1
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
๕. โพธิราชกุมารสูตร
เรื่องโพธิราชกุมาร
[๔๘๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬามิคทายวัน เขตนครสุงสุมารคิระ ในภัคคชบท. ก็สมัยนั้น ปราสาทชื่อโกกนุท ของพระราชกุมารพระนามว่า โพธิ สร้างแล้วใหม่ๆสมณพราหมณ์ หรือมนุษย์คนใดคนหนึ่งยังไม่ได้อยู่.
ครั้งนั้น โพธิราชกุมาร เรียกมาณพนามว่าสัญชิกาบุตรมาว่า มานี่แน่ เพื่อน สัญชิกาบุตร ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้ว จงถวายบังคมพระบาท ทั้งสอง ของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า ทูลถามพระผู้มีพระภาคผู้มีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ ตามคำของเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โพธิราชกุมาร ถวายบังคมพระบาทของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงพระผู้มีพระภาค ผู้มีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรง กระปรี้ กระเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ และจงทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มพระภาคกับภิกษุสงฆ์ จงรับภัตตาหาร เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ ของโพธิราชกุมาร เถิด.
มาณพสัญชิกาบุตรรับสั่งโพธิราชกุมารแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๔๘๗] ครั้นมาณพสัญชิกาบุตรนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โพธิราชกุมารถวายบังคมพระบาท ด้วยเศียรเกล้า และรับสั่งถามถึงพระโคดมผู้เจริญ ผู้มีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า ทรงมีพระกำลังทรงพระสำราญ และรับสั่งมาอย่างนี้ว่า ขอพระโคดม ผู้เจริญกับพระภิกษุสงฆ์ จงรับภัตตาหารเพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ของโพธิราชกุมารเถิด.
พระผู้มีพระภาคทรงรับ ด้วยพระอาการดุษณีภาพ.ครั้งนั้น มาณพสัญชิกาบุตร ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกจากอาสนะเข้าไปเฝ้า โพธิราชกุมาร แล้วทูลว่า เกล้ากระหม่อมได้กราบทูลพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น ตามรับสั่งของ พระองค์ แล้ว และพระสมณโคดมทรงรับนิมนต์แล้ว.
พอล่วงราตรีนั้นไป โพธิราชกุมาร รับสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉัน อย่าง ประณีต ในนิเวศน์ และรับสั่งให้เอาผ้าขาวปูลาดโกกนุท ปราสาทตลอดถึงบันไดขั้นสุด แล้วตรัสเรียกมาณพสัญชิกาบุตรมาว่า มานี่แน่ เพื่อนสัญชิการบุตรท่านจงเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ยังที่ประทับแล้ว จงกราบทูลภัตกาลว่า ได้เวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหาร สำเร็จแล้ว.
มาณพสัญชิกาบุตร รับสั่งโพธิราชกุมารแล้ว กราบทูลภัตกาลว่า ได้เวลาแล้ว พระโคดมผู้เจริญ ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.พระพุทธเจ้าไม่ทรงเหยียบผ้าขาว
[๔๘๘] ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรง ครองอันตรวาสก แล้วทรง ถือ บาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ ของโพธิราชกุมาร.
สมัยนั้น โพธิราชกุมารประทับยืน คอยรับเสด็จพระผู้มีพระภาค อยู่ที่ภายนอกซุ้มประตู. ได้ทรงเห็นพระผู้มีพระภาค กำลังเสด็จมาแต่ไกล จึงเสด็จออก ต้อนรับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วเสด็จนำหน้าเข้าไปยังโกกนุทปราสาท.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคหยุดประทับอยู่ที่บันไดขั้นสุด.
โพธิราชกุมารจึงกราบทูลว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาค ทรงเหยียบผ้าขาวไปเถิด พระเจ้าข้า ขอเชิญพระสุคต เจ้าทรงเหยียบผ้าขาวไปเถิดพระเจ้าข้า ข้อนี้จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่หม่อมฉัน ตลอดกาลนาน.
เมื่อโพธิราชกุมารกราบทูลเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งเสีย.
แม้ครั้งที่สอง โพธิราชกุมารก็กราบทูลว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาค ทรงเหยียบ ผ้าขาว ไปเถิด พระเจ้าข้า ขอเชิญสุคตเจ้า ทรงเหยียบผ้าขาวไปเถิด พระเจ้าข้า ข้อนี้ จะพึง เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่หม่อมฉันตลอดกาลนาน.
เมื่อโพธิราชกุมาร ทูลเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคทรงนิ่งเสีย
แม้ครั้งที่สาม โพธิราชกุมารก็กราบทูลว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาค ทรงเหยียบ ผ้าขาวไปเถิด พระเจ้าข้า ขอเชิญพระสุคตเจ้า ทรงเหยียบผ้าขาวไปเถิด พระเจ้าข้า ข้อนี้จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่หม่อมฉัน ตลอดกาลนาน.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทอดพระเนตร ท่านพระอานนท์.
ท่านพระอานนท์ ได้ถวายพระพรว่า ดูกรพระราชกุมาร จงเก็บผ้าขาวเสียเถิด พระผู้มีพระภาค ไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้าพระตถาคตเจ้า ทรงแลดูประชุมชน ผู้เกิดใน ภายหลัง
(พระวินัย) ทรงห้ามเหยียบแผ่นผ้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงเหยียบผืนผ้าที่ปูไว้ รูปใดเหยียบ ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์ต้องการมงคล เราอนุญาตให้ผู้ที่ถูกคฤหัสถ์ขอร้อง ให้เหยียบเพื่อความเป็นมงคลเหยียบผืนผ้าได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เหยียบผ้าสำหรับเช็ดเท้าที่ล้างแล้ว |
|
โพธิราชกุมารรับสั่งให้เก็บผ้า แล้วให้ปูลาดอาสนะที่โกกนุทปราสาทชั้นบน. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเ สด็จขึ้นโกกนุทปราสาท แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัด ไว้ถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.
โพธิราชกุมาร ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำ เพียงพอ ด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์.
ครั้นพระผู้มี พระภาคเสวยเสร็จ วางพระหัตถ์จากบาตรแล้ว. โพธิราชกุมาร ถือเอา อาสนะต่ำแห่งหนึ่งประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูล พระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหม่อมฉัน มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความสุขอันบุคคล จะพึงถึงได้ด้วยความสุขไม่มี ความสุขอันบุคคลจะพึงถึงได้ ด้วยความทุกข์แล.
2
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
การเข้าไปหาอาฬารดาบส
[๔๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราชกุมาร ก่อนแต่ตรัสรู้ แม้เมื่ออาตมภาพ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ก็มีความคิดเห็นว่า ความสุขอันบุคคลจะ พึงถึงได้ด้วย ความสุข ไม่มีความสุขอันบุคคล จะพึงถึงได้ด้วยทุกข์แล
ดูกรราชกุมาร สมัยต่อมา เมื่ออาตมภาพยังเป็นหนุ่มมีผมดำสนิท ประกอบด้วย วัยกำลังเจริญ เป็นปฐมวัย เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนา (จะให้บวช)ร้องไห้น้ำตานองหน้า อยู่ ได้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
ครั้นบวชอย่างนี้แล้ว แสวงหาว่าอะไรจะเป็นกุศล ค้นคว้าสันติวรบทอันไม่มี สิ่งอื่น ยิ่งขึ้นไปกว่า จึงได้เข้าไปอาฬารดาบส กาลามโคตร แล้วได้กล่าวว่า ดูกรท่าน กาลามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้.
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพกล่าวเช่นนี้แล้ว อาฬารดาบสกาลามโคตร ได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ท่านจงอยู่เถิด ธรรมนี้เป็นเช่นเดียวกับธรรมที่บุรุษผู้ฉลาด พึงทำลัทธิของอาจารย์ตน ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วบรรลุไม่นานเลย อาตมภาพ เล่าเรียนธรรมนั้น ได้โดยฉับพลันไม่นานเลย.
