1
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
๙. จูฬสกุลุทายิสูตร
เรื่องสกุลุทายีปริพาชก
[๓๖๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขตพระนคร ราชคฤห์. สมัยนั้น สกุลุทายีปริพาชก อยู่ในปริพาชิการาม เป็นที่ให้เหยื่อ แก่นกยูง พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่.
ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จเข้าไป บิณฑบาต ยังกรุงราชคฤห์ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า การเที่ยวบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์ยังเช้านัก อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปหาสกุลุทายีปริพาชก ยังปริพาชิการาม อันเป็นที่ให้เหยื่อแก่นกยูงเถิด.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปยังปริพาชิการาม อันเป็นที่ให้เหยื่อ แก่นกยูง.
2
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
ติรัจฉานกถา
[๓๖๘] ก็สมัยนั้น สกุลุทายีปริพาชก นั่งอยู่กับปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ ซึ่งกำลังสนทนาติรัจฉานกถา ต่างเรื่อง ด้วยเสียงอื้ออึงอึกทึก คือ พูดเรื่องพระราชา ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้น. สกุลุทายีปริพาชก ได้เห็นพระผู้มี พระภาค กำลังเสด็จมาแต่ไกล ครั้นเห็นแล้ว จึงห้ามบริษัทของตน ให้สงบว่า ขอท่านทั้งหลายจงเบาๆ เสียงหน่อย อย่าส่งเสียงอึงนัก นี่พระสมณโคดมกำลังเสด็จมา พระองค์ท่านทรงโปรดเสียงเบา และทรงกล่าวสรรเสริญคุณของเสียงเบา บางทีพระองค์ ท่านทรงทราบว่า บริษัทมีเสียงเบา พึงทรงสำคัญที่จะเสด็จเข้ามาก็ได้. ลำดับนั้น พวกปริพาชกเหล่านั้น พากันนิ่งอยู่.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปหาสกุลุทายีปริพาชกจนถึงที่อยู่. สกุลุทายีปริพาชก ได้กราบทูลเชิญพระผู้มีพระภาคว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาค เสด็จมาเถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาดีแล้ว นานๆ พระผู้มีพระภาค จึงจะมีโอกาสเสด็จมาถึงนี่ได้ ขอเชิญพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งเถิด นี้อาสนะที่จัดไว้. พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้แล้ว.
ส่วนสกุลุทายีปริพาชก ถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาค ตรัสถามสกุลุทายีปริพาชก ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูกรอุทายีเมื่อกี้นี้ ท่านทั้งหลาย นั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน ก็แหละเรื่องอะไร ที่ท่านทั้งหลาย หยุดค้างไว้ในระหว่าง.
[๓๖๙] สกุลุทายีปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องที่ข้าพระองค์ ทั้งหลาย ประชุมสนทนากันเมื่อกี้นี้นั้น ของดไว้ก่อน เรื่องนั้นพระผู้มีพระภาค จักได้ทรง สดับในภายหลังโดยไม่ยาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเวลาข้าพระองค์ ไม่ได้เข้าไปหา บริษัทหมู่นี้ บริษัทหมู่นี้ก็นั่งพูดกัน ถึงติรัจฉานกถาต่างเรื่อง แต่เมื่อเวลา ข้าพระองค์ เข้าไปหาบริษัทหมู่นี้ บริษัทหมู่นี้ ก็นั่งมองดูแต่หน้าข้าพระองค์ ด้วยมีความประสงค์ว่า ท่านอุทายี (พระสมณโคดม) ๑- จักภาษิตธรรมใดแก่เราทั้งหลาย เราทั้งหลายจัก ฟังธรรมนั้น ดังนี้
และเมื่อเวลาพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาบริษัทหมู่นี้ ทั้งข้าพระองค์ และ บริษัทหมู่นี้ ก็นั่งมองดูพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ด้วยมีประสงค์ว่า พระผู้มีพระภาค จักทรงภาษิตธรรมใดแก่เราทั้งหลาย เราทั้งหลายจักฟังธรรมนั้น.
ดูกรอุทายี ถ้าอย่างนั้น ปัญหาจงปรากฏแก่ท่าน ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ธรรมเทศนา ปรากฏแก่เรา.
