พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑-๕๙
๑. มหาปทานสูตร (๑๔)
24) เสด็จอุทยาน
|
เรื่องการเสด็จอุทยาน ในพระไตรปิฎก จะกล่าวถึงพุทธประวัติของพุทธเจ้าวิปัสสี
ตามที่พระพุทธเจ้าโคดมทรงเล่าย้อนอดีตให้กับภิกษุท.ฟัง แต่ไม่ได้ทรงเล่าเรื่องราวของ พระองค์เอง
เนื่องจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องเวียนมาพบเหตุการณ์ ที่ซ้ำรอยเดิม เหมือนๆกัน.. ผู้ที่ศึกษาพุทธประวัติอาจไม่ทราบ่ว เรื่องราวเสด็จอุทยานนั้น เป็นเรื่องราว ของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ไม่ใช่เรื่องราวในอดีตของพระโคดม (เจ้าชายสิทธัตถะ) |
25) ทอดพระเนตรเห็นคนแก่
[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย เธอจงเทียมยาน ที่ดีๆ เราจะไปสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสด ภิกษุทั้งหลายนายสารถีรับรับสั่ง ของพระ วิปัสสีราชกุมารแล้ว เทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว จึงกราบทูลแด่พระวิปัสสีราชกุมารว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ได้เทียมยาน ที่ดีๆเสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ทรงกำหนดเวลา อันสมควรเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานอันดี เสด็จประพาส พระอุทยาน พร้อมกับยานที่ดีๆ ทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จ ประพาส พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรชายชรา มีซี่โครงคด เหมือนกลอน หลังงอ ถือไม้เท้า เดินงกๆ เงิ่นๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่ง ถามนายสารถีว่า
นายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ผมของเขา ก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ร่างกายของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนชรา ฯ
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา บัดนี้ เขาจักพึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ฯ
นายสารถี ถึงตัวเราก็จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้หรือ ฯ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ฯ
นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาค แห่งสวนเธอจงนำเรา กลับภายในบุรีจากสวนนี้เถิด ฯ
นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปยังภายในบุรีจาก พระอุทยานนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรง เป็นทุกข์เศร้า พระทัยทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิด มาแล้ว
26) พระเจ้าพันธุมาตรัสถามนายสารถี ว่าราชกุมารมีความรู้สึกอย่างไร
[๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา รับสั่งหานายสารถีมาตรัสถามว่า นายสารถี ผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ ในภูมิภาคแห่งสวนแล หรือนายสารถีผู้สหาย ราชกุมารพอพระทัย ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมาร มิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาค แห่งพระอุทยานขอเดชะ พระราชกุมาร มิได้ ทรงพอพระทัยในภูมิภาค แห่งพระอุทยาน ดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า ดูกรนายสารถี ผู้สหาย ก็ราชกุมารขณ ะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้ ทอดพระเนตร อะไรเข้า
นายสารถีได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตร ชายชรา มีซี่โครงคดเหมือนกลอน หลังงอ ถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น
ครั้นได้ทอดพระเนตรแล้ว ได้มีรับสั่งถาม ข้าพระพุทธเจ้าว่า
นายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ผมของเขา ก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ร่างกาย ของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ เมื่อ ข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แล เรียกว่า คนชรา พระองค์ได้ตรัสถามย้ำว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนชรา เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนชรา บัดนี้เขาจักพึง มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้หรือ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะพระองค์ และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่ จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปภายในบุรีจากสวนนี้ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่งของ พระวิปัสสีราชกุมาร แล้วได้นำเสด็จกลับไปภายในบุรีจาก พระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา ทรงพระดำริว่า วิปัสสีราชกุมาร อย่าไม่เสวยราชย์ เสียเลย วิปัสสีราชกุมาร อย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำ ของเนมิตตพราหมณ์ อย่าพึง เป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา รับสั่งให้บำรุงบำเรอพระวิปัสสีราชกุมาร ด้วย กามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสีราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้ พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต โดยอาการ ที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์ เป็นผิด ภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสี ราชกุมาร เพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับการบำรุงบำเรออยู่
27) ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บ
