เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 พรหมายุสูตร พรหมายุพราหมณ์ ต้องการเห็นพระคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ตามมหาปุริสลักษณะ ๓๒ 1375
 

(โดยย่อ)

พรหมายุสูตร
พราหมณ์ชื่อ พรหมายุ เป็นคนแก่เฒ่า มีอายุ ๑๒๐ ปี จบไตรเทพ พร้อมทั้งคัมภีร์ นิฆัณฑุ และ คัมภีร์เกฏุกะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะ เป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบทเข้าใจ ไวยากรณ์ ชำนาญ ในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ

ได้ดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเกือบทั้งหมด เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหฐาน(อวันวะเพศ) อันเร้นอยู่ในฝัก และ พระชิวหาใหญ่๑ จึงยังเคลือบแคลง สงสัยไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ.

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้อุตตรมาณพ ได้เห็นพระคุยหฐาน อันเร้น อยู่ในฝัก รงแลบพระชิวหา สอดเข้าช่องพระกรรณ ทั้งสอง กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิก ทั้งสองกลับไปมา ทรงแผ่พระชิวหา ปิด มณฑลพระนลาตทั้งสิ้น

อุตตรมาณพ มีความคิดว่า พระสมณโคดมทรงประกอบ ด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อย่ากระนั้นเลย เราพึงติดตามพระสมณโคดม พึงดูพระอิริยาบถของพระองค์เถิด ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปตลอด ๗ เดือน ดุจพระฉายา ติดตามพระองค์ไปฉะนั้น

ตลอด ๗ เดือน ที่พราหมณ์ชื่อ พรหมายุ เฝ้าสังเกต พระจริยวัตร และพระอิริยาบถ ของพระผู้มี พระภาค จึงได้บรรยายองค์คุณของพระศาสดาไว้มากมาย เช่นกล่าวถึง มหาปริสลักษณะ ๓๒ ประการ และพระจริยวัตร อันงดงาม เช่น
- เมื่อจะเสด็จดำเนิน ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน
- ไม่ทรงยกพระบาทไกลนัก ไม่ทรงวางพระบาทใกล้นัก 
- ไม่เสด็จดำเนินเร็วนัก ไม่เสด็จดำเนินช้านัก
- เสด็จดำเนิน พระชานุ(เข่า)ไม่กระทบพระชานุ

ไม่นาน พรหมายุ ทำกาละ
พระผูั้มีพระภาคตรัสว่า พรหมายุ บรรลุธรรมตามลำดับ เป็นอุปปาติกะ (อนาคามี) จักปรินิพพานในภพ นั้น มีอันไม่กลับจาก โลกนั้น เป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป.



เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๔๐๑

๑. พรหมายุสูตร
พรหมายุพราหมณ์ต้องการเฝ้าพระพุทธเจ้า

        [๕๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปใน วิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป. ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ชื่อ พรหมายุ อาศัยอยู่ในเมืองมิถิลา เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ มีอายุ ๑๒๐ ปีแต่กำเนิด รู้จบไตรเทพ พร้อมทั้งคัมภีร์ นิฆัณฑุ และคัมภีร์เกฏุกะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบทเข้าใจ ไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ.

     พรหมายุพราหมณ์ ได้ฟังข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจาก ศากยสกุล เสด็จเที่ยวจาริกไปใน วิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงาม ในเบื้องต้นงามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล.

        [๕๘๕] ก็สมัยนั้นแล มาณพชื่อว่าอุตตระ เป็นศิษย์ของพรหมายุพราหมณ์ เป็นผู้รู้จบ ไตรเทพ พร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏุกะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็น ที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท  เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์ โลกายตะ และตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ.

     ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้เรียกอุตตรมาณพมาเล่าว่า ดูกรพ่ออุตตระ  พระสมณโคดม ศากยบุตร พระองค์นั้น ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จเที่ยวไปใน วิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็กิตติศัพท์ของท่าน พระโคดม พระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ฯลฯ ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล ไปเถิดพ่ออุตตระ พ่อจงไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงรู้พระสมณโคดมว่า กิตติศัพท์ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้ว เป็นจริงอย่างนั้น หรือว่าไม่เป็นจริงอย่างนั้น ท่านพระโคดมพระองค์นั้น เป็นเช่นนั้น หรือว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายจักเห็นแจ้ง ท่านพระโคดมพระองค์นั้น เพราะ พ่ออุตตระ.

     อุตตรมาณพถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าจักรู้ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ว่า กิตติศัพท์ของท่านพระโคดม ขจรไปแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงหรือว่าไม่เป็นอย่างนั้น ท่านพระโคดมพระองค์นั้ นเป็นเช่นนั้น หรือว่าไม่เป็นเช่นนั้น ได้อย่างไรเล่า?

     พ. ดูกรพ่ออุตตระ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้วในมนต์ของเราทั้งหลาย ที่พระมหาบุรุษประกอบแล้ว ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าอยู่ ครอบครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมี สมุทรสาคร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว ทรงมีราชอาณาจักร อันมั่นคง ทรงมีความเป็นผู้แกล้วกล้า ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้วปริณายกแก้ว

     พระราชบุตรของพระองค์ มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม ไม่ต้องใช้พระราช อาชญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ทรงครอบครองแผ่นดินนี้ อันมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าและ เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคา คือกิเลส อันเปิดแล้วในโลก ดูกรพ่ออุตตระ ฉันเป็นผู้สอนมนต์ ท่านผู้เรียนมนต์.

        [๕๘๖] อุตตรมาณพ รับคำพรหมายุพราหมณ์แล้ว ลุกจากที่นั่ง ไหว้ พรหมายุ พราหมณ์ กระทำประทักษิณแล้ว หลีกจาริกไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับ อยู่ ในวิเทหชนบท เที่ยวจาริก ไปโดยลำดับ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 

     ครั้นแล้วได้พิจารณา ดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระกายของพระผู้มี พระภาค ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ประการโดยมาก ในพระกายของพระผู้มี พระภาค เว้นอยู่ ๒ ประการ  คือ พระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลง สงสัยไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ.

        [๕๘๗] ครั้งนั้นแล  พระผู้มีพระภาค ได้ทรงมีพระดำริว่า อุตตรมาณพนี้ เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหฐาน อันเร้นอยู่ในฝัก ๑ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ในพระมหาปุริสลักษณะ ๒ประการ.

     ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้อุตตรมาณพ ได้เห็นพระคุยหฐานอันเร้นอยู่ในฝัก.  และทรงแลบพระชิวหา สอดเข้าช่องพระกรรณ ทั้งสอง กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสอ งกลับไปมา ทรงแผ่พระชิวหา ปิด มณฑลพระนลาตทั้งสิ้น.

        [๕๘๘] ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมทรงประกอบ ด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อย่ากระนั้นเลย เราพึงติดตามพระสมณโคดม พึงดูพระอิริยาบถของพระองค์เถิด.

     ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ได้ติดตามพระผู้มีพระภาคไปตลอด ๗ เดือน ดุจ พระฉายา ติดตามพระองค์ไปฉะนั้น ครั้งนั้น อุตตรมาณพได้เที่ยวจาริก ไปทางเมือง มิถิลา ในวิเทหชนบท โดยล่วงไป ๗ เดือน เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เข้าไปหา พรหมายุพราหมณ์ ที่เมืองมิถิลา ไหว้พรหมายุพราหมณ์แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

     ครั้นแล้ว พรหมายุพราหมณ์ ได้ถามว่า ดูกรพ่ออุตตรมาณพ กิตติศัพท์ของท่าน พระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ ก็ท่านพระโคดม พระองค์นั้น เป็นเช่นนั้น ไม่เป็นเช่นอื่นแลหรือ?

  มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ

        [๕๘๙] อุตตรมาณพตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กิตติศัพท์ของท่านพระโคดม พระองค์นั้น ขจรไปแล้วเป็นจริงอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น และท่านพระโคดม พระองค์นั้นเป็นเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระโคดม พระองค์นั้น ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ คือ

๑. ท่านพระโคดมพระองค์นั้นมีพระบาท ประดิษฐ์ฐานอยู่ด้วยดี แม้ข้อนี้ก็เป็น มหาปุริส ลักษณะ แห่งมหาบุรุษ ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น
๒. มีลายจักร อันมีซี่กำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง เกิดภายใต้ฝ่า พระบาททั้งสอง
๓. ทรงมีพระส้นยาว
๔. ทรงมีพระองคุลียาว
๕. ทรงมีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
๖. ทรงมีพระหัตถ์และฝ่าพระบาทเป็นลายตาข่าย
๗. ทรงมีพระบาทสูงนูน
๘. ทรงมีพระชงฆ์เรียวดังแข้งเนื้อทราย
๙. ทรงประทับยืนตรง ไม่ค้อมลง ฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลำ พระชานุมณฑล ทั้งสองได้
๑๐. ทรงมีพระคุยหฐานเร้นอยู่ในฝัก
๑๑. ทรงมีพระฉวีวรรณดังทองคำ
๑๒. ทรงมีพระฉวีละเอียดดังผิวทองคำ เพราะทรงมีพระฉวีละเอียด ฝุ่นละอองไม่ติด พระกาย
๑๓. ทรงมีพระโลมาขุมละเส้น
๑๔. ทรงมีพระโลมา ปรายงอนขึ้นเบื้องบนทุกเส้น สีเขียวดัง ดอกอัญชันขดเป็น มณฑล ทักษิณาวัฏ
๑๕. ทรงมีพระกายตรงดังกายพรหม
๑๖. ทรงมีพระกายเต็มในที่ ๗แห่ง
๑๗. มีพระกายเต็มดังกึ่งกายเบื้องหน้าแห่งสีหะ
๑๘. ทรงมีพระปฤษฎางค์เต็ม
๑๙. ทรงมีปริมณฑลดังต้นนิโครธ มีพระกายกับวาเท่ากัน
๒๐. ทรงมีพระศอกลมเสมอ
๒๑. ทรงมีเส้นประสาทสำหรับรับรสหมดจดดี
๒๒. ทรงมีพระหนุดังคางราชสีห์
๒๓. ทรงมีพระทนต์๔๐ ซี่
๒๔. ทรงมีพระทนต์เสมอกัน
๒๕. ทรงมีพระทนต์ไม่ห่าง
๒๖. ทรงมีพระทาฐะอันขาวงาม
๒๗. ทรงมีพระชิวหาใหญ่ยาว
๒๘. ทรงมีพระสุรเสียงดังเสียงพรหม
๒๙. ทรงมีพระเนตรดำสนิท
๓๐. ทรงมีดวงพระเนตรดังตาโค
๓๑. ทรงมีพระอุณาโลมขาวละเอียดอ่อนดังสำลี เกิดระหว่างพระขนง
๓๒. มีพระเศียรกลมเป็นปริมณฑลดั งประดับด้วยกรอบพระพักตร์

     ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นทรงประกอบด้วยมหาปริสลักษณะ ๓๒ ประการนี้แล.

และท่านพระโคดมพระองค์นั้น
เมื่อจะเสด็จดำเนิน ทรงก้าวพระบาทเบื้องขวาก่อน
ไม่ทรงยกพระบาทไกลนัก ไม่ทรงวางพระบาทใกล้นัก 
ไม่เสด็จดำเนินเร็วนัก ไม่เสด็จดำเนินช้านัก
เสด็จดำเนิน พระชานุไม่กระทบพระชานุ
ข้อพระบาท ไม่กระทบข้อพระบาท
ไม่ทรงยกพระอุรุสุง ไม่ทรงทอดพระอุรุไปข้างหลัง
ไม่ทรงกระแทกพระอุรุ ไม่ทรงส่ายพระอุรุ 

เมื่อเสด็จดำเนิน พระกายส่วนบน ไม่หวั่นไหว 
ไม่เสด็จดำเนินด้วยกำลังพระกาย
เมื่อทอดพระเนตร ทรงทอดพระเนตรด้วยพระกายทั้งหมด
ไม่ทรงทอดพระเนตรขึ้นเบื้องบน ไม่ทรงทอดพระเนตรลงเบื้องต่ำ
เสด็จดำเนินไม่ทรงเหลียวแล ทรงทอดพระเนตรประมาณชั่วแอก
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงมีพระญาณทัสสนะ อันไม่มีอะไรกั้น.

