พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
๘. สมณมุณฑิกสูตร
เรื่องอุคคาหมานปริพาชก
[๓๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. สมัยนั้น ปริพาชกชื่ออุคคาหมานะ เป็นบุตรนาง สมณมุณฑิกา พร้อมด้วยปริพาชก บริษัทหมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ อาศัยอยู่ ณ อารามของ พระนางมัลลิการาชเทวี ในตำบลเอกสาลา ชื่อว่าติณฑุกาจีระ (แวดล้อมด้วยแถวต้นมะพลับ) เป็นที่ประชุมแสดงลัทธิของนักบวช.
ครั้งนั้น ช่างไม้ผู้หนึ่งชื่อปัญจกังคะ ออกจากเมืองสาวัตถี เพื่อจะไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค เมื่อเวลาเที่ยงแล้ว. ครั้งนั้น เขามีความดำริว่า เวลานี้มิใช่กาลที่จะเฝ้า พระผู้มีพระภาคก่อน พระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นอยู่ ไม่ใช่สมัยที่จะไปหาภิกษุทั้งหลาย ผู้เจริญทางใจ ภิกษุทั้งหลายผู้เจริญทางใจก็หลีกเร้นอยู่ อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปหา อุคคาหมานปริพาชกสมณมุณฑิกาบุตร ที่อารามของพระนาง มัลลิการาชเทวี ณ ตำบล เอกสาลา ชื่อว่าติณฑุกาจีระ เป็นที่ประชุมแสดงลัทธิ ของนักบวชเถิด.
ลำดับนั้น ช่างไม้ปัญจกังคะ จึงเข้าไปยังอาราม ของพระนางมัลลิการาชเทวี ณ ตำบลเอกสาลาชื่อว่าติณฑุกาจีระ.
2
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
ติรัจฉานกถา
[๓๕๗] สมัยนั้น อุคคาหมานปริพาชก สมณมุณฑิกาบุตร นั่งอยู่กับปริพาชก บริษัทหมู่ใหญ่ ซึ่งกำลังพูดติรัจฉานกถา หลายประการ ด้วยส่งเสียงอื้ออึงอึกทึก
คือพูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องหญิงสาวใช้ตักน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ.
อุคคาหมานปริพาชก สมณมุณฑิกาบุตร ได้เห็นช่างไม้ปัญจกังคะ ซึ่งกำลังมา แต่ไกล จึงห้ามบริษัทของตนให้สงบว่า ขอท่านทั้งหลาย จงเบาเสียงหน่อย อย่าส่งเสียง นัก ช่างไม้ปัญจกังคะ ผู้เป็นสาวกของพระสมณโคดมกำลังมา บรรดาสาวกของ พระสมณโคดม ที่เป็นคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาว ประมาณเท่าใด อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี
นายช่างปัญจกังคะนี้ เป็นผู้หนึ่งของบรรดาสาวกเหล่านั้น ท่านเหล่านั้นชอบ เสียงเบา ได้รับแนะนำในการเสียงเบา กล่าวสรรเสริญคุณของเสียงเบา บางทีช่างไม้ ปัญจกังคะ ทราบว่าบริษัทมีเสียงเบา จะพึงสำคัญที่จะเข้ามาหาก็ได้.
ปริพาชกเหล่านั้น จึงพากันนิ่งอยู่ ลำดับนั้น นายช่างปัญจกังคะ ได้เข้าไปหา อุคคาหมานปริพาชก ผู้สมณมุณฑิกาบุตรถึงที่ใกล้ ได้ปราศรัยกับอุคคาหมานปริพาชก สมณมุณฑิกาบุตร ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
3
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
วาทะของปริพาชก
[๓๕๘] อุคคาหมานปริพาชก ผู้สมณมุณฑิกาบุตร ได้กล่าวกะนายช่างไม้ ชื่อปัญจกังคะผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรนายช่างไม้ เราย่อมบัญญัติบุรุษบุคคล ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการว่า เป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะ ถึงภูมิปฏิบัติ อันอุดม ไม่มีใครรบได้ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรนายช่างไม้ บุคคลในโลกนี้ (๑)ไม่ทำกรรมชั่วด้วยกาย (๒)ไม่กล่าววาจาชั่ว (๓) ไม่ดำริถึงความดำริชั่ว (๔) ไม่เลี้ยงชีพชั่ว เราบัญญัติบุรุษบุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลว่า เป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติ อันอุดม ไม่มีใครรบได้ดังนี้
ลำดับนั้น นายช่างไม้ ชื่อปัญจกังคะไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของ อุคคาหมานปริพาชก ผู้สมณมุณฑิกาบุตร แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป ด้วยดำริว่า เราจักรู้แจ้งเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาค เขาเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. แล้วกราบทูลเล่า การเจรจาปราศรัย กับอุคคาหมานปริพาชก ผู้สมณมุณฑิกาบุตร ทั้งหมดแก่พระผู้มีพระภาค.
