พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๑๔-๔๑๕
สาริปุตตโกฏฐิตสูตรที่ ๑
(พระสารีบุตร กับ พระมหาโกฏฐิตะ)
[๗๗๑] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น ท่านพระมหา โกฏฐิตะ ออกจากที่หลีกเร้น ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่าน พระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่านพระสารีบุตร สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกหรือ ท่านพระสารีบุตรตอบว่าดูกรท่าน ปัญหาข้อนี้ เป็นปัญหาที่พระผู้มี พระภาค ไม่ทรงพยากรณ์
ม. ดูกรท่าน สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกหรือ
ส. ดูกรท่าน แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหา ที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์
ม. ดูกรท่าน สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีหรือ
ส. ดูกรท่าน ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหา ที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ อีก เหมือนกัน
ม. ดูกรท่าน สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้หรือ
ส. ดูกรท่าน แม้ปัญหาข้อนี้ ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ อีกเหมือนกัน
ม. ดูกรท่าน เมื่อผมถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกหรือ
ท่านก็ตอบว่า ดูกรท่าน ปัญหาข้อนี้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ ฯลฯ เมื่อผมถามว่า ดูกรท่าน สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้หรือ ท่านก็ตอบว่า
ดูกรท่าน แม้ปัญหา ข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ อีกเหมือนกัน ดูกรท่าน อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ ์ปัญหานั้น
[๗๗๒] ส. ดูกรท่าน คำว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกสัตว์ เบื้องหน้า แต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ นี้ย่อมเป็นคำที่หมายถึงรูป
ดูกรท่าน คำว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมไม่เกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ นี้ย่อมเป็นคำ ที่หมายถึงเวทนา
ดูกรท่าน คำว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมไม่เกิดอีกสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ นี้ย่อมเป็นคำ ที่หมายถึงสัญญา
ดูกรท่าน คำว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมไม่เกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ นี้ย่อมเป็นคำ ที่หมายถึงสังขาร
คำว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่ เกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้นี้ย่อมเป็นคำ ที่หมายถึง วิญญาณ
ดูกรท่าน นี่แหละเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๑๖-๔๑๗
สาริปุตตโกฏฐิตสูตรที่ ๒
(พระสารีบุตร กับ พระมหาโกฏฐิตะ)
[๗๗๓] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ฯลฯ ได้มีคำถามอย่างนั้นเหมือนกันว่า ดูกรท่าน อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระผู้มีพระภาคไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
[๗๗๔] ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้า แต่ตาย แล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หา มิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ดังนี้
ย่อมเกิดมีแก่บุคคล ผู้ไม่รู้ไม่เห็นรูปตามความ เป็นจริง ไม่รู้ไม่เห็นเหตุเกิดแห่ง รูป ตามความเป็นจริงไม่รู้ไม่เห็น ความดับแห่งรูป ตามความเป็นจริง ไม่รู้ไม่เห็นปฏิปทา เครื่องให้ถึงความดับ แห่งรูปตามความเป็นจริง
ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่ บุคคล ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง ไม่รู้ไม่เห็นเหตุ เกิด แห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง ไม่รู้ไม่เห็นความดับ แห่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง ไม่รู้ไม่เป็นปฏิปทา เครื่องให้ถึง ความดับ แห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง
[๗๗๕] ดูกรท่าน ก็แต่ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้รู้ผู้เห็นรูป ตามความเป็นจริง รู้เห็นเหตุเกิดแห่งรูป ตามความเป็นจริง รู้เห็นความดับแห่งรูป ตามความเป็นจริง รู้เห็นปฏิปทา เครื่องให้ถึง ความดับแห่งรูปตามความเป็นจริง
ความเห็นว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิด มีแก่บุคคลผู้รู้ผู้เห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง รู้เห็นเหตุเกิด แห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง รู้เห็นความดับแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง รู้เห็นปฏิปทา เครื่องให้ถึงความดับ แห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามความเป็นจริง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๑๗-๔๑๘
สาริปุตตโกฏฐิตสูตรที่ ๓
(พระสารีบุตร กับ พระมหาโกฏฐิตะ)
[๗๗๖] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ฯลฯ ได้มีคำถามอย่างนั้นเหมือนกันว่า ดูกรท่าน อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
[๗๗๗] ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคล ผู้ยังไม่ปราศจาก ความกำหนัดความพอใจ ความรัก ความระหาย ความเร่าร้อน ความทะยานอยาก ในรูปความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย แล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิด อีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความระหาย ความเร่าร้อนความทะยานอยากในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