กล่าวญาณวาทและเถรวาท ได้ด้วยอาการเพียงหุบปากเจรจาเท่านั้น อนึ่ง ทั้งอาตมภาพและผู้อื่น ปฏิญาณได้ว่าเรารู้เราเห็น. อาตมภาพนั้นมีความคิดว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร จะประกาศได้ว่า เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุถึงธรรมนี้ ด้วยเหตุเพียงศรัทธาเท่านั้น ดังนี้ ก็หาไม่ ที่จริงอาฬารดาบส กาลามโคตรรู้เห็นธรรมนี้อยู่.
ครั้นแล้วอาตมภาพ เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรแล้วได้ถามว่า ดูกรท่านกาลามะ ท่านทำธรรมนี้ให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุแล้วประกาศ ให้ทราบ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ? เมื่ออาตมภาพกล่าวเช่นนี้แล้ว อาฬารดาบส กาลามโคตรได้ ประกาศอากิญจัญญายตนะ.
อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้น มีศรัทธา หามิได้ ถึงเราก็มีศรัทธา อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้น มีความเพียร ... มีสติ ... มีสมาธิ ... มีปัญญา หามิได้ถึงเราก็มีความเพียร ... มีสติ ... มีสมาธิ ... มีปัญญา อย่ากระนั้นเลย เราพึงตั้งความเพียรเพื่อทำธรรมที่อาฬารดาบส กาลามโคตรประกาศว่า ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว เข้าถึงอยู่นั้นให้แจ้งเถิด.
อาตมภาพนั้นทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วบรรลุธรรมนั้นโดย ฉับพลัน ไม่นานเลย.
ครั้นแล้วได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรแล้วได้ถามว่า ดูกรท่าน กาลามะ ท่านทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุธรรมนี้ประกาศให้ทราบ ด้วยเหตุ เพียงเท่านี้หรือ?
อาฬารดาบส กาลามโคตรตอบว่า ดูกรอาวุโส เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งเองบรรลุธรรมนี้แล้วประกาศให้ทราบ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
อาตมภาพได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส แม้เราก็ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งเอง บรรลุธรรมนี้แล้วประกาศ ให้ทราบด้วยเหตุเพียงเท่านี้.
อาฬารดาบส กาลามโคตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส เป็นลาภของเราทั้งหลายหนอ เราทั้งหลายได้ดีแล้ว ที่เราทั้งหลาย ได้พบท่านสพรหมจารีเช่นท่าน เราทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุธรรมใดแล้วประกาศให้ทราบ ท่านก็ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งเอง บรรลุธรรมนั้นอยู่ท่าน ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุธรรมใด เราก็ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองบรรลุธรรมนั้น แล้วประกาศให้ทราบ ดังนี้ เรารู้ธรรมใดท่านก็รู้ธรรมนั้น ท่านรู้ธรรมใด เราก็รู้ธรรมนั้น ดังนี้ เราเช่นใด ท่านก็เช่นนั้น ท่านเช่นใดเราก็เช่นนั้น ดังนี้ ดูกรอาวุโส บัดนี้ เราทั้งสองจงมาอยู่ช่วยกันบริหาร หมู่คณะเถิด.
ดูกรราชกุมารอาฬารดาบส กาลามโคตร เป็นอาจารย์ของอาตมภาพ ยังตั้งให้ อาตมภาพผู้เป็นอันเตวาสิกไว้เสมอตน และยังบูชาอาตมภาพด้วยการบูชาอย่างยิ่ง ด้วยประการฉะนี้.
อาตมภาพนั้นมีความคิดเห็นว่า ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย กำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ย่อมเป็นไป เพียง ให้อุปบัติ ในอากิญจัญญายตนพรหมเท่านั้น. อาตมภาพไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจาก ธรรมนั้น แล้วหลีกไปเสีย.
3
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
การเข้าไปหาอุทกดาบส
[๔๙๐] ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพแสวงหาอะไรเป็นกุศล ค้นคว้าสันติวรบท อันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งไปกว่า จึงเข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้วได้กล่าวว่า ดูกรท่านรามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้.
เมื่ออาตมภาพกล่าวเช่นนี้แล้ว อุทกดาบส รามบุตรได้กล่าวว่า อยู่เถิดท่าน บุรุษผู้ฉลาดพึงทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ไม่นานเลยก็บรรลุลัทธิของอาจารย์ ตนแล้ว อยู่ในธรรมใด ธรรมนี้เช่นนั้น.
อาตมภาพเล่าเรียนธรรมนั้นได้โดยฉับพลันไม่นานเลย.
กล่าวญาณวาทและเถรวาท ได้ด้วยอาการเ พียงหุบปากเจรจาเท่านั้น อนึ่ง ทั้งอาตมภาพและผู้อื่นปฏิญาณได้ว่า เรารู้เราเห็น.
อาตมภาพมีความคิดเห็นว่า ท่านรามบุตรจะได้ประกาศว่า เราทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุถึงธรรมนี้ ด้วยอาการเพียงศรัทธาเท่านั้น ดังนี้ ก็หาไม่ที่จริง ท่านรามบุตรรู้เห็นธรรมนี้อยู่.
ครั้นแล้วอาตมภาพจึงเข้าไปหาอุทกดาบสรามบุตร แล้วได้ถามว่า ดูกรท่าน รามะ ท่านทำธรรมนี้ให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุแล้วประกาศให้ทราบด้วย เหตุเพียงเท่าไรหนอ.
เมื่ออาตมภาพกล่าวเช่นนี้ อุทกดาบส รามบุตรได้ประกาศเนวสัญญา นาสัญญายตนะ.
อาตมภาพมีความคิดเห็นว่าท่านรามะเท่านั้นมีศรัทธาหามิได้ ถึงเราก็มีศรัทธา ท่านรามะเท่านั้น มีความเพียร ... มีสติ ... มีสมาธิ ... มีปัญญาหามิได้ ถึงเราก็มีความ เพียร ...มีสติ ... มีสมาธิ ... มีปัญญา อย่ากระนั้นเลย เราพึงตั้งความเพียรเพื่อทำธรรม ที่ท่านรามะประกาศว่า ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งเองแล้วบรรลุธรรมนั้นให้แจ้งเถิด.
อาตมภาพได้ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วบรรลุธรรมนั้นโดยฉับพลัน ไม่นานเลย.
ครั้นแล้วอาตมภาพเข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้วได้ถามว่า ดูกรท่านรามะ ท่านทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุธรรมนี้แล้ว ประกาศให้ทราบด้วยเหตุเพียง เท่านี้หรือ?
อุทกดาบส รามบุตรตอบว่า ดูกรอาวุโส เราทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุธรรมนี้แล้วประกาศ ให้ทราบด้วยเหตุเพียงเท่านี้.
อาตมภาพได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส แม้เราก็ทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุถึงธรรมนี้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้.
อุทกดาบส รามบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส เป็นลาภของเราทั้งหลาย เราทั้งหลาย ได้ดีแล้ว ที่เราทั้งหลาย ได้พบท่านสพรหมจารีเช่นท่าน รามะทำให้แจ้ง ชัดด้วยปัญญา อันยิ่งเอง บรรลุถึงธรรมใดแล้วประกาศให้ทราบ ท่านก็ทำให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่ง เอง บรรลุถึงธรรมนั้นอยู่ ท่านทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุถึงธรรมใด รามะ ก็ทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุถึงธรรมนั้น แล้วประกาศ ให้ทราบ ดังนี้ รามะรู้ยิ่งธรรมใด ท่านก็รู้ธรรมนั้น ท่านรู้ธรรมใดรามะก็รู้ยิ่งธรรมนั้น ดังนี้ รามะเช่นใด ท่านก็เช่นนั้น ท่านเช่นใด รามะก็เช่นนั้น ดังนี้ดูกรอาวุโส บัดนี้เชิญท่านมา บริหาร หมู่คณะ นี้เถิด.
ดูกรราชกุมาร อุทกดาบสรามบุตร เป็นเพื่อนสพรหมจารีของอาตมภาพ ตั้งอาตมภาพไว้ในตำแหน่งอาจารย์ และบูชาอาตมภาพด้วยการบูชาอย่างยิ่ง.