[๓๕๙] เมื่อนายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ดูกรนายช่างไม้ เมื่อเป็นเหมือนอย่างคำของ อุคคาหมานปริพาชก ผู้สมณมุณฑิกาบุตร เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ ก็จักเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิ ปฏิบัติอันอุดมไม่มีใครรบได้.
ดูกรนายช่างไม้ เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่ากาย ดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจักทำกรรมชั่วด้วยกาย ได้เล่า นอกจากจะมีเพียงอาการดิ้นรน.
เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่า วาจา ดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจักกล่าว วาจาชั่ว ได้เล่า นอกจากจะมีเพียงการร้องไห้.
เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่า ความดำริ ดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจัก ดำริชั่ว ได้เล่านอกจากจะมีเพียงการร้องไห้ และการหัวเราะ.
เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่ แม้แต่จะรู้ว่าอาชีพดังนี้ ก็ยังไม่มี ที่ไหนจัก เลี้ยงชีพชั่ว ได้เล่า นอกจากน้ำนมของมารดา.
ดูกรนายช่างไม้ เมื่อเป็นเหมือนอย่างคำของ อุคคาหมานปริพาชก ผู้สมณมุณฑิกาบุตร เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่จัก เป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะถึงภูมิปฏิบัติ อันอุดม ไม่มีใครรบได้.
4
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
เสกขภูมิ
[๓๖๐] ดูกรนายช่างไม้ เราบัญญัติบุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ว่ามิใช่ผู้มีกุศลสมบูรณ์เลย ไม่ใช่ผู้มีกุศลอย่างยิ่ง มิใช่เป็นสมณะ ผู้ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ก็แต่ว่าบุคคลผู้นี้ ยังดีกว่าเด็กอ่อน ที่ยังนอนหงายอยู่บ้าง ธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน
ดูกรนายช่างไม้ บุคคลในโลกนี้ ไม่ทำกรรมชั่วด้วยกาย ไม่กล่าววาจาชั่ว ไม่ดำริ ถึงความดำริชั่ว ไม่เลี้ยงชีพชั่ว เราบัญญัติบุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ นี้แล ว่ามิใช่ผู้มีกุศลสมบูรณ์มิใช่ผู้มีกุศลอย่างยิ่ง มิใช่เป็นสมณะถึงภูมิ ปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ก็แต่ว่าบุคคลผู้นี้ ยังดีกว่า เด็กอ่อนที่ยังนอนหงายอยู่บ้าง.
[๓๖๑] ดูกรนายช่างไม้ เราย่อมบัญญัติบุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะผู้ถึงภูมิ ปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้.
ดูกรนายช่างไม้ ข้อที่ศีลเหล่านี้เป็นอกุศล ศีลเป็นอกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ ศีลเป็นอกุศลดับลงหมดสิ้นไป ในที่นี้ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งศีล เป็นอกุศล เรากล่าวว่าควรรู้.
ข้อที่ศีลเหล่านี้เป็นกุศล ศีลเป็นกุศลมีสมุฏฐาน แต่จิตนี้ ศีลเป็นกุศลดับลง หมดสิ้น ไปในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับ แห่งศีลเป็นกุศล เรากล่าวว่า ควรรู้.
ข้อที่ความดำริเหล่านี้ เป็นอกุศลความดำริเป็นอกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ ความดำริเป็นอกุศลดับลง หมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่าปฏิบัติ เพื่อความดับ แห่งความดำริเป็นอกุศล เรากล่าวว่าควรรู้.
ข้อที่ความดำริเหล่านี้ เป็นกุศลความดำริเป็นกุศล มีสมุฏฐานแต่จิตนี้ ความดำร ิเป็นกุศล ดับลงหมดสิ้นในที่นี้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้ชื่อว่า ปฏิบัติเพื่อความดับ แห่งความดำริ เป็นกุศล เรากล่าวว่าควรรู้.