[๓๗๐] ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ หลายวันมาแล้ว ท่านผู้สัพพัญญูสัพพทัสสาวี (ผู้สารพัดรู้สารพัดเห็น) มาปฏิญาณความรู้ความเห็น อันไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปหยุดอยู่ หลับและตื่น ความรู้ความเห็น ปรากฏอยู่เสมอ ร่ำไป ดังนี้ ท่านผู้นั้นถูกข้าพระองค์ ถามปัญหาปรารภขันธ์ ส่วนอดีต ก็เอาเรื่องอื่นมาพูด กลบเกลื่อน พูดเฉไปเสียนอกเรื่อง ได้ทำความโกรธ โทสะ และความไม่พอใจให้ปรากฏ ข้าพระองค์เกิดสติ ปรารภพระผู้มีพระภาคเท่านั้นว่าโอ ผู้ฉลาดในธรรมเหล่านี้ จะเป็นผู้ใด เล่า ต้องเป็นพระผู้มีพระภาคเป็นแน่ ต้องเป็นพระสุคตเป็นแน่.
ภ. ดูกรอุทายี ก็ท่านผู้สารพัด รู้สารพัดเห็นนั้น มาปฏิญาณความรู้ความเห็น อันไม่มีส่วนเหลือ ... ได้ทำความโกรธ โทสะ และความไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นใครเล่า?
นิครนถ์นาฏบุตร พระเจ้าข้า.
@๑. คำนี้มีในบาลี แต่น่าจะเป็นคำเกิน
3
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
ว่าด้วยขันธ์ส่วนอดีตและอนาคต
[๓๗๑] ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ ชาติหนึ่ง บ้างสองชาติบ้าง ฯลฯ พึงระลึกถึงชาติ ก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ ส่วนอดีตกะเรา หรือเรา ควรถามปัญหา ปรารภขันธ์ส่วนอดีตกะผู้นั้น ผู้นั้นจะพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหา ปรารภขันธ์ส่วนอดีต หรือเราจะพึงยังจิตของผู้นั้น ให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต.
ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ ส่วนอนาคตกะเรา หรือเราควรถามปัญหา ปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะผู้นั้น ผู้นั้นพึงยังจิต ของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ ส่วนอนาคต หรือเราพึงยังจิต ของผู้นั้น ให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต.
ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีต และขันธ์ส่วนอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดง ธรรม แก่ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้ จึงไม่มีเพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้แต่ด้วยอัตภาพของข้าพระองค์ ที่เป็นอยู่บัดนี้ ข้าพระองค์ยังไม่สามารถจะระลึกถึงได้ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ก็ไฉนจักระลึกชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง ฯลฯ จักระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเดี๋ยวนี้ แม้แต่ปังสุปีศาจ ข้าพระองค์ยังไม่เห็นเลย ไฉนจักเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ จักรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็คำที่พระผู้มีพระภาคตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า
ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีต และอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดงธรรม แก่ท่าน ว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุเกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี เพราะเหตุนี้ ดับ ผลนี้จึงดับ ดังนี้นั้น จะได้ปรากฏแก่ข้าพระองค์ โดยยิ่งกว่าประมาณ ก็หาไม่ ไฉนข้าพระองค์ จะพึงยังจิตของพระผู้มีพระภาค ให้ยินดี ด้วยการพยากรณ์ ปัญหา ในลัทธิอาจารย์ของตนได้เล่า.
4
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
เรื่องวรรณ
[๓๗๒] ดูกรอุทายี ก็ในลัทธิอาจารย์ของตน แห่งท่านมีว่าอย่างไร?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในลัทธิอาจารย์ของตน แห่งข้าพระองค์ มีอยู่อย่างนี้ว่า นี้เป็นวรรณอย่างยิ่ง นี้เป็นวรรณอย่างยิ่ง.
ดูกรอุทายี ในลัทธิอาจารย์ของตน แห่งท่านที่มีอยู่อย่างนี้ว่า นี้เป็นวรรณ อย่างยิ่ง นี้เป็นวรรณอย่างยิ่ง ก็วรรณอย่างยิ่งเป็นไฉน?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณใดไม่มีวรรณอื่น ยิ่งกว่าหรือประณีตกว่า วรรณนั้น เป็นวรรณอย่างยิ่ง.
ดูกรอุทายี ก็วรรณไหนเล่าที่ไม่มีวรรณอื่นยิ่งกว่าหรือประณีตกว่า?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณใดไม่มีวรรณอื่น ยิ่งกว่าหรือประณีตกว่า วรรณนั้น เป็นวรรณอย่างยิ่ง.