อาตมภาพ มีความคิดเห็นว่า ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงให้อุปบัต ิในเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมเท่านั้น.
อาตมภาพไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้นหลีกไป.
[๔๙๑] ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพแสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นคว้า สันติวรบทอันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งขึ้นไปกว่า เที่ยวจาริกไปในมคธชนบท โดยลำดับ บรรลุถึง อุรุเวลาเสนานิคม.ณ ที่นั้น อาตมภาพได้เห็นภาคพื้นน่ารื่นรมย์ มีไพรสณฑ์น่าเลื่อมใส มีแม่น้ำไหลอยู่ น้ำเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ และมีโคจรคามโดยรอบ.
อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่าภาคพื้นน่ารื่นรมย์หนอ ไพรสณฑ์ ก็น่าเลื่อมใส แม่น้ำก็ไหล น้ำเย็นจืดสนิท ท่าน้ำก็ราบเรียบน่ารื่นรมย์ และโคจรคามก็โดยรอบ สถานที่ เช่นนี้ สมควรเป็นที่ตั้งความเพียร ของกุลบุตรผู้ต้องการความเพียรหนอ
ดูกรราชกุมาร อาตมภาพนั่งอยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง ด้วยคิดเห็นว่า สถานที่เช่นนี้ สมควร เป็นที่ทำความเพียร.
4
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
อุปมา ๓ ข้อ
[๔๙๒] ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้น อุปมาสามข้ออันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ได้เคย ฟังมา ในกาลก่อนมาปรากฏแก่อาตมภาพ.
๑. เปรียบเหมือนไม้สดชุ่ม ด้วยยางทั้งตั้งอยู่ในน้ำ. ถ้าบุรุษพึงมาด้วยหวังว่า จักถือเอาไม้นั้นมาสีให้เกิดไฟ จักทำไฟให้ปรากฏ ดังนี้. ดูกรราชกุมาร พระองค์จะทรง เข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้สดชุ่มด้วยยาง ทั้งตั้งอยู่ในน้ำมาสีไฟ พึงให้ไฟเกิด พึงทำไฟให้ปรากฏได้บ้างหรือ?
โพธิราชกุมารทูลว่า ข้อนี้ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม้ยัง สดชุ่มด้วยยางทั้งตั้งอยู่ในน้ำ บุรุษนั้นก็จะพึงเหน็ดเหนื่อยลำบากกายเปล่า.
ดูกรราชกุมาร ข้อนี้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่งก็ฉันนั้น มีกายยังไม่หลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจในกาม ยังเสน่หาในกาม ยังหลงอยู่ในกาม ยังกระหายในกาม ยังมีความเร่าร้อนเพราะกาม ยังละไม่ได้ด้วยดี ยังให้สงบระงับ ไม่ได้ด้วยดี ในภายใน.
ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้จะได้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้าเผ็ดร้อน อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี ถึงจะไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้าเผ็ดร้อน อันเกิดเพราะ ความเพียรก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นเพื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ อันไม่มีธรรมอื่น ยิ่งกว่า.
ดูกรราชกุมาร อุปมาข้อที่หนึ่งนี้แล อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักไม่เคยได้ฟังมา ในกาลก่อน มาปรากฏแก่อาตมภาพ.
[๔๙๓] ดูกรราชกุมาร อุปมาข้อที่สอง อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่เคยได้ฟังมา ในกาลก่อน มาปรากฏแก่อาตมภาพ. เปรียบเหมือนไม้สดชุ่ม ด้วยยางตั้งอยู่บนบก ไกลน้ำ.
ถ้าบุรุษพึงมาด้วยหวังว่า จะเอาไม้นั้นมาสีให้เกิดไฟ จักทำไฟให้ปรากฏ. ดูกรราชกุมาร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้สดชุ่มด้วยยาง ตั้งอยู่บนบกไกลน้ำมาสีไฟ พึงให้ไฟเกิดพึงทำไฟให้ปรากฏได้บ้างหรือ?
ข้อนี้ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม้นั้นยังสดชุ่มด้วยยาง แม้จะตั้งอยู่บนบกไกลน้ำ บุรุษนั้นก็จะพึงเหน็ดเหนื่อยลำบากกายเปล่า.
ดูกรราชกุมาร ข้อนี้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีกายหลีก ออกจากกาม แต่ยังมีความพอใจในกาม ยังเสน่หาในกาม ยังหลงอยู่ในกาม มีความ กระหายในกาม มีความเร่าร้อนเพราะกาม ยังละไม่ได้ด้วยดี ยังให้สงบระงับไม่ได้ด้วยดี ในภายใน.
ท่านสมณ-*พราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้จะได้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้าเผ็ดร้อน อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี ถึงแม้จะไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้าเผ็ดร้อน อันเกิดเพราะ ความเพียรก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นเพื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ อันไม่มีธรรมอื่น ยิ่งกว่า.
ดูกรราชกุมาร อุปมาข้อที่สองนี้ อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏแก่อาตมภาพ.
[๔๙๔] ดูกรราชกุมาร อุปมาข้อที่สาม อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่เคยได้ฟังมา ในกาลก่อน มาปรากฏแก่อาตมภาพ เปรียบเหมือนไม้แห้งเกราะทั้งตั้งอยู่บนบกไกลน้ำ. ถ้าบุรุษพึงมาด้วยหวังว่า จักเอาไม้นั้นมาสีให้ไฟเกิด จักทำไฟให้ปรากฏ ดังนี้.
ดูกรราชกุมาร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้แห้ง เกราะทั้งตั้งอยู่บนบกไกลน้ำนั้นมาสีไฟ พึงให้ไฟเกิด พึงทำให้ไฟปรากฏได้บ้างหรือ?
อย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม้นั้นแห้งเกราะ และทั้งตั้งอยู่ บนบก
ไกลน้ำ
ดูกรราชกุมาร ข้อนี้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ฉันนั้นแล มีกายหลีกออกจากกามแล้ว ไม่มีความพอใจในกาม ไม่เสน่หาในกาม ไม่หลงอยู่ในกาม ไม่ระหายในกาม ไม่เร่าร้อนเพราะกาม ละได้ด้วยดี ให้สงบระงับด้วยดีในภายใน ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถึงแม้จะได้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้าเผ็ดร้อนอันเกิดเพราะ ความเพียรก็ดี ถึงจะไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้าเผ็ดร้อน อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี ก็ควรเพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็น เพื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ อันไม่มีกรรมอื่นยิ่งกว่าได้.
ดูกรราชกุมาร อุปมาข้อที่สามนี้ อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่เคยได้ฟังมา ในกาลก่อน นี้แล มาปรากฏแก่อาตมภาพ.
ดูกรราชกุมาร อุปมาสามข้ออันน่าอัศจรรย์ ยิ่งนัก ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน เหล่านี้แล มาปรากฏแก่อาตมภาพ.
5
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา
[๔๙๕] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพมีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงกดฟัน ด้วยฟัน กดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต บีบให้แน่น ให้ร้อนจัด. แล้วอาตมภาพก็กดฟัน ด้วยฟันกดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต บีบให้แน่น ให้ร้อนจัด.
เมื่ออาตมภาพกดฟันด้วยฟัน กดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต บีบให้แน่น ให้เร่าร้อนอยู่ เหงื่อก็ไหลจากรักแร้. ดูกรราชกุมารเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงจับบุรุษ มีกำลังน้อยกว่า ที่ศีรษะหรือที่คอ แล้วกดบีบไว้ให้เร่าร้อนก็ฉันนั้น เหงื่อไหลออกจาก รักแร้.
ดูกรราชกุมาร ก็ความเพียรที่อาตมภาพปรารภแล้ว จะย่อหย่อนก็หามิได้ สติ ที่ตั้งไว้แล้ว จะฟั่นเฟือนก็หามิได้ แต่การที่ปรารภความเพียร ของอาตมภาพผู้อัน ความเพียร ที่ทนได้ยากนั้นแลเสียดแทง กระสับกระส่ายไม่สงบระงับ.
