก ผืนเดียวยืนผึ่งตัวอยู่

ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วถามว่า

     ดูกรอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้เหตุทั้งปวง ด้วยพระหฤทัยแล้ว หรือ หนอ จึงพยากรณ์ พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบายตกนรก ตั้งอยู่ ตลอด กัป เยียวยาไม่ได้ หรือว่าพระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้โดยปริยายบางประการ เท่านั้น จึงได้ทรงพยากรณ์ พระเทวทัต ดังนี้

     ท่านพระอานนท์ตอบว่า ดูกรอาวุโส ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ อย่างนั้น แล ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

     ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ กับ ภิกษุหลายรูป ได้ไปยังแม่น้ำอจิรวดีเพื่อสรงน้ำ ครั้นสรงเสร็จแล้ว ก็ขึ้นมานุ่ง อันตรวาสก ผืนเดียวยืนผึ่งตัวอยู่ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปหาข้าพระองค์ แล้วถามว่า

     ดูกรอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้เหตุทั้งปวง ด้วยพระหฤทัย แล้วหรือ หนอ จึงได้ทรงพยากรณ์พระเทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรกตั้งอยู่ ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ หรือว่าพระผู้มีพระภาคทรงกำหนดรู้โดยปริยาย บางประการ เท่านั้น จึงได้ทรงพยากรณ์พระเทวทัตดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ ได้กล่าว กับภิกษุนั้นว่า ดูกรอาวุโส ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคได้ทรงพยากรณ์ อย่าง นั้นแล ฯ

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุรูปนั้นจักเป็นภิกษุใหม่  บวชไม่นาน หรือว่า เป็นภิกษุเถระ แต่เป็นคนโง่เขลา ไม่ฉลาด เพราะว่าข้อที่เรา พยากรณ์แล้ว โดยส่วนเดียว จักเป็นสองได้อย่างไร

-----------------------------------------------------------------------


(ญาณ เครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของสัตว์)

     ดูกรอานนท์ เราย่อมไม่พิจารณาเห็นบุคคลอื่นแม้คนหนึ่งที่เราได้ กำหนดรู้เหตุ ทั้งปวง ด้วยใจแล้วพยากรณ์อย่างนี้ เหมือนพระเทวทัตเลย ก็เราได้เห็นธรรมขาว ของพระเทวทัต (ส่วนดี) แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทราย เพียงใด เราก็ยังไม่พยากรณ์พระเทวทัตเพียงนั้นว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัปเยียวยาไม่ได้ แต่ว่าเมื่อใด เราไม่ได้เห็นธรรมขาว ของ พระเทวทัต แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัด ออกจากปลายขนทราย เมื่อนั้นเรา จึงได้ พยากรณ์พระเทวทัต นั้นว่าพระเทวทัต จะต้องเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอด กัป เยียวยาไม่ได้

     ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนหลุมคูถเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ลึกชั่วบุรุษ เต็มด้วยคูถเสมอ ขอบปากหลุม บุรุษพึงตกลงไปที่หลุมคูถนั้นจมมิดศีรษะ บุรุษบางคนผู้ใคร่ประโยชน์ ใคร่ความเกื้อกูล ปรารถนาความเกษมจากการตกหลุมคูถของบุรุษนั้น ใคร่จะยกเขาขึ้น จากหลุมคูถนั้น พึงมา เขาเดินรอบหลุมคูถนั้นอยู่ ก็ไม่พึงเห็นอวัยวะที่ไม่เปื้อนคูถ ซึ่งพอจะจับเขายกขึ้นมาได้  แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทราย ของบุรุษนั้น ฉันใด เราก็ไม่ได้เห็นธรรมขาวของพระเทวทัต แม้ประมาณเท่าน้ำ ที่สลัดออก จากปลายขนทราย ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อนั้น เราจึงได้พยากรณ์พระ เทวทัตว่า พระเทวทัตจะต้องเกิดในอบายตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้ ถ้าว่าเธอทั้งหลาย จะพึงฟังตถาคตจำแนกญาณเครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของบุรุษไซร้ ฯ

-----------------------------------------------------------------------


     อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้เป็นกาลควร ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลควร ที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงจำแนก ญาณเครื่องกำหนดรู้อินทรีย์ของบุรุษ ภิกษุทั้งหลาย ได้สดับจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ

      พ.  ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระอานนท์ ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

(เครื่องกำหนดรู้ อินทรีย์ของสัตว์)


(แบบ 1) พวกไม่เสื่อม
     ดูกรอานนท์เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมาเรากำหนดรู้ใจบุคคลนี้ ด้วยใจอย่างนี้ ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้แลหายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า กุศลมูลที่บุคคลนั้นยังตัดไม่ขาดมีอยู่เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอย่างอื่นของเขา จักปรากฏ(ปรากฏเนื่องจากกุศลมูลนั้นมีอยู่) ด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่ เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนเมล็ด พืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลมและ แดดเผา เกิดในต้นฤดูหนาว เก็บไว้ดีแล้วอันบุคคล ปลูก ณ ที่ดินอันพรวนดีแล้วใน ที่นาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชเหล่านี้จักถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
     อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
(สรุปแบบ1) พวกไม่เสื่อม
     พ.ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้อยู่มี สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะกุศลมูลนั้น กุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการฉะนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจ แม้อย่างนี้ กำหนดญาณเป็นเครื่อง ทราบ อินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไป ด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
-----------------------------------------------------------------------