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี พระวิปัสสีราชกุมาร ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตร คนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตร และ กรีส ของตน คนอื่นๆ ต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน ครั้นทอดพระเนตร แล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายนี้ ถูกใครทำอะไรให้ แม้ตา ทั้งสอง ของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ศีรษะของเขาก็ไม่เหมือน ของคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนเจ็บ
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ ไฉนเล่าเขาจะพึงหายจากความเจ็บนั้นได้
นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนจะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความเจ็บไปได้
นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไป ยังภายในบุรีจากสวนนี้เถิด นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้วได้นำเสด็จ กลับไปยังภายในบุรี จาก พระอุทยาน นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรง เป็นทุกข์เศร้า พระทัย ทรงพระดำริว่าผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่าขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะ ธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จัก ปรากฏ ความเจ็บจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
28) พระเจ้าพันธุมาตรัสถามนายสารถี ว่าราชกุมารมีความรู้สึกอย่างไร
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งหานายสารถีมาตรัสถาม ว่า นายสารถี ผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวนแล หรือนายสารถีผู้สหาย ราชกุมารพอพระทัย ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาค แห่งพระอุทยานขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ ทรงพอพระทัยในภูมิภาค แห่งพระอุทยานดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวน ได้ทอดพระเนตร อะไรเข้า
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตร คนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตรและกรีส ของตน บุคคลอื่นๆ ต้องช่วยพยุง ให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน ครั้นทอดพระเนตรแล้ว ได้รับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถี ผู้สหาย ชายคนนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ตา ทั้งสองของเขา ก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ศีรษะ ของเขาก็ไม่เหมือน ของคนอื่นๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ
พระองค์ได้ตรัสถาม ย้ำว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนเจ็บ เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ ไฉนเล่าเขาจะพึงหายจากความเจ็บนั้นได้ พระราชกุมาร ได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย แม้ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็น ธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความเจ็บ ไปได้หรือ แต่พอข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่ จะต้องมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความเจ็บป่วยไปได้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้ว สำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปยังภายในบุรี จากสวนนี้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไป ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์ เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่าผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่าเมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จัก ปรากฏ ความเจ็บป่วย จักปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาทรงพระดำริว่า วิปัสสีราชกุมาร อย่าไม่ เสวยราช เสียเลย วิปัสสีราชกุมาร อย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำของเนมิตต พราหมณ์ อย่าพึงเป็น ความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งให้บำรุงบำเรอ พระวิปัสสีราชกุมาร ด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสีราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้ พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต โดยอาการ ที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์ เป็นผิด ภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมาร เพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับการบำรุงบำเรออยู่ ฯลฯ
29) ทอดพระเนตรเห็นคนตาย
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตร หมู่มหาชนประชุมกัน และวอที่ทำด้วยผ้าสีต่างๆ ครั้นทอดพระเนตร แล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหาชน เขาประชุมกันทำไม และเขาทำวอด้วยผ้าสีต่างๆ กันทำไม นายสารถี ได้กราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนตาย
พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสสั่งว่า นายสารถีถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทาง คนตายนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถี รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้ขับรถไปทาง คนตายนั้น ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ทอดพระเนตรคนตายไปแล้ว ได้ตรัสเรียกนายสารถีมา รับสั่งถามว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนตาย
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดาหรือญาติ สาโลหิต อื่นๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จักไม่เห็นมารดาบิดาหรือญาติสาโลหิตอื่นๆ
นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไป ได้หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเราหรือ แม้เราก็จักไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ หรือ
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความตาย ไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ ก็จะไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปภายในบุรีจากสวนนี้เถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไป ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมาร เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้า พระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บจักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
30) พระเจ้าพันธุมาตรัสถามนายสารถี ว่าราชกุมารมีความรู้สึกอย่างไร
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา รับสั่งหานายสารถีมาตรัสถามว่า นายสารถี ผู้สหาย ราชกุมารได้ทรงอภิรมย์ ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี ผู้สหาย ราชกุมาร พอพระทัย ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือนายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ ทรง อภิรมย์ ในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาค แห่ง พระอุทยานดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวน ได้ทอดพระเนตรอะไรเข้า
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะ เมื่อเสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตร หมู่มหาชนประชุมกัน และวอที่ทำด้วยผ้าสีต่างๆ แล้วได้ตรัสถาม ข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถี ผู้สหาย หมู่มหาชนประชุมกันทำไม เขากระทำวอ ด้วยผ้าสีต่างๆ กันทำไม เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า นี้แลเรียกว่าคนตาย พระองค์ได้ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถ ไปทางคนตายนั้น
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับ รับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้ขับรถไปทางคนตาย นั้น ขอเดชะ พระราชกุมารได้ทอดพระเนตรคนตายเข้าแล้ว ได้ตรัสถาม ข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่าคนตาย เมื่อข้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดาและญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขา ก็จักไม่เห็นมารดาบิดา หรือญาติสาโลหิตอื่นๆ ดังนี้ พระองค์ได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตาย ไปได้หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็นเราหรือ แม้เราก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือ พระญาติสาโลหิตอื่นๆ หรือเมื่อ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า
ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความตาย ไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่นๆ จักไม่เห็น พระองค์ แม้พระองค์ก็จัก ไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดินพระเทวี หรือพระญาติ สาโลหิตอื่นๆ ดังนี้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถี ผู้สหายถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้ว สำหรับภูมิภาค แห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปในบุรีจากสวนนี้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไป ภายในบุรี จากพระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารนั้น เสด็จถึงภายในบุรีแล้ว ทรงเป็น ทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิด เป็นของน่ารังเกียจ เพราะเมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บ จักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาทรงพระดำริว่า วิปัสสีราชกุมารอย่าไม่พึง เสวยราชย์เลย วิปัสสีราชกุมาร อย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย ถ้อยคำของเนมิตต พราหมณ์ ทั้งหลาย อย่าเป็นความจริงเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมา ได้รับสั่งให้บำรุงบำเรอพระวิปัสสี ราชกุมาร ด้วย กามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสีราชกุมาร เสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้ พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตต พราหมณ์ เป็นผิด ภิกษุทั้งหลายได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับการบำรุง บำเรออยู่
31) ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิต
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย เธอจงเทียมยาน ที่ดีๆ เราจะไปในสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสดภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของ พระวิปัสสีราชกุมาร แล้วเทียมยานที่ดีๆ เสร็จแล้ว ได้กราบทูลแด่พระวิปัสสี ราชกุมาร ว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า เทียมยาน ที่ดีๆ เสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ทรงกำหนดเวลา อันสมควรเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานที่ดี เสด็จประพาส พระอุทยาน พร้อมกับ ยานที่ดีๆ ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อ เสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรบุรุษบรรพชิตศีรษะโล้น นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร์ ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่ง ถามนายสารถีว่า นายสารถี ผู้สหาย บุรุษนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของเขา ก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ แม้ผ้าทั้งหลายของเขา ก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ
นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าบรรพชิต ฯ
นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า บรรพชิต ฯ
ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า บรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติสม่ำเสมอ เป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียน เป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
นายสารถีผู้สหาย ดีละ ที่บุคคลนั้นได้นามว่า บรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญ เป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางบรรพชิตนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ขับรถไปทาง บรรพชิตนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสถามบรรพชิตนั้นว่า สหาย ท่านถูกใคร ทำอะไรให้ แม้ศีรษะของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ แม้ผ้าทั้งหลาย ของท่านก็ไม่เหมือน ของ คนอื่นๆ
บรรพชิตนั้นได้ทูลว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพแลชื่อบรรพชิต สหาย ก็ท่านหรือชื่อ บรรพชิต
ขอถวายพระพร อาตมภาพชื่อบรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติ สม่ำเสมอ เป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
ดีละสหาย ที่ท่านได้นามว่าบรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การประพฤติ สม่ำเสมอ เป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็นความดี
32) พระวิปัสสีราชกุมาร รับสั่งให้นายสารถีกลับเข้าเมือง
ส่วนราชกุมารทรงผนวช ณ อุทยานแห่งนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี ผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงนำรถกลับไปภายในบุรีจากสวนนี้ ส่วนเราจัก ปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต ณ สวนนี้แหละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถี รับรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้พารถกลับไป ยังภายในบุรีจากสวนนั้น ส่วนพระวิปัสสีราชกุมาร ได้ทรงปลงพระเกศา และ พระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวช เป็นบรรพชิตแล้ว ณ พระอุทยาน นั้นเอง
33) ทรงปลงพระเกศา หมู่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คนปลงผมตามเสด็จ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนในพระนครพันธุมดีราชธานี ประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้สดับข่าวว่า พระวิปัสสีราชกุมาร ได้ทรงปลงพระเกศา และพระมัสสุทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จออก ทรงผนวชเป็นบรรพชิตเสียแล้ว ดังนี้ ครั้นแล้วมหาชน เหล่านั้น ได้ดำริดังนี้ว่า ก็พระวิปัสสี ราชกุมาร ได้ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวช เป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้นคงไม่เลวทรามเป็นแน่ บรรพชานั้นคง ไม่เลวทราม เป็นแน่ แต่พระ วิปัสสีราชกุมารยังทรงปลง พระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จ ออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตได้ พวกเราทำไมจึงจักบวชไม่ได้เล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้พากันโกนผมและ หนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต ตามเสด็จพระวิปัสสีโพธิสัตว์แล้ว ได้ยินว่า พระวิปัสสีโพธิสัตว์อันบริษัทนั้นห้อมล้อม เสด็จเที่ยวจาริกไปในบ้าน นิคม ชนบท และราชธานี
34) พระวิปัสสีโพธิสัตว์เสด็จหลีกออกจากหมู่ อยู่แต่ผู้เดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์เสด็จหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้ทรง พระปริวิตก เช่นนี้ว่า การที่เราเป็นผู้ปะปนอยู่เช่นนี้ ไม่สมควรเลยไฉนหนอ เราพึง หลีกออก จากหมู่ อยู่แต่ผู้เดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยต่อมา พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้เสด็จหลีกออกจากหมู่ ประทับอยู่ แต่พระองค์เดียว บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป ได้พากันไปทางหนึ่ง พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้เสด็จไปทางหนึ่ง
35) ทรงพระปริวิตกโลกนี้ถึงความยาก ย่อมเกิดแก่ตาย และเวียนตายเวียนเกิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ผู้เสด็จหลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า โลกนี้ถึงความยาก ย่อมเกิด แก่ ตาย และเวียนตาย เวียนเกิด เออก็แหละบุคคลไม่รู้ชัดถึงอุบายเครื่องพ้นทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ การพ้นทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ จักปรากฏได้เมื่อไรเล่า
|
ข้อสังเกตุ
หลังจาก โพธิสัตว์วิปัสสี ออกบวช ก็ไม่มีการทรมานตนเพื่อค้นหาทางออกของการ ดับทุกข์ ต่างกับ โพธิสัตว์โคดม ที่ต้องเผชิญกับความลำบากมากมาย กว่าจะพิจารณา ปฏิจจสายเกิด และสายดับ กระทั่งหลุดพ้นด้วยดีจากการไม่ยึดถือใน อุปาทานขันธ์ ๕ โดยสรุปก็คือ โพธิสัตว์วิปัสสี สำเร็จสัมโพธิญาณ(หลุดพ้น)ได้เร็วกว่า พระโคดม
-พระพุทธเจ้าวิปัสสี อุบัติขึ้นในช่วงเวลาที่มนุษย์มีอายุ 80,000 ปี
-พระพุทธเจ้าโคดม อุบัติขึ้นในช่วงเวลาที่มนุษย์มีอายุ 100 ปี |
36) พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพิจารณาปฏิจจสายเกิด (สมุทัย)
|
(ย่อ)
ทรงดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชราและมรณะจึงมี
ชราและมรณะมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
ทรงตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี
ชราและมรณะมี เพราะชาติเป็นปัจจัย
...ฯลฯ.....
โดยทรงพิจารณาและกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย
ดูกรภิกษุท. จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า
สมุทัยๆ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ |
[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติมีอยู่ ชราและ มรณะ จึงมี
ชราและมรณะ มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ดังนี้
ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง กระทำไว้ใน พระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชาติจึงมี ชาติมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญา ว่า เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติ มีเพราะภพเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสี โพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ภพจึงมี ภพมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออุปาทาน มีอยู่ภพจึงมี ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่ พระวิปัสสี โพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำ ไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานมีเพราะ ตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น แล การตรัสรู้ด้วย ปัญญาว่า เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะเวทนา เป็น ปัจจัย ดังนี้ได้มีแล้ว แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น แล การตรัสรู้ด้วย ปัญญาว่า เมื่อผัสสะมีอยู่เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้ว แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำ ไว้ ในพระทัยโดยอุบายอัน แยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น แล การตรัสรู้ด้วย ปัญญาว่า เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง กระทำไว้ในพระทัย โดย อุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะมี เพราะ นามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้น แลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปมีเพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดย อุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะ นามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย
37) วิญญาณนี้ย่อมกลับ เวียนมาแต่นามรูป หาใช่อย่างอื่นไม่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า วิญญาณนี้ย่อมกลับ เวียนมาแต่นามรูป หาใช่อย่างอื่นไม่ โดยความเป็นไปเพียงเท่านี้ สัตว์โลกพึงเกิด บ้าง พึงแก่บ้าง พึง ตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุปบัติบ้าง ความเป็นไปนั้นคือวิญญาณมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะมีเพราะนามรูป เป็นปัจจัย ผัสสะมีเพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ตัณหามี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย อุปาทานมีเพราะ ตัณหาเป็นปัจจัย ภพมีเพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ชรามรณะโสกปริเทว ทุกขโทมนัสและอุปายาส ย่อมมีพร้อม เพราะชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วย ประการฉะนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า สมุทัยๆ (เหตุเกิดขึ้นพร้อมๆ) ดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมทั้งหลาย ที่พระองค์มิได้สดับมาแล้ว ในกาลก่อนเลย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
38) พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพิจารณาปฏิจจสายดับ (นิโรธ)
|
(ย่อ)
ทรงพระดำริว่า
เมื่ออะไร ไม่มีเล่าหนอ ชราและมรณะจึงไม่มี
เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ
การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะย่อมไม่มี
เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ
...ฯลฯ
ดูกรภิกษุท. จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า
นิโรธๆ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีโพธิสัตว์ |
[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไร ไม่มีเล่าหนอ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะย่อมไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ ในพระทัย โดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ด้วยปัญญา ว่า เมื่อภพไม่มีชาติย่อมไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสี โพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับดังนี้ ได้มีแล้วแก่ พระวิปัสสี โพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ อุปาทานจึงไม่มี เพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ด้วย ปัญญาว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้ว แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดั ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วย ปัญญาว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล การตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย อันแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลการตรัสรู้ ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย โดยอุบาย อันแยบคาย