[๔๙๖] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌาน อันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด. แล้วอาตมภาพก็กลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปาก และทางจมูก.
เมื่ออาตมภาพ กลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปากและทางจมูก เสียงลม ที่ออก ทางช่องหูทั้งสองดังเหลือประมาณ. เปรียบเหมือนเสียงสูบของช่างทอง ที่กำลังสูบอยู่ดังเหลือประมาณ ฉันใดเมื่ออาตมภาพกลั้นลม อัสสาสะ ปัสสาสะ ทั้งทางปากและทางจมูก เสียงลมที่ออกทางช่องหูทั้งสองก็ดังเหลือประมาณ ฉันนั้น.
ดูกรราชกุมาร ก็ความเพียรที่อาตมภาพ ปรารภแล้วจะย่อหย่อนก็หามิได้ สติที่ตั้งไว้แล้ว จะได้ฟั่นเฟือนก็หามิได้ แต่กายที่ปรารภความเพียร ของอาตมภาพ ผู้อันความเพียรที่ทนได้ยากนั้นและเสียดแทง ไม่สงบระงับแล้ว.
[๔๙๗] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌาน อันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด. แล้วอาตมภาพจึงกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทั้ง ทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู. เมื่ออาตมภาพกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู ลมกล้ายิ่งย่อมเสียดแทงศีรษะ.
ดูกรราชกุมาร เปรียบเหมือนบุรุษ มีกำลังพึงเชือดศีรษะ ด้วยมีดโกนอันคม ฉันใด เมื่ออาตมภาพกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู ลมกล้ายิ่งย่อมเสียดแทงศีรษะ ฉันนั้น.
ดูกรราชกุมาร ก็ความเพียรที่อาตมภาพปรารภแล้ว จะได้ย่อหย่อนก็หามิได้ สติที่ตั้งไว้แล้วจะได้ฟั่นเฟือนก็หามิได้ แต่กายที่ปรารภความเพียรของอาตมภาพ ผู้อันความเพียรที่ทนได้ยากนั้น และเสียดแทง ไม่สงบระงับแล้ว.
[๔๙๘] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌาน อันไม่มีลมปราณ เป็นอารมณ์เถิด. แล้วอาตมภาพจึงกลั้น ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ทั้งทาง ปากทางจมูกและทางช่องหู. เมื่ออาตมภาพกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู ก็ปวดศีรษะเหลือทนที่ศีรษะ.
ดูกรราชกุมาร เปรียบเหมือนบุรุษ มีกำลัง รัดศีรษะด้วยเชือกอันเขม็งฉันใด เมื่ออาตมภาพกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปากทางจมูก และทางช่องหู ก็ปวดศีรษะ เหลือทนที่ศีรษะ ฉันนั้น.
ดูกรราชกุมาร ก็ความเพียรที่อาตมภาพ ปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หามิได้ สติที่ตั้งไว้จะได้ฟั่นเฟือน ก็หามิได้ แต่กายที่ปรารภความเพียร ของอาตมภาพ ผู้อัน ความเพียรที่ทนได้ยากนั้น และเสียดแทง ไม่สงบระงับแล้ว.
[๔๙๙] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌาน อันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด. แล้วอาตมภาพจึงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสั้ง ทางปาก ทางจมูกและทางช่องหู. ลมกล้าเหลือประมาณ ย่อมเสียดแทงท้อง.
ดูกรราชกุมาร เปรียบเหมือนนายโคฆาต หรือลูกมือนายโคฆาตผู้ขยัน พึงเชือดท้องโค ด้วยมีด เชือดโคอันคม ฉันใด เมื่ออาตมภาพกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู ลมกล้าเหลือประมาณ ย่อมเสียดแทงท้อง ฉันนั้น.
ดูกรราชกุมาร ก็ความเพียรที่อาตมภาพปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หามิได้ สติที่ตั้งไว้ จะได้ฟั่นเฟือนก็หามิได้ แต่กายที่ปรารภความเพียร ของอาตมภาพ ผู้อันความเพียร ที่ทนได้ยากนั้นและเสียดแทง ไม่สงบระงับแล้ว.
[๕๐๐] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌาน อันไม่มีลมปราณเป็นอารมณ์เถิด. แล้วอาตมภาพจึงกลั้น ลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทาง ปาก ทางจมูก และทางช่องหู. เมื่ออาตมภาพกลั้นลม อัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู ก็มีความร้อนในกายเหลือทน.
ดูกรราชกุมาร เปรียบเหมือนบุรุษ มีกำลังสองคน ช่วยกันจับบุรุษมีกำลังน้อย ที่แขนคนละข้าง ย่างรมไว้ที่หลุมถ่านเพลิง ฉันใด เมื่ออาตมภาพกลั้นลมอัสสาสปัสสาสะ ทั้งทางปากทางจมูกและทางช่องหู ก็มีความร้อนในกายเหลือทน ฉันนั้น.
ดูกรราชกุมาร ก็ความเพียรที่อาตมภาพ ปรารภแล้วจะได้ย่อหย่อนก็หามิได้ สติที่ตั้งไว้จะได้ฟั่นเฟือน ก็หามิได้ แต่กายที่ปรารภความเพียรของอาตมภาพ ผู้อันความเพียรที่ทนได้ยากนั้น และเสียดแทงไม่สงบระงับแล้ว.
[๕๐๑] ดูกรราชกุมาร โอ เทวดาทั้งหลาย เห็นอาตมภาพแล้ว กล่าวกันอย่างนี้ ว่า พระสมณโคดม ทำกาละเสียแล้ว. เทวดาบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ไม่ได้ทำกาละแล้ว แต่กำลังทำกาละ.
เทวดาบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ไม่ได้ทำกาละแล้ว กำลังทำ กาละก็หามิได้ พระสมณโคดมเป็น พระอรหันต์ ความอยู่เ ห็นปานนี้ นับว่าเป็นวิหารธรรม ของพระอรหันต์.
[๕๐๒] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงปฏิบัติ เพื่อตัดอาหารเสีย โดยประการทั้งปวงเถิด.
ครั้งนั้น เทวดาเหล่านั้นเข้ามาหาอาตมภาพ แล้วได้กล่าวว่าดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าปฏิบัติเพื่อตัดอาหารเสีย โดยประการทั้งปวงเลย ถ้าท่านจักปฏิบัติเพื่อตัด อาหารเสียโดยประการทั้งปวง ข้าพเจ้าทั้งหลายจักแทรกโอชา อันเป็นทิพย์ตาม ขุมขน ของท่านท่านจักได้ยังชีวิต ให้เป็นอยู่ด้วยโอชา อันเป็นทิพย์นั้น.
อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราเองด้วยพึงปฏิญาณการ ไม่บริโภคอาหาร โดยประการทั้งปวง เทวดาเหล่านี้ ด้วยพึงแทรกโอชาอันเป็นทิพย์ ตามขุมขนของเรา เราพึงยังชีวิต ให้เป็นไปด้วยโอชา อันเป็นทิพย์นั้นด้วย ข้อนั้นพึงเป็นมุสาแก่เรา ดังนี้.
อาตมภาพ บอกเลิกกะเทวดาเหล่านั้น จึงกล่าวว่าอย่าเลย. แล้วอาตมภาพ ได้มีความคิดเห็นว่า ถ้ากระไร เราพึงบริโภคอาหารลดลงวันละน้อยๆ คือ วันละฟายมือ บ้าง เท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง.
อาตมภาพจึงบริโภคอาหารลดลงวันละน้อย คือ วันละฟายมือบ้าง เท่าเยื่อ ถั่วเขียว บ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง. เมื่อบริโภค อาหารลดลงวันละน้อยๆ คือ วันละฟายมือบ้างเท่าเยื่อถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเมล็ดบัวบ้าง กายก็ผอมเหลือเกิน.
[๕๐๓] เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง อวัยวะน้อยใหญ่ของอาตมภาพ ย่อมเป็นเหมือนเถาวัลย์ มีข้อมาก หรือเถาวัลย์มีข้อดำ ฉะนั้น.