เมื่อเสด็จเข้าสู่ละแวกบ้าน ไม่ทรงยืดพระกาย
ไม่ทรงย่อพระกาย ไม่ทรงห่อพระกาย ไม่ทรงส่ายพระกาย.

เสด็จเข้าประทับนั่งอาสนะ ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก
ไม่ประทับนั่งเท้าพระหัตถ์ ไม่ทรงพิงพระกายที่อาสนะ.

เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน ไม่ทรงคะนองพระหัตถ์ ไม่ทรงคะนองพระบาท
ไม่ประทับนั่งชันพระชานุ ไม่ประทับนั่งซ้อนพระบาท ไม่ประทับนั่งยันพระหนุ.

เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน ไม่ทรงครั่นคร้าม ไม่ทรงหวั่นไหว ไม่ทรงขลาด ไม่ทรงสะดุ้ง ทรงปราศจากโลมชาติชูชัน ทรงเวียนมาในวิเวก.

เมื่อประทับนั่งในละแวกบ้าน เมื่อทรงรับน้ำล้างบาตร ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับน้ำล้างบาตร ไม่น้อยนัก ไม่มากนัก.

ไม่ทรงล้างบาตรดังขลุกๆ ไม่ทรงหมุนบาตรล้าง ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงล้างบนพระหัตถ์ เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ก็เป็นอันทรงล้างบาตรแล้ว เมื่อทรงล้างบาตรแล้ว เป็นอันทรงล้างพระหัตถ์แล้ว.

ทรงเทน้ำล้างบาตรไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก และทรงเทไม่ให้น้ำกระเซ็น.

เมื่อทรงรับข้าวสุก ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตร คอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ ทรงรับข้าวสุกไม่น้อยนัก ไม่มากนัก.

ทรงรับกับข้าวเสวยอาหาร พอประมาณกับข้าว ไม่ทรงน้อมคำข้าวให้เกินกว่ากับ.

ทรงเคี้ยวคำข้าวในพระโอฐสองสามครั้ง แล้วทรงกลืน.
เยื่อข้าวสุก ยังไม่ระคนกันดีเล็กน้อย ย่อมไม่เข้าสู่พระกาย.

ไม่มีเยื่อข้าวสุกสักนิดหน่อยเหลือ อยู่ในพระโอฐ.
ทรงน้อมคำข้าเข้าไปแต่กึ่งหนึ่ง.

ทรงทราบรสได้อย่างดีเสวยอาหาร แต่ไม่ทรงทราบด้วยดี ด้วยอำนาจความกำหนัดในรส.

เสวยอาหารประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ

ไม่เสวยเพื่อเล่น ๑
ไม่เสวยเพื่อมัวเมา ๑
ไม่เสวยเพื่อประดับ ๑
ไม่เสวยเพื่อตกแต่ง ๑
เสวยเพียงเพื่อดำรงพระกายนี้ไว้ ๑
เพื่อยังพระชนมชีพให้เป็นไป ๑
เพื่อป้องกันความลำบาก ๑
เพื่อทรงอนุเคราะห์พรหมจรรย์ ๑
ด้วยทรงพระดำริว่า เพียงเท่านี้ก็จักกำจัดเวทนาเก่าได้ จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ร่างกายของเราจักเป็นไปสะดวก จักไม่มีโทษ และจักมีความอยู่สำราญ.

เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว เมื่อจะทรงรับน้ำ ล้างบาตร ไม่ทรงชูบาตรขึ้นรับ ไม่ทรงลดบาตรลงรับ ไม่ทรงจ้องบาตรคอยรับ ไม่ทรงแกว่งบาตรรับ.

ทรงรับน้ำล้างบาตรไม่น้อยนัก ไม่มากนัก.

ไม่ทรงล้างบาตรดังขลุกๆ ไม่ทรงหมุนบาตรล้าง ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงล้างบนพระหัตถ์.

