พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๙ - ๓๒๑
มหกสูตร
พระมหกะแสดงปาฏิหาริย์
[๕๕๔] สมัยหนึ่ง ภิกษุผู้เถระมากรูป อยู่ที่อัมพาฏกวัน ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดี ได้เข้าไปหาภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้อาราธนาว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ ขอพระเถระทั้งหลาย จงรับภัตตาหารที่โรงโคของข้าพเจ้า ในวันพรุ่งนี้ ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้รับอาราธนา โดยดุษณีภาพ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีทราบการรับอาราธนา ของภิกษุผู้เถระทั้งหลาย แล้ว ลุกจากที่นั่งไหว้ทำประทักษิณแล้วจากไป
[๕๕๕] ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไป เป็นเวลาเช้า ภิกษุผู้เถระทั้งหลายนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังโรงโคของจิตตคฤหบดี ได้นั่ง ณ อาสนะที่ได้ตบแต่งไว้ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดี ได้อังคาสภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ให้อิ่มหนำสำราญเพียงพอ ด้วยข้าวปายาส เจือด้วยเนยใสอย่างประณีต ด้วยมือของตนเอง
ครั้งนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลายฉันเสร็จแล้ว ลดมือจากบาตร ลุกจากอาสนะ แล้วจากไป แม้จิตตคฤหบดี ได้สั่งทาสกรรมกรว่า พวกท่านจงทิ้งส่วนที่เหลือเสีย แล้วจึงได้ตามไปส่งภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ข้างหลังๆ ก็โดยสมัยนั้นแลได้เกิดร้อนจัด ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้เดินไปด้วยกาย ที่คล้ายกับจะหดเข้าฉะนั้น(จะเปื่อย) ทั้งที่ได้ฉัน โภชนะอิ่มแล้ว
[๕๕๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหกะ เป็นผู้อ่อนกว่าทุกองค์ ในภิกษุสงฆ์ หมู่นั้น ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะ ได้พูดกะพระเถระ ผู้เป็นประธานว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เป็นการดีทีเดียว ที่พึงมีลมเย็นพัดมา และพึงมีแดดอ่อน ทั้งฝนพึงโปรยลงมาทีละเม็ดๆ พระเถระกล่าวว่า ท่านมหกะ เป็นการดีทีเดียวที่พึงมีลมเย็นพัดมา และพึงมีแดดอ่อน ทั้งฝนพึงโปรยลงมาทีละเม็ดๆ ครั้งนั้นแลท่านพระมหกะได้บันดาล อิทธาภิสังขาร ให้มีลมเย็นพัดมา และมีแดดอ่อน ทั้งให้มีฝนโปรยลงมาทีละเม็ดๆ
[๕๕๗] ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีได้คิดว่า ภิกษุผู้อ่อนกว่าทุกองค์ ในภิกษุสงฆ์ หมู่นี้ เป็นผู้มีฤทธานุภาพเห็นปานนี้ทีเดียว ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะไปถึงอารามแล้ว ได้ถามพระเถระผู้เป็นประธานว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้ เป็นการเพียงพอหรือ พระเถระผู้เป็นประธานได้กล่าวว่า ท่านมหกะ การบันดาล อิทธาภิสังขารเท่านี้ เป็นการเพียงพอ ท่านมหกะ การบันดาลอิทธาภิสังขารเพียงเท่านี้ เป็นอันเราทำแล้ว เป็นอันเราบูชาแล้ว
ครั้นนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ได้ไปตามที่อยู่ แม้ท่านมหกะ ก็ได้ไปยังที่อยู่ ของตน ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีเข้าไปหา ท่านพระมหกะถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ขอร้องว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้ามหกะ จงแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นอุตริมนุสธรรม แก่ข้าพเจ้าเถิด ท่านพระมหกะพูดว่า
ดูกรคฤหบดีถ้าเช่นนั้น ท่านจงปูผ้าห่มที่ระเบียง แล้วจงเอาฟ่อนหญ้ามาโปรยลง ที่ผ้านั้น จิตตคฤหบดีได้รับคำท่านพระมหกะแล้ว จึงปูผ้าห่มที่ระเบียง แล้วเอาฟ่อนหญ้า มาโปรยลงที่ผ้านั้น ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะได้เข้าไปสู่วิหารใส่ลูกดาน แล้วได้บันดาล อิทธาภิสังขาร ให้เปลวไฟแลบออกมาโดยช่องลูกดานและระหว่างลูกดานไหม้หญ้า ไม่ไหม้ผ้าห่ม
ครั้งนั้น จิตตคฤหบดี ได้สลัดผ้าห่มแล้ว สลดใจ (ตกใจ)ขนลุกชัน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้นแล ท่านพระมหกะได้ออกจากวิหาร (ห้องใน) ได้ถาม จิตตคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้ เป็นการเพียงพอหรือ จิตตคฤหบดี ได้กล่าวว่า ท่านมหกะผู้เจริญ การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้ เป็นการเพียงพอ ท่านมหกะผู้เจริญ การบันดาลอิทธาภิสังขารเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านกระทำแล้ว เป็นอัน ท่านบูชาแล้ว ขอพระคุณเจ้ามหกะ จงชอบใจอัมพาฏกวนาราม ที่น่ารื่นรมย์ใกล้ราวป่า มัจฉิกาสณฑ์เถิด ข้าพเจ้าจักบำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัชบริขาร ท่านพระมหกะได้กล่าวว่า
ดูกรคฤหบดี นั่นท่านกล่าวดีแล้ว ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะ ได้เก็บเสนาสนะ ถือบาตรและจีวรเดินทางออกจากราวป่า ชื่อมัจฉิกาสณฑ์ ไม่ได้กลับมาอีก เหมือนกับ ภิกษุรูปอื่นๆ ที่เดินทางจากไป ฉะนั้น
|