[๓๗๓] ดูกรอุทายี ท่านกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณใดไม่มีวรรณอื่น ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณนั้นเป็นวรรณอย่างยิ่ง ดังนี้ วาจานั้นของท่าน พึงขยายออก อย่างยืดยาว แต่ท่านไม่ชี้วรรณนั้นได้.
ดูกรอุทายี เปรียบเหมือนบุรุษ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราปรารถนารักใคร่ นางชนปทกัลยาณีในชนบทนี้. คนทั้งหลายพึงถามเขาอย่างนี้ว่า พ่อ นางชนปทกัลยาณี ที่พ่อปรารถนารักใคร่ นั้นพ่อรู้จักหรือว่า เป็นนางกษัตริย์ พราหมณี แพศย์ ศูทร. เมื่อเขา ถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่าหามิได้.
คนทั้งหลายพึงถามเขาว่า พ่อ นางชนปทกัลยาณี ที่พ่อปรารถนารักใคร่นั้น พ่อรู้จักหรือว่านางมีวรรณอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่า หามิได้.
คนทั้งหลายพึงถามเขาว่า พ่อ นางชนปทกัลยาณี ที่พ่อปรารถนารักใคร่นั้น พ่อรู้จักหรือว่า สูง ต่ำ หรือพอสันทัดดำ ขาว หรือมีผิวคล้ำ อยู่ในบ้าน นิคม หรือนครโน้น.
เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่าหามิได้. คนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาว่า พ่อปรารถนารักใคร่หญิงที่พ่อไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหรือ.
เมื่อเขาถูกถามดังนี้แล้ว เขาพึงตอบว่าถูกแล้ว ดังนี้.
ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้ คำกล่าวของ บุรุษนั้น ถึงเป็นคำใช้ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?
แน่นอน พระเจ้าข้า เมื่อเป็นเช่นนั้น คำกล่าวของบุรุษนั้น ถึงความเป็นคำ ใช้ไม่ได้.
ดูกรอุทายี ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน กล่าวอยู่แต่ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วรรณใด ไม่มีวรรณอื่นยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า วรรณนั้นเป็นวรรณอย่างยิ่ง ดังนี้ แต่ไม่ชี้
วรรณนั้น.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยมนายช่างเจียระไนดีแล้ว เขาวางไว้ที่ผ้ากัมพลแดง ย่อมสว่างไสว ส่องแสงเรืองอยู่ ฉันใดตัวตนก็มีวรรณ ฉันนั้น เมื่อตายไปย่อมเป็นของไม่มีโรค.
[๓๗๔] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน แก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ ๘ เหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว เขาวางไว้ที่ผ้ากัมผลแดง ย่อมสว่างไสวส่องแสงเรืองอยู่ ๑ แมลงหิ่งห้อยในเวลาเดือนมืดในราตรี ๑ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ วรรณไหนจะงาม และประณีตกว่ากัน?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ แมลงหิ่งห้อยในเวลาเดือนมืด ในราตรีนี้งามกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย.
[๓๗๕] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน แมลงหิ่งห้อยในเวลา เดือนมืดในราตรี ๑ ประทีปน้ำมัน ในเวลาเดือนมืดในราตรี ๑ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ วรรณไหน จะงามและประณีตกว่ากัน?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ ประทีปน้ำมันในเวลาเดือนมืด ในราตรีนี้งามกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย.
[๓๗๖] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ประทีปน้ำมันในเวลา เดือนมืด ในราตรี ๑ กองไฟใหญ่ในเวลาเดือนมืดในราตรี ๑ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ วรรณไหน จะงามและประณีตกว่ากัน?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ กองไฟใหญ่ในเวลาเดือนมืด ในเวลาราตรีนี้ งามกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย.
[๓๗๗] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กองไฟในเวลาเดือนมืด ในราตรี ๑ ดาวพระศุกร์ในอากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ๑ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ วรรณไหนจะงาม และประณีตกว่ากัน?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ ดาวพระศุกร์ในอากาศ อันกระจ่าง ปราศจากเมฆ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรีนี้ งามกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย.