เมื่อทรงล้างพระหัตถ์แล้ว ก็เป็นอันทรงล้างบาตรแล้ว เมื่อทรงล้างบาตรแล้ว ก็เป็นอันล้างพระหัตถ์แล้ว.

ทรงเทน้ำล้างบาตรไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก และทรงเทไม่ให้น้ำกระเซ็น.

เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ไม่ทรงวางบาตรที่พื้น ทรงวางในที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นัก จะไม่ทรงต้องการบาตร ก็หามิได้ แต่ก็ไม่ตามรักษาบาตรจนเกินไป.

เมื่อเสวยเสร็จแล้ว ประทับนิ่งเฉย อยู่ครู่หนึ่ง.
แต่ไม่ทรงยังเวลา แห่งการอนุโมทนา ให้ล่วงไป.

เสวยเสร็จแล้ว ก็ทรงอนุโมทนา ไม่ทรงติเตียนภัตนั้น ไม่ทรงหวังภัตอื่น.

ทรงชี้แจงให้บริษัทนั้น เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา.

ครั้นแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จไป.
ไม่เสด็จเร็วนัก ไม่เสด็จช้านัก ไม่ผลุนผลันเสด็จไป.

ไม่ทรงจีวรสูงเกินไป ไม่ทรงจีวรต่ำเกินไป ไม่ทรงจีวรแน่นติดพระกาย ไม่ทรงจีวรกระจุยกระจายจากพระกาย.

ทรงจีวรไม่ให้ลมพัดแหวกได้.
ฝุ่นละอองไม่ติดพระกาย.

เสด็จถึงพระอารามแล้วประทับนั่ง ครั้นประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ถวายแล้ว จึงทรงล้างพระบาท.

ไม่ทรงประกอบการประดับพระบาท.
ทรงล้างพระบาท แล้วประทับนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้เบื้องพระพักตร์.

ไม่ทรงดำริเพื่อเบียดเบียนพระองค์เอง ไม่ทรงดำริเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทรงดำริเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายประทับนั่ง
ทรงดำริแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พระองค์ สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น สิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่โลกทั้งปวง.

เมื่อประทับอยู่ในพระอาราม ทรงแสดงธรรมในบริษัท ไม่ทรงยอบริษัท ไม่ทรงรุกรานบริษัท ทรงชี้แจงให้บริษัทเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.

ทรงมีพระสุรเสียง อันก้องเปล่งออกจากพระโอฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ สละสลวย ๑ รู้ได้ชัดเจน ๑ ไพเราะ ๑ ฟังง่าย ๑ กลมกล่อม ๑ไม่พร่า ๑ พระสุรเสียงลึก ๑ มีกังวาล ๑.

บริษัทจะอย่างไร ก็ทรงให้เข้าใจด้วยพระสุรเสียงได้ พระสุรเสียงมิได้ก้องออกนอกบริษัท.

ชนทั้งหลาย ที่ท่านพระโคดมทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เมื่อลุกจากที่นั่งไป ยังเหลียวดู โดยไม่อยากจะละไป ต่างรำพึงว่า เราได้เห็นท่านพระโคดมพระองค์นั้น เสด็จดำเนิน ประทับยืน เสด็จเข้าละแวกบ้านประทับนั่งนิ่ง ในละแวกบ้าน กำลังเสวยภัตตาหารในละแวกบ้าน เสวยเสร็จแล้วประทับนั่งนิ่ง เสวยเสร็จแล้วทรงอนุโมทนา

เมื่อเสด็จกลับมายังพระอาราม เมื่อเสด็จถึงพระอารามแล้ว ประทับนั่งนิ่งอยู่ เมื่อประทับอยู่ในพระอาราม กำลังทรงแสดงธรรมในบริษัท ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ทรงพระคุณเช่นนี้ๆ และทรงพระคุณยิ่งกว่าที่กล่าวแล้วนั้น.

