เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อนุราธสูตร พวกปริพาชกลัทธิอื่น ดูถูกดูแคลนท่านอนุราธะ ว่าบวชไม่นาน เป็นพระเขลา ไม่ฉลาด แล้วลุกจากไป 2053
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘

อนุราธสูตร (พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น ถามท่านอนุราธะ)
ดูกรท่านอนุราธะ พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ ผู้เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรม อันควรบรรลุ อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติในฐานะทั้ง ๔ นี้ คือ
  สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
  สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก
  สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี
  หรือว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้


พวกปริพาชกเหล่านั้น กล่าวกะท่านพระอนุราธะว่า ภิกษุรูปนี้ชะรอยจักเป็นภิกษุใหม่ บวชไม่นาน หรือเป็นพระเถระ แต่หากเป็นพระเขลา ไม่ฉลาด ครั้งนั้นพวกปริพาชกได้รุกรานท่านพระอนุราธะ แล้วได้พากันลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป (พระอนุราธะถูกพวกปริพาชกดูแคลน)

ท่านพระอนุราธะเข้าเฝ้า
ดูกรอนุราธะ รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง อ.ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า อ.เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง ..ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา..นั่นเป็นตัวตนของเรา อ.ไม่ควรเลย
พ. อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ในเวทนา... เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ....

ดูกรอนุราธะ เธอย่อมเห็นรูปว่า เป็นสัตว์หรือ อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

(สรุปว่า การเห็นรูปเป็นว่า เป็นคน หรือ เป็นสัตว์ นั้น เป็นการปรุงแต่งของจิตที่ยังมีอุปาทาน หากเป็นผู้สิ้น อุปาทาน มุมมองก็จะเปลี่ยนไป ไม่มีตัวมีคน มีแต่กระแสปฏิจจ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๐๙-๔๑๔

อนุราธสูตร

           [๗๖๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวันใกล้นครเวสาลี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระอนุราธะ ก็อยู่ในกุฎี ในป่า ที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ครั้งนั้นแล พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเป็นอันมาก เข้าไปหาท่านพระอนุราธะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอนุราธะ ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอนุราธะ ว่า

           ดูกรท่านอนุราธะ พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ ผู้เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรม อันควรบรรลุ อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติในฐานะทั้ง ๔ นี้ คือ
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี
หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้


           ท่านพระอนุราธะตอบว่า

           ดูกรท่านทั้งหลาย พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ ผู้เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรม อันสมควรบรรลุ อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติ นอกจาก ฐานะทั้ง ๔ นี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อม ไม่เกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มีไม่เกิดอีกก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้

           [๗๖๓] เมื่อท่านพระอนุราธะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เหล่านั้น ได้กล่าวกะท่านพระอนุราธะว่า ก็ภิกษุรูปนี้ชะรอยจักเป็นภิกษุใหม่ บวชแล้ว ไม่นาน หรือเป็นพระเถระแต่หากเป็นพระเขลา ไม่ฉลาด ครั้งนั้นแล พวกปริพาชกผู้ถือ ลัทธิอื่นเหล่านั้น ได้รุกรานท่านพระอนุราธะด้วยวาทะว่า เป็นภิกษุใหม่ และด้วยวาทะ ว่า เป็นพระเขลา แล้วได้พากันลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป (พระอนุราธะถูกปริพาชกดูแคลน)

           เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น หลีกไปแล้วไม่นาน ท่านพระอนุราธะ ได้มีความคิดดังนี้ว่า ถ้าว่าพวกปริพาชกเหล่านั้น พึงถามยิ่งขึ้นไป เราจะพยากรณ์ แต่พวกปริพาชก ผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น อย่างไรหนอ จึงจะเป็นอันกล่าวตามพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชน พึงติเตียนได้

ท่านพระอนุราธะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

           [๗๖๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาสข้าพระองค์ อยู่ที่กุฎีในป่า ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งนั้น พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเป็นอันมาก ได้เข้าไป หาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ได้ปราศรัยกับข้าพระองค์ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้ว จึงได้นั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ถามข้าพระองค์ว่า

           ดูกรท่านอนุราธะ พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรม อันควรบรรลุ อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติในฐานะทั้ง ๔ นี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก ฯลฯ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ดังนี้

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้ตอบเขาเหล่านั้นว่า ดูกรท่านทั้งหลาย พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ เป็น บรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรมอันควรบรรลุ อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัตินอกจากฐานะทั้ง ๔ นี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก ฯลฯ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดก็หามิได้ ดังนี้

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกผู้ถือ ลัทธิอื่นเหล่านั้น ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ก็ภิกษุรูปนี้ชะรอยจักเป็นภิกษุใหม่ บวชแล้ว ไม่นาน หรือว่าเป็นพระเถระ แต่หากเป็นพระเขลา ไม่ฉลาด

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น ได้รุกรานข้าพระองค์ ด้วยวาทะว่า เป็นภิกษุใหม่ และด้วยวาทะว่าเป็นพระเขลา แล้วได้พากันลุกขึ้นจาก อาสนะหลีกไป

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น หลีกไปแล้ว ไม่นาน ข้าพระองค์ได้มีความคิดว่า ถ้าพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น พึงถามเรา ยิ่งขึ้นไปไซร้ เราจะพยากรณ์แก่พวกปริพาชก ผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น อย่างไรจึงจะเป็นอัน กล่าวตามพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำ ไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่ถึงฐานะ อันวิญญูชนพึงติเตียนได้ ดังนี้ พระเจ้าข้า

           [๗๖๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ท่านพระอนุราธะ กราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
           พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
           อ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

           พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะ ตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
           อ. ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า

           พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง
           อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

           พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
           อ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

           พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะ ตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
           อ. ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า

           [๗๖๖] พ. ดูกรอนุราธะ เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดีละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี รูปนั้นทั้งหมดเธอพึงเห็น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

           เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี เวทนา...สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณทั้งหมด ท่านพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

           ดูกรอนุราธะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีดังนี้

           [๗๖๗] ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นรูปว่า เป็นสัตว์หรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นเวทนาว่าเป็นสัตว์หรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นสัญญาว่าเป็นสัตว์หรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นสังขารว่าเป็นสัตว์หรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นวิญญาณว่าเป็นสัตว์หรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           [๗๖๘] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอย่อมเห็นว่าสัตว์ ในรูปหรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นว่าสัตว์อื่นจากรูปหรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นว่า สัตว์ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณหรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. เธอเห็นว่า สัตว์อื่นจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณหรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           [๗๖๙] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอเห็นรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์หรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           [๗๗๐] พ. ดูกรอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอเห็นว่า สัตว์นี้ ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณหรือ
           อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

           พ. ดูกรอนุราธะ ก็เธอหาสัตว์ในขันธ์ ๕ นี้โดยจริง โดยแท้ ไม่ได้ในปัจจุบัน ควรหรือ ที่เธอจะพยากรณ์ว่า ดูกรท่านทั้งหลาย พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ ทรงบรรลุถึง ธรรมอันควรบรรลุ อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัตินอกจาก ฐานะทั้ง ๔ นี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ฯลฯ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ดังนี้
           อ. ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า

           พ. สาธุ สาธุ อนุราธะ ดูกรอนุราธะ ในกาลก่อนด้วย ในบัดนี้ด้วยเราย่อมบัญญัติ ทุกข์ และความดับแห่งทุกข์
-----------------------------------------------------


 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์