[๓๗๘] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ดาวพระศุกร์ในอากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ๑ ดวงจันทร์ในเวลาเที่ยงคืนตรง ในอากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆ ในวันอุโบสถที่ ๑๕ (เพ็ญกลางเดือน) ๑ บรรดาวรรณ ทั้งสองนี้ วรรณไหนจะงาม และประณีตกว่านั้น?
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ ดวงจันทร์ในเวลาเที่ยงคืนตรง ในอากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆ ในวันอุโบสถที่ ๑๕ นี้งามกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย.
[๓๗๙] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ดวงจันทร์ ในเวลา เที่ยงคืน ตรงในอากาศอันกระจ่า งปราศจากเมฆในวันอุโบสถ ที่ ๑๕ ๑ ดวงอาทิตย์ ในเวลาเที่ยงตรงในอากาศ อันกระจ่างปราศจากเมฆ ในสรทสมัยเดือนท้ายฤดูฝน ๑ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ วรรณไหนจะงามกว่า และประณีตกว่ากัน?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรดาวรรณทั้งสองนี้ ดวงอาทิตย์ในเวลาเที่ยงตรง ในอากาศอันกระจ่างปราศจากเมฆ ในสรทสมัยเดือนท้ายฤดูฝนนี้ งามกว่าด้วย ประณีตกว่าด้วย.
ดูกรอุทายี เทวดาเหล่าใด ย่อมสู้แสงพระจันทร์พระอาทิตย์ไม่ได้ เทวดา เหล่านั้น มีมากมีมากยิ่งกว่าเทวดา พวกที่สู้แสงพระจันทร์ และพระอาทิตย์ได้ เรารู้ ทั่วถึงเทวดาพวกนั้นอยู่ เราก็ไม่กล่าวว่า วรรณใดไม่มีวรรณอื่นยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ชื่อว่ากล่าวอยู่ว่า วรรณใดที่เลวกว่าและเศร้าหมองกว่าแมลง หิ่งห้อย วรรณนั้นเป็นวรรณอย่างยิ่ง ดังนี้ แต่ท่านไม่ชี้วรรณนั้นเท่านั้น.
พระผู้มีพระภาคทรงค้านเรื่องนี้เสียแล้ว พระสุคตเจ้าทรงค้านเรื่องนี้เสียแล้ว.
ดูกรอุทายี ทำไมท่านจึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาค ทรงค้านเรื่องนี้เสียแล้ว พระสุคต ทรงค้านเรื่องนี้เสียแล้วดังนี้เล่า?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในลัทธิอาจารย์ของตน ของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีอยู่อย่างนี้ว่าวรรณนี้เป็นวรรณอย่างยิ่ง วรรณนี้เป็นวรรณอย่างยิ่งดังนี้ ข้าพระองค์ เหล่านั้น เมื่อถูกพระผู้มีพระภาคสอบสวน ซักไซ้ ไล่เรียง ในลัทธิอาจารย์ของตน ก็เป็นคนว่างเปล่า ผิดไปหมด.
5
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
ปัญหาเรื่องสุข-ทุกข์
[๓๘๐] ดูกรอุทายี โลกมีความสุขโดยส่วนเดียว มีอยู่หรือ ปฏิปทาที่มีเหตุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลกที่มีสุข โดยส่วนเดียว มีอยู่หรือ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในลัทธิอาจารย์ของตน ของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีอยู่อย่างนี้ว่าโลกมีความสุข โดยส่วนเดียวมีอยู่ ปฏิปทาที่มีเหตุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีความสุขโดยส่วนเดียวก็มีอยู่.
ดูกรอุทายี ก็ปฏิปทาที่มีเหตุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขอย่างเดียวนั้น เป็นไฉน? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลบางคนในโลกนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการ ฆ่าสัตว์ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจาก การประพฤติผิดในกาม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ สมาทานคุณ คือ ตบะ อย่างใดอย่างหนึ่งประพฤติอยู่ นี้แลปฏิปทาที่มีเหตุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขโดย ส่วนเดียว พระเจ้าข้า.
[๓๘๑] ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยที่บุคคล ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์นั้น ตนมีสุขโดยส่วนเดียว หรือมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง?
มีสุขบ้างทุกข์บ้าง พระเจ้าข้า.
ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยที่ตนละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์นั้น ตนมีสุขโดยส่วนเดียว หรือมีสุขบ้างทุกข์บ้าง?
มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง พระเจ้าข้า.
ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยที่ตน ละการประพฤติผิด ในกาม เว้นจากการประพฤติผิดในกามนั้น ตนมีสุขโดยส่วนเดียว หรือมีสุขบ้างทุกข์บ้าง?
มีสุขบ้างทุกข์บ้าง พระเจ้าข้า.
ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยที่ตนละการพูดเท็จ เว้นขาด จากการพูดเท็จนั้น ตนมีสุขโดยส่วนเดียว หรือมีสุขบ้างทุกข์บ้าง?
มีสุขบ้างทุกข์บ้าง พระเจ้าข้า.
ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยที่ตนสมาทานคุณ คือตบะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ประพฤติอยู่นั้น ตนมีสุขโดยส่วนเดียว หรือมีสุขบ้างทุกข์บ้าง?
มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง พระเจ้าข้า.
ดูกรอุทายี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การจะอาศัยปฏิปทา อันมีทั้งสุข และทุกข์เกลื่อนกล่น แล้วทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขโดยส่วนเดียว มีอยู่บ้างหรือหนอ?
พระผู้มีพระภาค ทรงคัดค้านเรื่องนี้เสียแล้ว พระสุคตทรงคัดค้านเรื่องนี้เสียแล้ว.
ดูกรอุทายี ทำไมท่านจึงกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคทรง คัดค้านเรื่องนี้ เสียแล้ว พระสุคตทรงคัดค้านเรื่องนี้เสียแล้ว ดังนี้ เล่า?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในลัทธิอาจารย์ของตน ของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีอยู่อย่างนี้ว่า โลกมีสุขโดยส่วนเดียวมีอยู่ ปฏิปทาที่มีเหตุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขโดยส่วนเดียวก็มีอยู่ ดังนี้.
ข้าพระองค์เหล่านั้น เมื่อถูกพระผู้มีพระภาคสอบสวน ซักไซ้ ไล่เลียง ในลัทธิ อาจารย์ของตน ก็เป็นคนว่างเปล่า ผิดไปหมด ข้าแต่พระองค์เจริญ ก็โลกซึ่งมีความสุข โดยส่วนเดียว มีอยู่หรือปฏิปทา ที่มีเหตุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลกที่มีสุข โดยส่วนเดียว มีอยู่หรือ?
ดูกรอุทายี โลกมีสุขโดยส่วนเดียวมีอยู่ ปฏิปทาที่มีเหตุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขอย่างเดียวให้แจ้งชัดก็มีอยู่.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปฏิปทาที่มีเหตุเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขโดยส่วนเดียวนั้น เป็นไฉน?
6
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
ฌาน ๔
[๓๘๒] ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิด แต่วิเวกอยู่ ๑ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ๑
มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะและเสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะ ทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ๑ นี้แลปฏิปทาที่มี เหตุเพื่อให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีสุขโดยส่วนเดียว.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำไมหนอ ปฏิปทานั้นจึงเป็นปฏิปทา ที่มีเหตุเพื่อ ทำให้แจ้ง ซึ่งโลก ที่มีสุขโดยส่วนเดียวได้ เพราะโลกมีความสุขโดยส่วนเดียว เป็นอันภิกษุนั้น ทำให้แจ้งชัดด้วยปฏิปทามีประมาณเท่านี้?
ดูกรอุทายี โลกมีความสุขส่วนเดียว จะเป็นอันภิกษุนั้น ทำให้แจ้งชัดด้วย ปฏิปทา มีประมาณเท่านี้หามิได้แล แต่ปฏิปทานั้นมีเหตุทีเดียว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีความสุขโดยส่วนเดียวได้.
[๓๘๓] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว บริษัทของสกุลุทายีปริพาชก ได้บันลือเสียงสูงเสียงใหญ่ กันเอ็ดอึงว่า เราทั้งหลายพร้อมทั้งอาจารย์ จะได้ยินดี ในเหตุนี้ หามิได้ เราทั้งหลายพร้อมทั้งอาจารย์ จะได้ยินดีในเหตุนี้หามิได้ เราทั้งหลาย ยังไม่รู้ชัด ซึ่งปฏิปทาที่ยิ่งไปกว่านี้ ลำดับนั้นสกุลุทายีปริพาชก ห้ามปริพาชกเหล่านั้น ให้สงบเสียงแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ด้วยข้อปฏิบัติ เพียงเท่าไร จึงเป็นอันภิกษุนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลก ที่มีความสุขโดยส่วนเดียวได้เล่า?