5
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
อเสกขภูมิ
[๓๖๒] ดูกรนายช่างไม้ ก็ศีลที่เป็นอกุศลนั้น เป็นไฉน? ดูกรนายช่างไม้ กายกรรมเป็นอกุศล วจีกรรมเป็นอกุศล การเลี้ยงชีพชั่ว เหล่านี้เรากล่าวว่า ศีลเป็นอกุศล.
ก็ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้ มีอะไรเป็นสมุฏฐาน? แม้สมุฏฐานแห่ง ศีลเป็นอกุล เหล่านั้น เรากล่าวแล้ว.ก็ต้องกล่าวว่า มีจิตเป็นสมุฏฐาน.
จิตเป็นไฉน? ถึงจิตเล่าก็มีมาก หลายอย่าง มีประการต่างๆจิตใดมีราคะ โทสะ โมหะ ศีลเป็นอกุศลมีจิตนี้ เป็นสมุฏฐาน.
ก็ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้ ดับลงหมดสิ้นในที่ไหน? แม้ความดับแห่งศีล ที่เป็น อกุศลเหล่านั้น เราก็ได้กล่าวแล้ว.
ดูกรนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละกายทุจริต เจริญกายสุจริต ละวจีทุจริต เจริญวจีสุจริตละมโนทุจริต เจริญมโนสุจริต ละมิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะ ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้ ดับลงหมดสิ้น ในการละทุจริต เจริญสุจริต และการละมิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะ. ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่าปฏิบัติ เพื่อความดับแห่งศีล ที่เป็นอกุศล?
ดูกรนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่นเพื่อยังอกุศลธรรมอันลามก ที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามก ที่เกิดขึ้นแล้วยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ยังฉันทะให้เกิดพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความเต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว.
ดูกรนายช่างไม้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล ชื่อว่าปฏิบัติ เพื่อความดับแห่งศีลที่เป็น
6
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
อกุศลธรรม
[๓๖๓] ดูกรนายช่างไม้ ก็ศีลที่เป็นกุศลเป็นไฉน? ดูกรนายช่างไม้ เราย่อมกล่าวซึ่งกายกรรมเป็นกุศล วจีกรรมเป็นกุศล และอาชีวะอันบริสุทธิ์ ลงในศีลเหล่านี้ เรากล่าวว่าศีลเป็นกุศล. ก็ศีลเป็นกุศลเหล่านี้ มีอะไรเป็นสมุฏฐาน? แม้สมุฏฐานแห่งศีล เป็นกุศลเหล่านั้นเรากล่าวแล้ว. ก็ต้องกล่าวว่า มีจิตเป็นสมุฏฐาน.
จิตเป็นไฉน? แม้จิตเล่าก็มีมาก หลายอย่างมีประการต่างๆ จิตใดปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ศีลเป็นกุศลมีจิตนี้เป็นสมุฏฐาน. ศีลเป็นกุศลเหล่านี้ ดับลงหมดสิ้นในที่ไหน? แม้ความดับแห่งศีลเป็นกุศลนั้น เราก็กล่าวแล้ว.
ดูกรนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศีล แต่จะสำเร็จด้วยศีลหามิได้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับหมดสิ้น แห่งศีลเป็นกุศล เหล่านั้นของภิกษุนั้นด้วย. ก็ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติ เพื่อความดับแห่งศีล เป็นกุศล?
ดูกรนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ตั้งมั่น เพื่อยังอกุศลธรรม อันลามกที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ... เพื่อละ อกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ... เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ... เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความเต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่เกิดแล้ว.
ดูกรนายช่างไม้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับ แห่งศีลเป็นกุศล.
7
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
อกุศลสังกัปปะ
[๓๖๔] ดูกรนายช่างไม้ ก็ความดำริ อันเป็นอกุศลเป็นไฉน? ดูกรนายช่างไม้ ความดำริในกาม ความดำริในพยาบาท ความดำริในการเบียดเบียน เหล่านี้เรากล่าวว่า ความดำริเป็นอกุศล. ก็ความดำริเป็นอกุศลนี้ มีอะไรเป็นสมุฏฐาน? แม้สมุฏฐานแห่ง ความดำริเป็นอกุศลเหล่านั้น เรากล่าวแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า มีสัญญาเป็นสมุฏฐาน(กามสัญญา)
สัญญาเป็นไฉน? แม้สัญญาเล่าก็มีมาก หลายอย่าง มีประการต่างๆ สัญญาใด เป็นสัญญาในกาม เป็นสัญญาในพยาบาทเป็นสัญญา ในการเบียดเบียน ความดำริเป็น อกุศล มีสัญญานี้ เป็นสมุฏฐาน.