        [๕๙๐] เมื่ออุตตรมาณพ กล่าวอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์ ลุกจากที่นั่ง ห่มผ้าเฉวียง บ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ แล้วเปล่งอุทานขึ้น ๓ ครั้งว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ...ขอนอบน้อมแด่พระผู้มี พระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น แล้วคิดว่า ไฉนหนอ เราจึงจะได้สมาคมกับท่าน พระโคดมพระองค์นั้น สักครั้งคราว ไฉนหนอ จะพึงได้เจรจาปราศรัยสักหน่อยหนึ่ง?

        [๕๙๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จไปในวิเทหชนบท โดยลำดับ เสด็จถึง เมืองมิถิลา. ได้ทราบว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา.

     พราหมณ์ และคฤหบดีชาวเมืองมิถิลา ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวช จากศากยสกุล เสด็จเที่ยวจาริกไปในวิเทหชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปเสด็จถึงเมือง มิถิลาแล้ว ประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา ก็กิตติศัพท์อันงาม ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า

     แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระ ปัญญาอันยิ่ง ของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตาม

     ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนี้ ย่อมเป็นความดีแล.

     ลำดับนั้นแล พราหมณ์และคฤหบดี ชาวเมืองมิถิลา ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับครั้นแล้ว บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค

     ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนม อัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อ และโคตร ในสำนักพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งนิ่งอยู่ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง.

พรหมายุพราหมณ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

        [๕๙๒] พรหมายุพราหมณ์ ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจาก ศากยสกุล ประทับอยู่ ณ มฆเทวอัมพวัน ใกล้เมืองมิถิลา. ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ พร้อมด้วยมาณพเป็นอันมาก พากันเข้าไปยัง มฆเทวอัมพวัน.

     ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้มีความคิดขึ้น ในที่ไม่ไกลมฆเทวอัมพวัน ว่า การที่เรา ไม่ทูล ให้ทรงทราบเสียก่อน พึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมไม่สมควรแก่เราเลย.

     ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ เรียกมาณพคนหนึ่งมากล่าวว่า มานี่แน่พ่อมาณพ พ่อจง เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม ถึงที่ประทับ แล้วจงทูลถามพระสมณโคดมถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ ตามคำของเราว่า

     ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ทูลถามท่านพระโคดม ถึงความมีพระอาพาธน้อย ... ทรงพระสำราญ และจงทูลอย่างนี้ว่า

     ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัย มาโดยลำดับ มีอายุ ๑๒๐ ปี แต่เกิดมา รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกฏุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญใน คัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พราหมณ์และคฤหบดี มีประมาณเท่าใด ย่อมอยู่อาศัยในเมืองมิถิลา พรหมายุพราหมณ์ปรากฏว่าเลิศกว่า พราหมณ์ และคฤหบดีเหล่านั้น เพราะโภคะ เพราะมนต์ เพราะอายุและยศ ท่านปรารถนาจะมาเฝ้า ท่านพระโคดม.

        [๕๙๓] มาณพนั้น รับคำพรหมายุพราหมณ์แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัย กับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

     แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ทูลถาม ท่านพระโคดม ถึงความมีพระอาพาธน้อย ... ทรงพระสำราญ ข้าแต่ท่านพระโคดม พรหมายุพราหมณ์ เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ... ท่านปรารถนาจะมาเฝ้าท่านพระโคดม พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาณพ พรหมายุพราหมณ์ ย่อมรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด.

     ครั้งนั้นแล มาณพนั้นจึงเข้าไปหา พรหมายุพราหมณ์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะพรหมายุ พราหมณ์ ว่า ท่านเป็นผู้อันพระสมณโคดม ทรงประทานโอกาสแล้ว จงรู้กาลอันควร ในบัดนี้เถิด.

พรหมายุพราหมณ์ขอดูพระชิวหาและพระคุยหะ

        [๕๙๔] ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค. บริษัทนั้นได้เห็น พรหมายุพราหมณ์ มาแต่ไกล จึงรีบลุกขึ้นให้โอกาสตามสมควรแก่ผู้มีชื่อเสียง มียศ.

     ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า อย่าเลยท่านผู้เจริญทั้งหลาย เชิญท่านทั้งหลาย นั่งบนอาสนะของตนๆ เราจักนั่งในสำนักแห่งพระสมณโคดมนี้.

     ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วพิจารณาดู มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาค.

     ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการคือ พระคุยหฐานอัน เร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสใน พระมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ.

     ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ข้าแต่พระโคดม มหาปุริสลักษณะ อันข้าพเจ้าได้สดับมาว่า ๓๒ ประการ แต่ยังไม่เห็นอยู่ ๒ ประการในพระกาย ของ พระองค์ท่าน

     ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่านรชน พระคุยหฐาน ของพระองค์ท่านเร้นอยู่ในฝัก ที่ผู้ฉลาด กล่าวว่า คล้ายนารีหรือ พระชิวหาได้นรลักษณ์หรือ พระองค์มีพระชิวหาใหญ่หรือ ไฉน ข้าพเจ้า จึงจะทราบความข้อนั้น

     ขอพระองค์ทรงค่อยนำ พระลักษณะนั้นออก ขอได้โปรดทรงกำจัดความสงสัยของ ข้าพเจ้าเถิด ข้าแต่ท่านฤาษี ถ้าพระองค์ทรงประทานโอกาส ข้าพเจ้าจะขอทูลถามปัญหา ที่ข้าพเจ้าปรารถนายิ่งอย่างหนึ่ง เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขใน สัมปรายภพ.

        [๕๙๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า พรหมายุพราหมณ์นี้ เห็น มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหฐานอันเร้น อยู่ในฝัก ๑ ลิ้นใหญ่ ๑ ยังเคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ.

     ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้พรหมายุพราหมณ์ ได้เห็นพระคุยหฐาน อันเร้นอยู่ในฝัก และ ทรงแลบพระชิวหา สอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสอง กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสอง กลับไปมา ทรงแผ่ปีดทั่วมณฑลพระนลาฏ.

      ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพรหมายุพราหมณ์ ด้วยพระคาถาว่า ดูกรพราหมณ์ มหาปุริสลักษณะ ที่ท่านได้สดับมาว่า ๓๒ ประการ นั้น มีอยู่ในกายของเราครบทุกอย่าง ท่านอย่าสงสัยเลย

     ดูกรพราหมณ์ สิ่งที่ควรรู้ยิ่งเรารู้ยิ่งแล้ว สิ่งที่ควรเจริญ เราเจริญแล้ว และสิ่งที่ควรละ เราละ ได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพุทธะ ท่านเป็นผู้อันเราให้โอกาสแล้ว เชิญถามปัญหาที่ ปรารถนายิ่ง อย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันแล ะเพื่อความสุขใน สัมปรายภพเถิด.

        [๕๙๖] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ ได้มีความดำริว่า เราเป็นผู้อันพระสมณโคดม ประทาน โอกาสแล้ว จะพึงทูลถามประโยชน์ในปัจจุบัน หรือประโยชน์ในสัมปรายภพหนอ.

     ลำดับนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ ได้มีความคิดว่า เราเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์ปัจจุบัน แม้คนอื่นๆก็ถามเราถึงประโยชน์ในปัจจุบัน ถ้ากระไรเราพึงทูลถามประโยชน์ในสัมปรายภพ กะพระสมณโคดมเถิด.

     ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ อย่างไรบุคคลจึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์ อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้รู้จบเวท อย่างไรชื่อว่า เป็นผู้มีวิชชา ๓ บัณฑิต บุคคลเช่นไรชื่อว่าเป็นผู้มีความสวัสดี อย่างไรชื่อว่าเป็น พระอรหันต์ อย่างไรชื่อว่า มีคุณครบถ้วน อย่างไรชื่อว่าเป็นมุนี และบัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรว่าเป็นพุทธะ?

        [๕๙๗] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสตอบพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า ผู้ใด รู้ระลึกชาติก่อนๆ ได้ เห็นสวรรค์และอบาย บรรลุถึงความสิ้นชาติ  ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนีผู้รู้ยิ่ง ถึงที่สุด มุนีนั้นย่อมรู้จิตอันบริสุทธิ์ อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เป็นผู้ละ ชาติ และมรณะได้แล้ว ชื่อว่ามีคุณครบถ้วนแห่งพรหมจรรย์ ชื่อว่าถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่น นั้นว่าเป็นพุทธะ.