ตะโพกของอาตมภาพ เป็นเหมือนเท้าอูฐฉะนั้น.
กระดูกสันหลัง ของอาตมภาพ ผุดระกะ เปรียบเหมือนเถาวัฏฏนาวฬี ฉะนั้น.
ซี่โครงของอาตมภาพขึ้นนูนเป็นร่องๆ ดังกลอนศาลาเก่า มีเครื่องมุงอันหล่น โทรมอยู่ ฉะนั้น.
ดวงตาของอาตมภาพ ถล่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประหนึ่งดวงดาวปรากฏใน บ่อน้ำ ลึก ฉะนั้น.
ผิวศีรษะของอาตมภาพ ที่รับสัมผัสอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ดุจดังผลน้ำเต้าที่ตัดมาสดๆ อันลมและแดดกระทบอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ฉะนั้น.
อาตมภาพคิดว่า จะลูบผิวหนังท้อง ก็จับถูกกระดูกสันหลัง คิดว่า จะลูบกระดูก สันหลังก็จับถูกผิวหนังท้อง.
ผิวหนังท้องกับกระดูกสันหลัง ของอาตมภาพติดถึงกัน.
เมื่ออาตมภาพคิดว่า จะถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ ก็เซซวนล้มลงในที่นั้นเอง.
เมื่อจะให้กายนี้แลมีความสบาย จึงเอาฝ่ามือลูบตัว.
เมื่ออาตมภาพเอาฝ่ามือลูบตัว ขนทั้งหลายมีรากเน่าก็หล่นตกจากกาย.
มนุษย์ทั้งหลายเห็นอาตมภาพ แล้วกล่าวกันอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมดำไป.
มนุษย์บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมไม่ดำเป็นแต่คล้ำไป.
มนุษย์บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า จะว่าพระสมณโคดมดำไปก็ไม่ใช่ จะว่าคล้ำไป ก็ไม่ใช่ เป็นแต่พร้อยไป.
ดูกรราชกุมาร ฉวีวรรณอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของอาตมภาพ ถูกกำจัดเสียแล้ว เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง.
[๕๐๔] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใด เหล่าหนึ่ง ในอดีตกาล ได้เสวยทุกขเวทนา อันกล้าเผ็ดร้อน ที่เกิดเพราะ ความเพียรอย่างยิ่ง ก็เพียงเท่านี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้.
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่งในอนาคต จักได้เสวยทุกขเวทนา อันกล้าเผ็ดร้อนที่เกิดเ พราะความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ จักไม่ยิ่งไปกว่านี้.
สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบัน ได้เสวยอยู่ซึ่งทุกขเวทนา อันกล้าเผ็ดร้อน ที่เกิดเพราะความเพียรอย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ จะไม่ยิ่งไปกว่านี้.
แต่เราก็ไม่ได้ บรรลุอุตตริมนุสสธรรมอลมริยญาณทัสสนวิเสส (ความรู้ความเห็น ของพระอริยะอันวิเศษอย่างสามารถ ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์) ด้วยทุกกรกิริยาที่เผ็ดร้อนนี้ จะพึงมีทางเพื่อรู้อย่างอื่น กระมังหนอ.
6
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
กลับเสวยพระกระยาหารหยาบ
[๕๐๕] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจำได้อยู่ เมื่องาน วัปปมงคล ของท้าวศากยะผู้พระบิดา เรานั่งอยู่ที่ร่มไม้หว้าอันเยือกเย็น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนี้ แลหนอ พึงเป็นทางเพื่อตรัสรู้. อาตมภาพได้มีความรู้สึก อันแล่นไปตามสติว่าทางนี้ แหละ เป็นทางเพื่อตรัสรู้.
อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า เราจะกลัวแต่สุข ซึ่งเป็นสุขเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมหรือ. และมีความคิดเห็นต่อไปว่า เราไม่กลัวแต่สุข ซึ่งเป็นสุขเว้นจาก กาม เว้นจากอกุศลธรรมละ. การที่บุคคลผู้มีกายผอมเหลือเกินอย่างนี้ จะถึงความสุขนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสดเถิด.
อาตมภาพจึงบริโภคอาหารหยาบ คือข้าวสุก ขนมสด.ก็สมัยนั้น ปัญจวัคคีย์ ภิกษุ บำรุงอาตมภาพอยู่ด้วยหวังว่า พระสมณโคดมจักบรรลุธรรมใด ก็จักบอกธรรมนั้ นแก่เราทั้งหลาย.
นับแต่อาตมภาพ บริโภคอาหารหยาบคือข้าวสุก ขนมสด.ปัญจวัคคีย์ภิกษุ ก็พากันเบื่อหน่าย จากอาตมภาพ หลีกไปด้วยความเข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นผู้ มักมาก คลายความเพียรเวียนมา เพื่อความเป็นผู้มักมากไปเสียแล้ว.
ครั้นอาตมภาพบริโภคอาหารหยาบมีกำลังขึ้นแล้ว ก็สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขผู้ได้ฌาน เกิดแต่สมาธิอยู่.
มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุ ตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ตติยฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็น สุข.
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัส ก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
7
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
ได้ญาณ ๓
[๕๐๖] อาตมภาพนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก อุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไป เพื่อ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ.
อาตมภาพนั้น ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯอาตมภาพนั้น ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.
ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่หนึ่งที่อาตมภาพได้บรรลุแล้ว ในปฐมยาม แห่ง ราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้น แล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.
[๕๐๗] อาตมภาพนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก อุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติ และ อุบัติ ของสัตว์ทั้งหลาย อาตมภาพนั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้.
ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สอง ที่อาตมภาพได้บรรลุแล้วในมัชฌิม ยามแห่ง ราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.
[๕๐๘] อาตมภาพนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก อุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ อาสวักขยญาณ
ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคา มินีปฏิปทาเหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา.
เมื่ออาตมภาพนั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จาก ภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.
ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สามที่อาตมภาพได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยาม แห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่าง เกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.
8
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
ทรงมีความขวนขวายน้อย
[๕๐๙] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพนั้นได้มีความคิดเห็นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้ว นี้เป็นธรรมลึก ยากที่จะเห็นได้ สัตว์อื่นจะตรัสรู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ระงับ ประณีต ไม่เป็น วิสัย ที่จะหยั่งลงได้ด้วยความตรึก เป็นธรรมละเอียด อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง.
ก็หมู่สัตว์นี้มีความอาลัยเป็นที่รื่นรมย์ ยินดีในความอาลัย บันเทิงนักในความ อาลัย. ก็การที่หมู่สัตว์ผู้มีความอาลัยเป็นที่รื่นรมย์ ยินดีในความอาลัย บันเทิงนักในความ อาลัย จะเห็นฐานะนี้ได้โดยยากคือ สภาพที่อาศัยกันเกิดขึ้นเพราะความมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย.
แม้ฐานะนี้ก็เห็นได้ยาก คือ สภาพเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิ ทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับโดยไม่เหลือ นิพพาน.
ก็เราจะพึงแสดงธรรม และสัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่รู้ทั่วถึงธรรมของเรา นั้นจะพึง เป็น ความเหน็ดเหนื่อยเปล่า เป็นความลำบากเปล่าของเรา.
ดูกรราชกุมาร ที่นั้น คาถาอันอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏแจ่มแจ้งกะอาตมภาพว่า บัดนี้ ยังไม่สมควรจะประกาศธรรม ที่เราบรรลุได้โดย ยาก ธรรม นี้อันสัตว์ทั้งหลาย ผู้ถูกราคะ โทสะครอบงำ ไม่ตรัสรู้ได้ง่าย สัตว์ทั้งหลาย อันราคะย้อมแล้ว อันกองมืดหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรม อันยังสัตว์ให้ไปทวนกระแส ละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู ดังนี้.
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพเห็นตระหนักอยู่ดังนี้ จิตของอาตมภาพ ก็น้อมไป เพื่อความเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม.