ก็ความดำริเป็นอกุศลเหล่านี้ ดับลงหมดสิ้นในที่ไหน? แม้ความดับแห่ง ความดำริ เป็นอกุศลนั้น เราก็กล่าวแล้ว. ดูกรนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจาก กาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวก อยู่ ซึ่งเป็นที่ดับหมดสิ้น แห่งความดำริเป็นอกุศล (ดับในปฐมฌาน)
ก็ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับ แห่งความดำริเป็นอกุศล? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายามปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อยังอกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ... เพื่อละอกุศลธรรม อันลามก ที่เกิดขึ้นแล้ว ... เพื่อยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ... เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความ ไม่เลือนหาย เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์เพื่อความเจริญ เพื่อความเต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว (เจริญสัมมัปธาน๔)
ดูกรนายช่างไม้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แลชื่อว่าปฏิบัติ เพื่อความดับแห่งความดำริ เป็นอกุศล.
8
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
กุศลสังกัปปะ
[๓๖๕] ดูกรนายช่างไม้ ก็ความดำริเป็นกุศลเป็นไฉน?
ดูกรนายช่างไม้ ความดำริในเนกขัมมะ ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริ ในอันไม่เบียดเบียนเหล่านี้ เราก็กล่าวว่าความดำริเป็นกุศล.
ก็ความดำริเป็นกุศลนี้ มีอะไรเป็นสมุฏฐาน? แม้สมุฏฐานแห่งความดำริ เป็น กุศลนั้น เรากล่าวแล้ว. ก็ต้องกล่าวว่า มีสัญญาเป็นสมุฏฐาน.
สัญญาเป็นไฉน? แม้สัญญาก็มีมาก หลายอย่าง มีประการต่างๆ สัญญาใดเป็น สัญญา ในเนกขัมมะ เป็นสัญญาในความไม่พยาบาท เป็นสัญญา ในอันไม่เบียดเบียน ความดำริเป็นกุศลมีสัญญานี้เป็นสมุฏฐาน.
ก็ความดำริเป็นกุศลเหล่านี้ ดับลงหมดสิ้นในที่ไหน? แม้ความดับแห่งความดำริ ที่เป็นกุศลนั้นเราก็กล่าวแล้ว.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรม เอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุข เกิดแต่ สมาธิอยู่ ซึ่งเป็นที่ดับลงหมดสิ้น แห่งความดำริ เป็นกุศลเหล่านี้.
ก็ผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงจะชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับแห่งความดำริเป็นกุศล.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งมั่น เพื่อยังอกุศลธรรมอันลามก ที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ...เพื่อละอกุศลธรรม อันลามก ที่เกิดขึ้นแล้ว ... เพื่อยังกุศลธรรม ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ... เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความ ไม่เลือนหาย เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความเต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว.
ดูกรนายช่างไม้ ผู้ปฏิบัติอย่างนี้แล ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความดับ แห่งความดำริ เป็นกุศล.
9
(สมณมุณฑิกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๖๓-๒๖๙
อเสกขธรรม ๑๐
[๓๖๖] ดูกรนายช่างไม้ เราย่อมบัญญัติ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ เป็นไฉน ว่าเป็นผู้มีกุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะ ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้
ดูกรนายช่างไม้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วย
สัมมาทิฏฐิ เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมาสังกัปปะ เป็นของ อเสขบุคคล ๑
สัมมาวาจา เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมากัมมันตะ เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมาอาชีวะ เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมาวายามะ เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมาสติ เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมาสมาธิ เป็นของอเสขบุคคล ๑
สัมมาญาณะ เป็นของ อเสขบุคคล๑
สัมมาวิมุติ เป็นของอเสขบุคคล ๑
เราย่อมบัญญัติบุคคล ผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล ว่าเป็นผู้มี กุศลสมบูรณ์ มีกุศลอย่างยิ่ง เป็นสมณะ ถึงภูมิปฏิบัติอันอุดม ไม่มีใครรบได้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. ช่างไม้ปัญจกังคะ ยินดีชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล
จบ สมณมุณฑิกสูตร ที่ ๘
|