[๗๗๘] ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคล ผู้ปราศจากความกำหนัดความพอใจ ความรัก ความระหาย ความเร่าร้อน ความทะยานอยากในรูป ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความระหาย ความเร่าร้อน ความทะยานอยากในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
ดูกรท่าน นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหา ข้อนั้น
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๑๘-๔๒๑
สาริปุตตโกฏฐิตสูตรที่ ๔
(พระสารีบุตร กับ พระมหาโกฏฐิตะ)
[๗๗๙] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ครั้งนั้นแล ในเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร ออกจาก ที่หลีกเร้นแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะ ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่าน พระมหาโกฏฐิตะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วท่านพระสารีบุตร ได้ถามท่านพระมหาโกฏฐิตะว่า
ดูกรท่านมหาโกฏฐิตะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกหรือ ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ ฯลฯ เมื่อผมถามแล้วดังนี้ ท่านก็ตอบว่า ดูกรท่าน แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มี พระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ ดูกรท่าน ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
[๗๘๐] ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคล ผู้มีรูปเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้ว ในรูป ผู้หมกมุ่นแล้วในรูป ผู้ไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งรูป ตามความเป็นจริง ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วหมกมุ่น แล้ว ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ผู้ไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งเวทนา แห่งสัญญา แห่งสังขาร แห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง
[๗๘๑] ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมี แก่บุคคล ผู้ไม่มีรูปเป็นที่มายินดี ผู้ไม่ยินดีแล้วในรูป ผู้รู้เห็นความดับแห่งรูป ตามความ เป็นจริง ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมี แก่บุคคล ผู้ไม่มีเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ เป็นที่มายินดี ผู้ไม่ยินดีแล้ว ไม่หมกมุ่นแล้ว ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ผู้รู้เห็นความดับแห่งเวทนา แห่งสัญญา แห่งสังขาร แห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง ดูกรท่าน นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
[๗๘๒] ท่านพระสารีบุตรถามว่า ดูกรท่าน ก็ปริยายแม้อื่น ซึ่งเป็นเหตุให้พระ ผู้มี พระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ ปัญหาข้อนั้นพึงมีหรือ ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า พึงมีท่าน คือ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่ อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ก็ดีย่อมเกิดมีแก่บุคคล ผู้มีภพ เป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วในภพ ผู้หมกมุ่นแล้วในภพ ผู้ไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งภพ ตามความเป็นจริง
[๗๘๓] ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิด มีแก่บุคคล ผู้ไม่มีภพเป็นที่มายินดี ผู้ไม่ยินดีแล้วในภพ ผู้ไม่หมกมุ่นแล้วในภพ ผู้รู้ผู้เห็น ความดับแห่งภพ ตามความเป็นจริง ดูกรท่าน แม้ข้อนี้ก็เป็นปริยายให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นเหมือนกัน
[๗๘๔] ท่านพระสารีบุตรถามว่า ดูกรท่าน ก็ปริยายแม้อื่น ซึ่งเป็นเหตุให้พระ ผู้มี พระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น พึงมีหรือ ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า พึงมีท่าน คือ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้มี อุปาทาน เป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วในอุปาทาน ผู้หมกมุ่นแล้วในอุปาทาน ผู้ไม่รู้ไม่เห็น ความดับแห่งอุปาทาน ตามความเป็นจริง
[๗๘๕] ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมี แก่บุคคล ผู้ไม่มีอุปาทานเป็นที่มายินดี ผู้ไม่ยินดีแล้วในอุปาทาน ผู้ไม่หมกมุ่นแล้วใน อุปาทาน ผู้รู้ผู้เห็นความดับแห่งอุปาทาน ตามความเป็นจริง ดูกรท่าน แม้ข้อนี้ก็เป็น ปริยายให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
[๗๘๖] ท่านพระสารีบุตรถามว่า ดูกรท่าน ก็ปริยายแม้อื่นอีก ซึ่งเป็นเหตุให้ พระผู้มี พระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ ปัญหาข้อนั้นพึงมีหรือ ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า พึงมีท่าน คือ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคล ผู้มีตัณหาเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วในตัณหา ผู้หมกมุ่นแล้วในตัณหา ผู้ไม่รู้ไม่เห็น ความดับแห่งตัณหา ตามความเป็นจริง
[๗๘๗] ดูกรท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดม ีแก่บุคคล ผู้ไม่มีตัณหาเป็นที่มายินดี ผู้ไม่ยินดีแล้วในตัณหา ผู้รู้ผู้เห็นความดับแห่ง ตัณหา ตามความเป็นจริง ดูกรท่าน ข้อนี้แลเป็นปริยาย ให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ ปัญหาข้อนั้น
ส. ดูกรท่าน ก็ปริยายแม้อื่น ซึ่งเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงพยากรณ์ ปัญหาข้อนี้ พึงมีหรือ
ม. ดูกรท่าน บัดนี้ ท่านยังปรารถนาอะไร ในปัญหาข้อนี้ ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก
ดูกรท่านสารีบุตร วัตรเพื่อบัญญัติ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุ ผู้พ้นวิเศษแล้ว เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา
|