9
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
ท้าวสหัมบดีพรหมทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม
[๕๑๐] ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ทราบความปริวิตกแห่งใจ ของอาตมภาพด้วยใจแล้ว ได้มีความปริวิตกว่า ดูกรท่านผู้เจริญ โลกจะฉิบหายละหนอ เพราะจิตของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อมไป เพื่อความเป็นผู้มีความ ขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อแสดงธรรม. ครั้นแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม หายไปใน พรหมโลก มาปรากฏข้างหน้าของอาตมภาพ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขน ที่คู้ออก หรือพึงคู้แขนที่เหยียดเข้าฉะนั้น.
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี มาทาง อาตมภาพ แล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรม แก่ข้าพระองค์เถิด ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมเถิด สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกิเลสดุจธุลี ในจักษุน้อยมีอยู่ ย่อมจะเสื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักยังมีอยู่.
ดูกรราชกุมาร ท้าวสหัมบดีพรหม ได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว ภายหลังได้กล่าว คาถาประพันธ์อื่นนี้อีกว่า ธรรมที่ผู้มีมลทินทั้งหลายคิดกันแล้ว ไม่บริสุทธิ์ ได้ปรากฏใน ชนชาวมคธทั้งหลายมาก่อนแล้ว
ขอพระองค์จงเปิดอริยมรรค อันเป็นประตูพระนิพพานเถิด ขอสัตว์ทั้งหลาย จงได้ฟังธรรม ที่พระองค์ผู้ปราศจากมลทิน ตรัสรู้แล้วเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้มี เมธาดี มีจักษุรอบคอบ ขอพระองค์ผู้ปราศจากความโศก จงเสด็จขึ้นปัญญาปราสาท อันแล้ว ด้วยธรรม ทรงพิจารณาดู ประชุมชนผู้เกลื่อนกล่นด้วยความโศก อันชาติชราครอบงำแล้ว เปรียบเหมือนบุคคล ผู้มีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขาหินล้วน พึง เห็นประชุมชนโดยรอบ ฉะนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้กล้า ทรงชนะ สงครามแล้ว ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร ผู้ไม่เป็นหนี้ ขอจงเสด็จ ลุกขึ้นเที่ยวไปในโลกเถิด ขอพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม เถิด สัตว์ผู้รู้ทั่วถึงจักมีอยู่.
10
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
เปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า
[๕๑๑] ดูกรราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่า ท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ.
เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลก ด้วยพุทธจักษุก็ได้เห็นหมู่สัตว์ ซึ่ง
มีกิเลสดุจธุลี ในจักษุน้อยก็มี
มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี
มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
มีอินทรีย์อ่อนก็มี
มีอาการดีก็มี
มีอาการเลวก็มี
จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี
จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี
บางพวก มีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว
ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ
บางเหล่า ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้
บางเหล่า ตั้งอยู่เสมอน้ำ
บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพ ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้นได้เห็นหมู่สัตว์ ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษ ในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี.
ดูกรราชกุมาร ครั้งนั้นอาตมภาพ ได้กล่าวรับท้าวสหัมบดีพรหมด้วยคาถาว่า ดูกรพรหม เราเปิดประตูอมตนิพพานแล้ว เพื่อสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีโสต จงปล่อยศรัทธา มาเถิด เราสำคัญว่าจะลำบาก จึงไม่ กล่าวธรรมอันคล่องแคล่ว ประณีต ในมนุษย์ทั้งหลาย.
ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงเปิดโอกาส เพื่อจะแสดงธรรมแล้ว จึงอภิวาทอาตมภาพ ทำประทักษิณแล้ว หายไปในที่นั้นเอง.
11
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
ทรงปรารภถึงคนที่จะทรงแสดงธรรมก่อน
[๕๑๒] ดูกรราชกุมาร อาตมภาพได้มีความดำริว่า เราพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อน หนอ ใครรู้จักทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน. ครั้นแล้ว อาตมภาพได้มีความเห็นว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนี้ เป็นบัณฑิต ฉลาด มีเมธา มีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยมานาน ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส กาลามโคตรก่อนเถิด เธอรู้จักทั่วถึงธรรมนี้ โดย ฉับพลัน
ที่นั้น เทวดาทั้งหลาย เข้ามาหาอาตมภาพแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ อาฬารดาบส กาลามโคตร ทำกาละเสียเจ็ดวันแล้ว. และความรู้ความเห็น ก็เกิดขึ้นแก่เราว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรทำกาละเสียเจ็ดวันแล้ว. อาตมภาพได้มี ความคิดเห็นว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรเป็นผู้เสื่อมใหญ่แล ถ้าเธอพึงได้ฟังธรรมนี้ พึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลันทีเดียว.
ครั้นแล้วอาตมภาพได้มีความดำริว่า เราพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน. แล้วอาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่าอุทกดาบส รามบุตรนี้ เป็นบัณฑิต ฉลาด มีเมธา มีกิเลส ดุจธุลีในจักษุน้อยมานานถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรม แก่อุทกดาบส รามบุตรก่อนเถิด เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน.
ที่นั้น เทวดาทั้งหลาย เข้ามาหาอาตมภาพ แล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ อุทกดาบสรามบุตร ทำกาละเสียแล้วเมื่อพลบค่ำนี้เอง. และความรู้ความเห็น ก็เกิดขึ้นแก่เราว่า อุทกดาบสรามบุตร ทำกาละเสียแล้วเมื่อพลบค่ำนี้เอง.
อาตมภาพได้มีความคิดเห็นว่า อุทกดาบสรามบุตรเป็นผู้เสื่อมใหญ่แล ก็ถ้าเธอ พึงได้ฟังธรรมนี้ ก็จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลันทีเดียว. ครั้นแล้ว อาตมภาพได้มีความดำริว่า เราพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน.
แล้วอาตมภาพได้มี ความคิดเห็นว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามาก บำรุงเราผู้มีตนส่งไปแล้ว เพื่อความเพียร ถ้ากระไร เราพึงแสดงธรรม แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ก่อนเถิด.
แล้วอาตมภาพได้มีความดำริว่า เดี๋ยวนี้ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ. ก็ได้เห็น ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์.
ครั้นอาตมภาพอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาตามควรแล้ว จึงได้หลีกจาริกไปทางเมือง พาราณสี.
[๕๑๓] ดูกรราชกุมาร อุปกาชีวกได้พบอาตมภาพ ผู้เดินทางไกล ที่ระหว่าง แม่น้ำคยาและไม้โพธิ์ต่อกัน แล้วได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ดูกรผู้มีอายุ อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดา ของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร.
ดูกรราชกุมาร เมื่ออุปกาชีวกล่าวอย่างนี้แล้ว อาตมภาพได้กล่าวตอบ อุปกาชีวก ด้วยคาถาว่า เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง เป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหา และทิฏฐิไม่ติดแล้วในธรรมทั้งปวง เป็นผู้ละธรรมทั้งปวง น้อมไป ในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา แล้ว รู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งเอง จะ พึงเจาะจงใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนผู้เช่นกับ ด้วยเราก็ ไม่มี บุคคลผู้เปรียบด้วยเรา ไม่มีในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระ อรหันต์ในโลก เป็นศาสดา ไม่มีศาสดาอื่น ยิ่งขึ้นไปกว่า เราผู้เดียวตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้เย็น เป็นผู้ ดับสนิทแล้ว เราจะไปยังเมืองกาสี เพื่อจะยังธรรมจักรให้ เป็นไป เมื่อสัตว์โลกเป็นผู้มืด เราได้ตีกลองประกาศ อมตธรรมแล้ว.
อุปกาชีวกถามว่า ดูกรผู้มีอายุ ท่านปฏิญาณว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ผู้ชนะไ ม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นหรือ?
อาตมภาพตอบว่า ชนทั้งหลายผู้ถึงธรรม ที่สิ้นตัณหา เช่นเราแหละ ชื่อว่าเป็น ผู้ชนะ บาปธรรมทั้งหลาย อันเราชนะแล้ว เหตุนั้นแหละ อุปกะ เราจึงว่า ผู้ชนะ.