        [๕๙๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พรหมายุพราหมณ์ลุกขึ้นจากที่นั่ง ห่มผ้า เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบศีรษะลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค จูบพระยุคลบาท ด้วยปากนวดด้วยฝ่ามือ และประกาศชื่อของตนว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็น พราหมณ์ ชื่อพรหมายุ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นพราหมณ์ ชื่อพรหมายุ.

     ครั้งนั้นแล บริษัทนั้นเกิดความอัศจรรย์ใจว่า น่าอัศจรรย์นักหนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมี มาหนอ ท่านผู้เจริญ พระสมณะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พรหมายุพราหมณ์นี้ เป็นผู้มีชื่อเสียง มียศ ยังทำความเคารพนบนอบอย่างยิ่งเห็นปานนี้.

     ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพรหมายุพราหมณ์ว่า พอละพราหมณ์ เชิญท่านลุก ขึ้นนั่งบนที่นั่งของตนเถิด เพราะจิตของท่านเลื่อมใสในเราแล้ว.

     ลำดับนั้นพรหมายุพราหมณ์จึงลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งของตน.

ทรงแสดงอนุปุพพิกถา

        [๕๙๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุปุพพิกถาแก่พรหมายุพราหมณ์ คือ ทรง ประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามทั้งหลายอันต่ำทราม เศร้าหมอง และ อานิสงส์ ในเนกขัมมะ.

     เมื่อใด พระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า พรหมายุพราหมณ์มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน ปราศจาก นิวรณ์ มีจิตสูง ผ่องใส เมื่อนั้นจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรง ยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.

     ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่พรหมายุพราหมณ์ ณ ที่นั่งนั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา เปรียบเหมือน ผ้าขาวที่สะอาด ปราศจากดำควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น.

พรหมายุพราหมณ์เห็นธรรม

        [๖๐๐] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ ผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว มีธรรมอันบรรลุแล้ว มีธรรม อันรู้แจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งทราบแล้ว ข้ามความสงสัยแล้ว ปราศจากความ เคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ... ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนึ่ง ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ โปรดรับ ภัตตาหารของข้าพระองค์ ในวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ.

        [๖๐๑] ครั้งนั้นแล พรหมายุพราหมณ์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับ อาราธนาแล้ว จึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วหลีกไป.

     ครั้งนั้น พรหมายุพราหมณ์ได้สั่งให้ตกแต่ง ขาทนียโภชนียาหาร อย่างประณีต ในนิเวศน์ ของตนตลอดคืนยันรุ่ง แล้วใช้คนให้ไปกราบทูลเวลาภัตกาล แด่พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้าภัตตาหารสำเร็จแล้ว.

     ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและ จีวรเสด็จ เข้าไปยังนิเวศน์ ของพรหมายุพราหมณ์ แล้วประทับนั่งบนอาสนะ ที่เขา จัดไว้ พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์.

     ลำดับนั้น พรหมายุพราหมณ์ ได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุขให้ อิ่มหนำ เพียงพอ ด้วย ขาทนียโภชนียาหาร อันประณีตด้วยมือของตน ตลอด ๗ วัน. ครั้งนั้นพอล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในวิเทหชนบท.

        [๖๐๒] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาค เสด็จหลีกไปไม่นาน พรหมายุ พราหมณ์ ได้ทำกาละ.

     ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมาก พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

     ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมายุ พราหมณ์ ทำกาละแล้ว คติของเขาเป็นเช่นไร ภพเบื้องหน้าของเขา เป็นเช่นไรพระเจ้าข้า?

     [๖๐๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมายุพราหมณ์เป็น บัณฑิต ได้บรรลุธรรมตามลำดับธรรม ไม่เบียดเบียนเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่ง ธรรมเลย พรหมายุพราหมณ์ เป็น อุปปาติกะ (อนาคามี) จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจาก โลกนั้น เป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป.

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิต ของ พระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.

                 จบ พรหมายุสูตร ที่ ๑.





 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์