[๓๘๔] ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ยืนด้วยกันเจรจากัน สนทนากัน กับเทวดาทั้งหลายผู้เข้าถึงโลก ที่มีสุขโดยส่วนเดียว เหล่านั้นได้ ดูกรอุทายีด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล เป็นอันภิกษุนั้นทำให้แจ้ง ซึ่งโลกที่มี ความสุขโดยส่วนเดียวได้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายย่อมประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค เพราะเหตุจะทำให้แจ้งซึ่งโลกที่มีสุขโดยส่วนเดียวนี้ โดยแท้หรือ?
ดูกรอุทายี ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุจะทำให้แจ้ง ซึ่งโลกที่มีสุขโดยส่วนเดียวนี้ หามิได้ ดูกรอุทายี ธรรมเหล่าอื่นที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลายประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัดนั้น ยังมีอยู่.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรมทั้งหลาย ที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ที่ภิกษุ ทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค เพราะเหตุจะทำให้แจ้งชัดนั้นเป็นไฉน?
[๓๘๕] ดูกรอุทายี พระตถาคตเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของพวกเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน แล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม (พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญา อันยิ่งของพระองค์เองแล้ว
ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม มีคุณอันงาม ในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะ ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น แล้วได้ศรัทธา ในพระตถาคต เขาประกอบด้วยศรัทธานั้น ย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง
การที่บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดย ส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร ์ออกบวชเป็นบรรพชิต
สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและ หนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังใน พระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นในโทษเพียงเล็กน้อย ว่าเป็นภัยสมาทานศึกษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็น กุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ)ฯลฯ
ภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ เป็นเครื่องทำ ปัญญาให้ทุรพลได้แล้ว เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้แล เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัด.
ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุข เกิดแต่สมาธิอยู่ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้แล เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัด.
ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุข ด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้แล เป็นธรรมที่ยิ่งกว่า และประณีต กว่า ที่ภิกษุทั้งหลายประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัด.
ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะ ละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติ บริสุทธิ์อยู่ ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้แล เป็นธรรมที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติ พรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัด.
7
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
ญาณ ๓
[๓๘๖] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก อุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มจิตไปเพื่อ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ ชาติหนึ่ง บ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้ง อาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้แล เป็นธรรมที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ ในเราเพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัด.
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติ และอุปบัติ ของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ (จุตูปปาตญาณ) อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของ มนุษย์ ฯลฯ เธอย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้ เป็นธรรมที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่าที่ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุ ที่จะทำให้แจ้งชัด.
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อ อาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะนี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดูกรอุทายี ธรรมแม้นี้แล เป็นธรรม ที่ยิ่งกว่า และประณีตกว่า ที่ภิกษุทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ในเรา เพราะเหตุที่จะทำให้แจ้งชัด.
8
(จูฬสกุลุทายิสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันต หน้าที่ ๒๗๐-๒๘๑
สกุลุทายีขอบวช
[๓๘๗] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว สกุลุทายีปริพาชก กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคล หงายของ ที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา อุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด.
[๓๘๘] เมื่อสกุลุทายีปริพาชก กราบทูลอย่างนี้แล้ว บริษัทของสกุลุทายี ปริพาชกได้ กล่าวห้าม สกุลุทายีปริพาชกว่า ท่านอุทายี ท่านอย่าประพฤติพรหมจรรย์ ในพระสมณโคดมเลยท่านอุทายี ท่านเป็นอาจารย์ อย่าอยู่เป็นอันเตวาสิกเลย เปรียบเหมือน หม้อน้ำแล้ว จะพึงเป็น จอกน้อย ลอยในน้ำ ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ ก็จักมีแก่ ท่านอุทายี ฉันนั้น ท่านอุทายี ท่านอย่าประพฤติพรหมจรรย์ ในพระสมณโคดมเลย ท่านอุทายีเป็นอาจารย์ อย่าอยู่เป็นอันเตวาสิกเลย.
ก็เรื่องนี้ เป็นอันยุติว่า บริษัทของสกุลุทายีพาชก ได้ทำสกุลุทายีปริพาชก ให้เป็นอันตรายในพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ จูฬสกุลุทายิสูตร ที่ ๙.
|