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว อุปกาชีวก กล่าวว่าพึง เป็นให้พอเถิด ท่านสั่นศีรษะแลบลิ้น แล้วหลีกไปคนละทาง.
12
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
เสด็จเข้าไปหาพระปัญจวัคคีย์
[๕๑๔] ครั้งนั้น อาตมภาพเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เข้าไปหา ภิกษุ ปัญจวัคคีย์ ยังป่าอิสิปตนมิคทายวัน เขตเมืองพาราณสี ดูกรราชกุมาร ภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้เห็นอาตมภาพกำลังมาแต่ไกลเทียว แล้วได้ตั้งกติกาสัญญากันไว้ว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระสมณโคดมพระองค์นี้เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมา เพื่อความเป็นผู้มักมาก กำลังมาอยู่ เราทั้งหลายไม่พึงกราบไหว้ ไม่พึงลุกรับ ไม่พึงรับบาตรและจีวร แต่พึงแต่งตั้งอาสนะไว้ ถ้าเธอปรารถนาก็จักนั่ง.
อาตมภาพเข้าไป ใกล้ภิกษุปัญจวัคคีย์ ด้วยประการใดๆ ภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ไม่อาจจะตั้งอยู่ในกติกาของตน ด้วยประการนั้นๆ บางพวกลุกรับอาตมภาพ รับบาตร และจีวร บางพวกปูลาดอาสนะ บางพวกตั้งน้ำล้างเท้า แต่ยังร้องเรียกอาตมภาพโดยชื่อ และยังใช้คำว่า อาวุโส.
เมื่อภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวเช่นนี้ อาตมภาพได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย อย่าร้องเรียกตถาคตโดยชื่อ และใช้คำว่าอาวุโสเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบท่านทั้งหลาย จงเงี่ยโสตลงเถิด เราจะสั่งสอน อมตธรรมที่เราบรรลุแล้ว เราจะแสดงธรรม เมื่อท่านทั้งหลาย ปฏิบัติตามที่เราสั่งสอนอยู่ ไม่ช้าเท่าไร ก็จักทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตร ทั้งหลาย ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่.
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสโคดม แม้ด้วยอิริยาบถนั้น ด้วยปฏิปทานั้น ด้วยทุกกรกิริยานั้น ท่านยังไม่ได้ บรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณทัสสนวิเสสเลย ก็เดี๋ยวนี้ท่านเป็นคนมักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก จักบรรลุ อุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณ ทัสสนวิเสส อย่างไรเล่า เมื่อภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวเช่นนี้แล้ว อาตมภาพได้กล่าวว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่ได้เป็นคนมักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อ ความเป็นผู้มักมากเลย ดูกรภิกษุทั้งหลายตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ท่านทั้งหลายจงเงี่ยโสตลงเถิด เราจักสั่งสอนอมตธรรม ที่เราบรรลุแล้ว เราจะแสดงธรรม เมื่อท่านทั้งหลายปฏิบัติ ตามที่เราสั่งสอนอยู่ ไม่ช้าเท่าไร ก็จักทำให้แจ้งซึ่งที่สุด พรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ ดูกรราชกุมาร แม้ครั้งที่สอง ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็ได้กล่าวว่า
ดูกรอาวุโสโคดม แม้ด้วยอิริยาบถนั้นด้วยปฏิปทานั้น ด้วยทุกกรกิริยานั้น ท่านยังไม่ได้ บรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณทัสสนวิเสสเลย ก็เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นผู้ มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก จักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณทัสสนวิเสส ได้อย่างไรเล่า?
ดูกรราชกุมาร แม้ครั้งที่สอง อาตมภาพก็ได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่ได้เป็นคนมักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ท่านทั้งหลายจงเงี่ยโสต ลงเถิด เราจะสั่งสอนอมตธรรมที่เราบรรลุแล้ว เราจะแสดงธรรม เมื่อท่านทั้งหลาย ปฏิบัติ ตามที่เราสั่งสอนอยู่ ไม่ช้าเท่าไร ก็จักทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่น ยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่.
ดูกรราชกุมาร แม้ครั้งที่สาม ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสโคดม แม้ด้วยอิริยาบถนั้น ด้วยปฏิปทานั้น ด้วยทุกกรกิริยานั้น ท่านยังไม่ได้บรรลุ อุตตริมนุสสธรรมอลมริยญาณทัศนวิเสสเลย ก็เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก จักบรรลุอุตตริมนุสสธรร มอลมริยญาณทัศนวิเสส ได้อย่างไรเล่า? เมื่อภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวเช่นนี้ เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจำได้ หรือไม่ว่า ในกาลก่อนแต่นี้ เราได้กล่าวคำเห็นปานนี้?
ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ตอบว่า หามิได้ พระเจ้าข้า.
อาตมภาพจึงได้กล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบท่านทั้งหลาย จงเงี่ยโสตลงเถิด เราจะสั่งสอนอมตธรรม ที่เราบรรลุแล้ว เราจะ แสดงธรรม เมื่อท่านทั้งหลาย ปฏิบัติตามที่เราสั่งสอนอยู่ ไม่ช้าเท่าไรก็จักทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน บวชเป็น บรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่.
ดูกรราชกุมาร อาตมภาพสามารถ ให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ยินยอมแล้ว. วันหนึ่ง อาตมภาพกล่าวสอนภิกษุแต่สองรูป.
ภิกษุสามรูปไปเที่ยวบิณฑบาต. ภิกษุสามรูปไปเที่ยวบิณฑบาตได้สิ่งใดมา ภิกษุทั้งหกรูปก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้น.
อาตมภาพกล่าวสอนภิกษุแต่สามรูป. ภิกษุสองรูปไปเที่ยวบิณฑบาต ได้สิ่งใดมา ภิกษุทั้งหกรูปก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้น.
ครั้งนั้น ภิกษุปัญจวัคคีย์ ที่อาตมภาพกล่าวสอน พร่ำสอนอยู่เช่นนี้ไม่นานเลย ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่.
13
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
ทรงแก้ปัญหาของโพธิราชกุมาร
[๕๑๕] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว โพธิราชกุมาร ได้ทูลถามพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อภิกษุได้พระตถาคต เป็นผู้แนะนำโดยกาลนาน เพียงไรหนอ จึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตร ทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ได้.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรราชกุมาร ถ้ากระนั้น ในข้อนี้ อาตมภาพจักย้อนถาม บพิตรก่อน บพิตรพึงตอบตามที่พอพระทัย บพิตรจักทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บพิตรผู้ฉลาดในศิลปศาสตร์ คือการขึ้นช้าง การถือขอหรือ? โพธิราชกุมาร ทูลว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า หม่อมฉันเป็นผู้ฉลาดในศิลปศาสตร์ คือการขึ้นช้าง การถือขอ.
[๕๑๖] ดูกรราชกุมาร บพิตรจักทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษพึงมา ในเมืองนี้ด้วยคิดว่า โพธิราชกุมารทรงรู้ศิลปศาสตร์ คือการขึ้นช้าง การถือขอ เราจัก ศึกษาศิลปศาสตร์คือ การขึ้นช้าง การถือขอ ในสำนักโพธิราชกุมารนั้น
แต่เขาไม่มีศรัทธา จะไม่พึงบรรลุผลเท่าที่บุคคลผู้มีศรัทธาพึงบรรลุ ๑
เขามีอาพาธมาก จะไม่พึงบรรลุผลเท่าที่ บุคคลผู้มีอาพาธน้อยพึงบรรลุ ๑
เขาเป็นคนโอ้อวด มีมายา จะไม่พึงบรรลุผล เท่าที่บุคคลผู้ไม่โอ้อวด ไม่มี มายา พึงบรรลุ ๑
เขาเป็นผู้เกียจคร้าน จะไม่พึงบรรลุผลเท่าที่บุคคล ผู้ปรารภความเพียรพึงบรรลุ ๑
เขาเป็นผู้มีปัญญาทราม จะไม่พึงบรรลุผลเท่าที่ บุคคลผู้มีปัญญาพึงบรรลุ ๑
ดูกรราชกุมาร บพิตรจะทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นควรจะศึกษา ศิลปศาสตร์ คือ การขึ้นช้าง การถือขอ ในสำนักของบพิตรบ้างหรือหนอ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษนั้นแม้จะประกอบด้วย องค์เพียงองค์หนึ่ง ก็ไม่ควร จะศึกษาศิลปศาสตร์ คือ การขึ้นช้าง การถือขอ ในสำนักของหม่อมฉัน จะป่วยกล่าว ไปไย ถึงครบองค์ห้าเล่า.