39) ทรงพิจารณาปฏิจจสายดับ
หนทางเพื่อความตรัสรู้นี้ เราได้บรรลุแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า หนทางเพื่อความ ตรัสรู้นี้ เราได้บรรลุแล้วแล คือเพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับเพราะตัณหาดับ อุปาทาน จึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส จึงดับโดยไม่เหลือ ความดับแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้
40) ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัดแสงสว่างว่านิโรธๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า นิโรธๆ (ความดับๆ) ดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมทั้งหลายที่พระองค์ มิได้สดับ มาแล้ว ในกาลก่อนเลย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
41) ทรงตรัสรู้เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยอื่น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ทรงพิจารณาเห็นความ เกิดขึ้น และความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า ดังนี้รูป ดังนี้เหตุเกิดแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป ดังนี้เวทนา ดังนี้เหตุเกิดแห่งเวทนา ดังนี้ความดับแห่งเวทนา ดังนี้สัญญา ดังนี้เหตุเกิดแห่งสัญญา ดังนี้ความดับแห่งสัญญา ดังนี้สังขาร ดังนี้เหตุ เกิดแห่งสังขาร ดังนี้ความดับแห่งสังขาร ดังนี้วิญญาณ ดังนี้เหตุเกิดแห่ง วิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ
เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ไม่นานนัก จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นแล
จบภาณวารที่สอง
42) ธรรมที่เราบรรลุแล้ว เป็นธรรมที่ลึกซึ้งเห็นตามได้ยาก รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า ไฉนหนอเราพึงแสดงธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรง พระดำริว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรม ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็อันหมู่สัตว์ผู้มีอาลัย เป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะนี้ คือ ปัจจัยแห่ง สภาวธรรม อันเป็นที่อาศัยกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปบาท) ยากที่จะเห็นได้ ซึ่งฐานะแม้นี้คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คลายความกำหนัด ดับทุกข์ ก็และเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์ เหล่าอื่น ไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา นั้นพึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความ เดือดร้อนแก่เรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า คาถาทั้งหลายที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งพระองค์มิได้เคย สดับ มาแล้ว แต่ก่อน ได้แจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ดังนี้ บัดนี้ ไม่ควรเลย ที่จะประกาศธรรม ที่เราได้บรรลุแล้วโดย แสนยาก ธรรมนี้อันสัตว์ ที่ถูกราคะ และ โทสะ ครอบงำแล้ว ไม่ตรัสรู้ได้โดยง่าย สัตว์ที่ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองแห่งความมืดหุ้มห่อไว้แล้ว จักเห็นไม่ได้ซึ่งธรรม ที่มีปรกติ ไปทวนกระแสอันละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู
43) ทรงขวนขวายน้อย(ไม่คิดแสดงธรรม) มิได้มีจิตน้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรม
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี พิจารณาเห็นดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย มิได้น้อมไป เพื่อจะทรงแสดงธรรม
[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ได้ทราบพระปริวิตก ในพระทัย ของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีด้วยใจ แล้วจึงดำริว่า ผู้เจริญ ทั้งหลาย โลกจะฉิบหายเสียละหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย โลก จะพินาศเสียละหนอ เพราะว่า พระทัยของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย เสียแล้ว มิได้น้อมไปเพื่อจะทรง แสดงธรรม
44) ท้าวมหาพรหมทราบความปริวิตก จึงขอร้องให้แสดงธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมนั้นหายไปในพรหมโลก มาปรากฏ เฉพาะ พระพักตร์ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เหมือน บุรุษที่มีกำลัง เหยียดออก ซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่ได้เหยียด ออกไว้ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมกระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกชาณุมณฑล เบื้องขวา ลงบนแผ่นดินประนมมือไปทางที่พระผู้มีพระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ประทับอยู่แล้ว ได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี พระภาค จงทรงแสดงธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระสุคตจงทรงแสดง ธรรม ในโลกนี้สัตว์ที่มีกิเลส เพียงดัง ธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมี
|