(แบบ 2) พวกเสื่อม
     ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ ว่าอกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ (อกุศลก้อนใหญ่)เพราะอกุศลมูลนั้น อกุศล อื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไป เป็น ธรรมดา เปรียบเหมือน เมล็ดพืชที่ไม่หัก ไม่เน่า ไม่ถูกลมและแดดเผา เกิดใน ต้นฤดูหนาวเก็บไว้ดีแล้ว อันบุคคลปลูก ณ ที่ศิลาแท่งทึบ(เปรียบเหมือนก้อนอกุศล) เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืช เหล่านี้ จักไม่ถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
     อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
(สรุปแบบ2) พวกเสื่อม
      พ.ดูกรอานนท์เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคล นั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ เพราะอกุศลมูลนั้นอกุศลอื่นของเขาจักปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจ กำหนดรู้ญาณ เป็นเครื่องทราบอินทรีย์ ของบุรุษ กำหนดรู้ธรรม ที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
-----------------------------------------------------------------------

(แบบ 3) พวกไปนรก
     ดูกรอานนท์ อนึ่งเราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปราย ขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่หักเน่า ถูกลมและแดด แผดเผา อันบุคคลปลูก ณ ที่ดินซึ่งพรวนดีแล้วในนาดี เธอพึงทราบไหมว่า เมล็ดพืชนี้ จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
     อา. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
(สรุปแบบ3)
     พ.ดูกรอานนท์เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ อย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนด รู้ใจบุคคล นั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า ธรรมขาวของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออ จากปราย ขนทราย ไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำอย่างเดียว เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนด รู้ใจบุคคลด้วยใจ กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ ของบุรุษ กำหนดรู้ธรรมที่ อาศัย กันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
......................................................................................................................................

(ตรัสแยกไปอีก3ประเภท)

     เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญพระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติบุคคล ๓ จำพวกนี้ออกเป็นส่วนละ ๓ อีกหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สามารถ

(แบบ 4)
พวกเสื่อม
     อานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขา ยังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง(หายไปหมด) ด้วยประการ อย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนถ่าน ไฟที่ไฟติด ทั่วแล้วลุกโพลงสว่างไสว อันบุคคลเก็บไว้บนศิลาทึบ(มอด) เธอพึง ทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
(เปรียบเหมือนเทวทัต ได้คุณวิเศษ มีฤทธิ์ แล้ว หลง ลาภ ปัจจัย แล้วหยุดเลิกในระหว่าง)

     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์ตกไปในเวลาเย็น เธอพึง ทราบไหมว่า แสงสว่างจักหายไป ความมืดจักปรากฏ ฯ อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหารของราชสกูล ในเวลาเที่ยงคืน เธอพึงทราบไหมว่า แสงสว่างหายไปหมดแล้ว ความมืดได้ปรากฏ แล้ว ฯ อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
(สรุปแบบที่4)
     พ.  ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ กุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบ อินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
-----------------------------------------------------------------------

(แบบ 5) พวกไม่เสื่อม
     ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า(หยุดอกุศล เดินกุศลอย่างเดียว) แต่ อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้น ก็ถึงความเพิก ถอนขึ้น โดยประการ ทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักไม่เสื่อ มต่อไปเป็นธรรมดาเปรียบเหมือน ถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว ลุกโพลงสว่างไสวอัน บุคคลเก็บไว้ บน กองหญ้าแห้ง หรือบน กองไม้แห้ง เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟ เหล่านี้ จักถึงความ เจริญ งอกงามไพบูลย์
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ.  ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาในเวลารุ่งอรุณ เธอพึงทราบไหมว่า ความมืดจักหายไป แสงสว่างจักปรากฏ ฯ
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
     พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหาร ของราชสกูล ในเวลาเที่ยงวัน เธอพึงทราบไหมว่าความมืดหายไปหมดแล้ว แสงสว่างได้ปรากฏ แล้ว ฯ
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
(สรุปแบบ 5)
     พ.  ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่ อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้น โดย ประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้ บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณ เป็นเครื่อง ทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรม ที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
......................................................................................................................................

(แบบ 6) พวกไปนิพพาน
     ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจ บุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออก จากปลายขนทราย ไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาว อย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว เปรียบเหมือนถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟ เหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
     อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
(สรุปแบบ 6)
     พ.  ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้น ด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจาก ปลาย ขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่าง เดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน
(เป็นข้อพิสูจน์ว่า แม้อรหันต์ก้ยังมีอกุศลธรรม แต่สร้างธรรมขาวมาตลอด)

ดูกรอานนท์ตถาคตกำหนด รู้ใจ บุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่อง ทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจ แม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้
......................................................................................................................................

(สรุปบุคคลทั้ง 6 จำพวก)

ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนั้น
บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น

    คนหนึ่งเป็น ผู้ไม่เสื่อม เป็นธรรมดา
    คนหนึ่งเป็น ผู้เสื่อม เป็นธรรมดา
    คนหนึ่งเป็น ผู้เกิด ในอบาย ตกนรก ในบุคคล ๖ จำพวกนั้น

บุคคล ๓ จำพวกข้างหลัง
    คนหนึ่งเป็น ผู้ไม่เสื่อม เป็นธรรมดา
    คนหนึ่งเป็น ผู้เสื่อม เป็นธรรมดา
    คนหนึ่งเป็น ผู้จะปรินิพพาน เป็นธรรมดา

Next 11   

 

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์