[๕๑๗] ดูกรราชกุมาร บพิตรจักทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษพึงมาใน เมืองนี้ด้วยคิดว่า โพธิราชกุมาร ทรงรู้ศิลปศาสตร์ คือ การขึ้นช้าง การถือขอ เราจักศึกษา ศิลปศาสตร์คือ การขึ้นช้าง การถือขอ ในสำนักโพธิราชกุมารนั้น.
เขาเป็นผู้มีศรัทธา จะพึงบรรลุผลเท่าที่บุคคลผู้มีศรัทธาพึงบรรลุ ๑
เขาเป็นผู้มีอาพาธน้อยจะพึงบรรลุผล เท่าที่บุคคลผู้มีอาพาธน้อยพึงบรรลุ ๑
เขาเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา จะพึงบรรลุผลเท่าที่บุคคลผู้ไม่โอ้อวด ไม่มี มายา พึงบรรลุ ๑
เขาเป็นผู้ปรารภความเพียร จะพึงบรรลุผลเท่าที่บุคคล ผู้ปรารภความเพียรพึง บรรลุ ๑
เขาเป็นผู้มีปัญญา จะพึงบรรลุผลเท่าที่บุคคล ผู้มีปัญญาพึงบรรลุ ๑
ดูกรราชกุมาร บพิตรจะทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นควรจะศึกษา ศิลปศาสตร์ คือ การขึ้นช้าง การถือขอ ในสำนักของบพิตรบ้างหรือหนอ?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษนั้นแม้ประกอบด้วยองค์เพียงองค์หนึ่ง ก็ควรจะ ศึกษาศิลปศาสตร์ คือการขึ้นช้าง การถือขอในสำนักของหม่อมฉันได้ จะป่วยกล่าวไป ไยถึงครบองค์ห้าเล่า.
14
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
องค์ของภิกษุผู้มีความเพียร ๕
[๕๑๘] ดูกรราชกุมาร องค์ของภิกษุผู้มีความเพียร ๕ เหล่านี้ ก็ฉันนั้น เหมือนกัน. องค์ของภิกษุผู้มีความเพียร ๕ เป็นไฉน?
๑. ดูกรราชกุมาร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม.
๒. เธอเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุ สำหรับย่อย อาหารสม่ำเสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นปานกลางควรแก่ความเพียร.
๓. เธอเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา เปิดเผยตนตามความเป็นจริง ในพระศาสดา หรือในเพื่อนพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูทั้งหลาย.
๔. เธอเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้เข้าถึง พร้อมเป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.
๕. เธอเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา อันเห็นความเกิดและดับ เป็นอริยะสามารถชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ.
ดูกรราชกุมาร องค์ของภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้แล ภิกษุผู้ประกอบด้วย องค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้แล เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ได้ [ใช้เวลาเพียง] เจ็ดปี.
ดูกรราชกุมาร เจ็ดปีจงยกไว้.
ภิกษุผู้ประกอบ ด้วยองค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ เมื่อได้ตถาคต เป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตร ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ได้. [ใช้เวลาเพียง] หกปี ...ห้าปี ... สี่ปี ... สามปี ... สองปี ... หนึ่งปี.
ดูกรราชกุมาร หนึ่งปีจงยกไว้. ภิกษุผู้ประกอบด้วย องค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มี ธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ได้ [ใช้เวลาเพียง] เจ็ดเดือน.
ดูกรราชกุมาร เจ็ดเดือนจงยกไว้. ภิกษุผู้ประกอบด้วย องค์แห่งภิกษุ ผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำพึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ได้ [ใช้เวลาเพียง]หกเดือน ... ห้าเดือน ... สี่เดือน ... สามเดือน ... สองเดือน ... หนึ่งเดือน.
ดูกรราชกุมาร ครึ่งเดือนจงยกไว้. ภิกษุผู้ประกอบด้วย องค์แห่งภิกษุ ผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการด้วยปัญญา อันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ได้ [ใช้เวลาเพียง] เจ็ดคืนเจ็ดวัน.
ดูกรราชกุมาร เจ็ดคืนเจ็ดวันจงยกไว้. ภิกษุประกอบด้วย องค์แห่งภิกษุ ผู้มีความเพียร๕ ประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ได้ [ใช้เวลาเพียง] หกคืนหกวัน ... ห้าคืนห้าวัน ... สี่คืนสี่วัน ... สามคืนสามวัน ... สองคืนสองวัน ... หนึ่งคืนหนึ่งวัน.
ดูกรราชกุมาร หนึ่งคืนหนึ่งวันจงยกไว้. ภิกษุผู้ประกอบด้วย องค์แห่งภิกษุ ผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ ตถาคตสั่งสอนในเวลาเย็น จักบรรลุคุณวิเศษได้ในเวลาเช้า ตถาคตสั่งสอนในเวลาเช้า จักบรรลุคุณวิเศษ ได้ในเวลาเย็น.
เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว โพธิราชกุมารได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้า มีพระคุณเป็นอัศจรรย์ พระธรรมมีพระคุณเป็นอัศจรรย์ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้วเป็นอัศจรรย์ เพราะภิกษุที่พระผู้มีพระภาค ทรงสั่งสอนในเวลาเย็น จักบรรลุ คุณวิเศษได้ในเวลาเช้า ที่พระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนในเวลาเช้า จักบรรลุคุณวิเศษ ได้ในเวลาเย็น.
[๕๑๙] เมื่อโพธิราชกุมารตรัสอย่างนี้แล้ว มาณพสัญชิกาบุตร ได้ทูล โพธิราชกุมารว่า ก็ท่านโพธิราชกุมารองค์นี้ ทรงประกาศไว้ว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณ เป็นอัศจรรย์ พระธรรมมีพระคุณเป็นอัศจรรย์ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว เป็นอัศจรรย์อย่างนี้เท่านั้น ก็แต่ท่านหาได้ทรง ถึงพระโคดมผู้เจริญพระองค์นั้น พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะไม่.
15
(โพธิราชกุมารสูตร) ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๓๔-๓๕๗
พระโพธิราชกุมารถึงสรณคมน์ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
[๕๒๐] โพธิราชกุมารตรัสว่า ดูกรเพื่อนสัญชิกาบุตร ท่านอย่าได้กล่าว อย่างนั้น ดูกรเพื่อนสัญชิกาบุตร ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนั้น ดูกรสัญชิกาบุตร เรื่องนั้น เราได้ฟังมา ได้รับมาต่อหน้าเจ้าแม่ของเราแล้ว คือครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี
ครั้งนั้น เจ้าแม่ของเรากำลังทรงครรภ์ เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลูกคนอยู่ในครรภ์ของหม่อมฉันนี้ เป็นชายก็ตาม เป็นหญิงก็ตาม เขาย่อมถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาค ทรงจำเขาว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ดูกรเพื่อนสัญชิกาบุตร ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ในป่า เภสกลามิคทายวัน ใกล้เมืองสุงสุมารคิระ ในภัคคชนบทนี้แลครั้งนั้น แม่นมอุ้มเรา เข้าสะเอว พาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โพธิราชกุมารพระองค์นี้ ย่อมถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงจำโพธิราชกุมาร นั้นว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ดูกรเพื่อนสัญชิกาบุตร เรานี้ย่อมถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และ พระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ แม้ในครั้งที่สามขอพระผู้มีพระภาค จงทรงจำหม่อมฉัน ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉะนี้แล.
จบ โพธิราชกุมารสูตร ที่ ๕.
|