เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

อปัณณกสูตร พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปถึงพราหมณคามนาม ชาวบ้านพากันเข้าเฝ้า 1895
 
พราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านศาลา

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จถึง พราหมณคามนาม ว่าศาลา ของชนชาวโกศล. พราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านศาลา ได้สดับข่าว ว่า พระสมณโคดมเสด็จจาริกมาถึงบ้านศาลาแล้ว

ครั้งนั้นพราหมณ์และคฤหบดี พากันเข้าไปเฝ้าฯ บางพวกถวายบังคม บางพวกได้ปราศรัย กับ พระผู้มีพระภาค บางพวกประกาศชื่อและโคตร บางพวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง


อปัณณกสูตร
1 เรื่องพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านศาลา
2 อปัณณกธรรม (ธรรมที่ปฏิบัติแล้วไม่ผิด)
3 วาทะที่เป็นข้าศึกกัน
4 อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว
5 อปัณณกธรรมที่บุคคลถือไว้ดี
6 วาทะเป็นข้าศึกกัน
7 ความเห็นที่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ
8 อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว
9 ความเห็นที่ไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ
10 อปัณณกธรรมที่ถือไว้ดี
11 วาทะที่เป็นข้าศึกกัน
12 ความเห็นที่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ
13 อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว
14 ความเห็นที่ไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ
15 อปัณณกธรรมที่ถือไว้ดี
16 วาทะว่าอรูปพรหมไม่มี
17 วาทะว่าความดับแห่งภพไม่มี
18 บุคคล ๔ จำพวก
19 พราหมณ์และคฤหบดี แสดงตนเป็นอุบาสก
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓.
1
๑๐. อปัณณกสูตร
เรื่องพราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านศาลา

             [๑๐๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จถึงพราหมณคามนาม ว่าศาลา ของชนชาวโกศล. พราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้าน ศาลา ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตรผู้เจริญ เสด็จออกผนวช จากศากยสกุล เสด็จจาริกมาในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก เสด็จถึงบ้านศาลาแล้ว.

             ก็กิตติศัพท์อันงาม แห่งพระโคดมผู้เจริญนั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะ เหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วย วิชชาและจรณะ เสด็จไปดี

              ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วย พระปัญญา อันยิ่ง ของพระองค์เองแล้ว

              ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ ทั้งหลาย เห็นปานนี้ ย่อมเป็นความดี.

             ครั้งนั้นพราหมณ์และคฤหบดี ชาวบ้านศาลา พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ บางพวกถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนมอัญชลี ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อ และโคตรในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.


2
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรม (ธรรมที่ปฏิบัติแล้วไม่ผิด)

             [๑๐๔] พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสกะพราหมณ์ และคฤหบดีชาวบ้านศาลา ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย ศาสดาคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ชอบใจ ของท่านทั้งหลาย เป็นที่ให้ท่านทั้งหลาย ได้ศรัทธาอันมีเหตุ มีอยู่หรือ?

             พราหมณ์และคฤหบดี กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศาสดาคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ชอบใจ ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นที่ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ศรัทธาอันมีเหตุ หามีไม่.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลาย ยังไม่ได้ศาสดาที่ชอบใจ พึงสมาทานอปัณณกธรรมนี้แล้ว ประพฤติด้วยว่าอปัณณกธรรม ที่ท่านทั้งหลายสมาทาน ให้บริบูรณ์แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ท่านทั้งหลาย สิ้นกาลนาน ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ก็อปัณณกธรรมนั้นเป็นไฉน?


3
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

วาทะที่เป็นข้าศึกกัน

             [๑๐๕] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี อุปปาติกสัตว์ ไม่มีสมณพราหมณ์ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้า ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้รู้ทั่ว ไม่มีในโลก

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ เป็นข้าศึกโดยตรง ต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น เขากล่าวอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การบวงสรวงมีผล การบูชามีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำชั่วทำดีมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามีมารดามี บิดามี อุปปาติกสัตว์มี สมณพราหมณ์ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้รู้ทั่ว มีอยู่ในโลก

              ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรง ต่อกันและกันมิใช่หรือ?

อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

             [๑๐๖] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์สองพวกนั้น สมณพราหมณ์ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบวงสรวง ไม่มีผลการบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรม ที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้า ไม่มีมารดา ไม่มีบิดาไม่มี อุปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติ โดยชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้รู้ทั่ว ไม่มีในโลกดังนี้ เป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือจักเว้นกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต จักสมาทานอกุศลธรรม๓ ประการนี้ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต แล้วประพฤติข้อนั้นเพราะเหตุไร

             เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่เห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม ไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ เป็นคุณฝ่ายขาว แห่งกุศลธรรม.

             ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของผู้นั้น ว่าโลกหน้าไม่มี ความเห็นของเขานั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ.

             ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่า โลกหน้าไม่มีความดำริของเขานั้น เป็นมิจฉาสังกัปปะ.

             ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มีวาจาของเขานั้น เป็นมิจฉาวาจา.

             ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขากล่าวว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตน เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า.

             ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขายังผู้อื่นให้เข้าใจว่า โลกหน้าไม่มีการให้ผู้อื่น เข้าใจ ของเขานั้น เป็นการให้เข้าใจผิด โดยไม่ชอบธรรม และเขายังจะยกตนข่มผู้อื่น ด้วยการ ให้ผู้อื่นเข้าใจผิด โดยไม่ชอบธรรมนั้นด้วย.

             เขาละคุณ คือ เป็นคนมีศีลแล้ว ตั้งไว้เฉพาะแต่โทษ คือ ความเป็นคนทุศีล ไว้ก่อนเทียว ด้วยประการฉะนี้. อกุศลธรรมอันลามก เป็นอเนกเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การให้ผู้อื่นเข้าใจผิด โดย ไม่ชอบธรรม การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมมี เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.


4
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว

             [๑๐๗] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษผู้รู้แจ้ง ย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ถ้าโลกหน้าไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไปจักทำตนให้สวัสดีได้ ถ้าโลกหน้ามี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

             อนึ่ง โลกหน้าอย่าได้มีจริง คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น จงเป็นคำจริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ เป็นผู้อันวิญญูชนติเตียนได้ ในปัจจุบันว่าเป็นบุรุษ บุคคลทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นนัตถิกวาท.

             ถ้าโลกหน้ามีจริง ความยึดถือของท่านบุรุษบุคคลนี้ ปราชัยในโลกทั้งสอง คือในปัจจุบัน ถูกวิญญูชนติเตียน เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ด้วยประการฉะนี้. อปัณณกธรรมนี้ ที่ผู้นั้นถือไว้ชั่ว สมาทานชั่ว ย่อมแผ่ไปโดยส่วนเดียว ย่อมละเหตุแห่งกุศลเสีย ด้วยประการฉะนี้.

             [๑๐๘] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์ เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่บุคคล ให้แล้วมีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้า ให้ชัดแจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง.

             แล้วประกาศให้รู้ทั่ว มีอยู่ในโลก สมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือ จักเว้นอกุศลธรรมทั้ง ๓ คือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต จักสมาทานกุศลธรรมทั้ง ๓ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตแล้วประพฤติ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่าน สมณพราหมณ์เหล่านั้น เห็นโทษ ความต่ำทรามความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นฝ่ายขาวแห่งกุศลธรรม.

             ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของผู้นั้นว่า โลกหน้ามีอยู่ ความเห็นของเขานั้น เป็นความเห็นชอบ.ก็โลกหน้ามีจริง เขาดำริว่า โลกหน้ามีจริง ความดำริของเขานั้น เป็นความดำริชอบ. ก็โลกหน้ามีจริง เขากล่าวว่าโลกหน้ามีจริง วาจาของเขานั้น เป็นวาจาชอบ.

             ก็โลกหน้ามีจริง เขากล่าวว่าโลกหน้ามีจริง ชื่อว่าไม่ทำตนเป็นข้าศึกต่อ พระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกหน้า. ก็โลกหน้ามีจริงเขาให้ผู้อื่นเข้าใจว่า โลกหน้ามีจริง การให้ผู้อื่นเข้าใจของเขานั้น เป็นการให้ผู้อื่นเข้าใจโดยสัทธรรม และเขาย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นด้วยการที่ให้ผู้อื่น เข้าใจโดยสัทธรรมนั้นด้วย.

             เขาละโทษ คือ ความเป็นคนทุศีล ตั้งไว้เฉพาะแต่คุณ คือ ความเป็นคนมีศีล ไว้ก่อนเทียว ด้วยประการฉะนี้. กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การให้ผู้อื่น เข้าใจโดยสัทธรรม การไม่ยกตน การไม่ข่มผู้อื่น ย่อมมีเพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.


5
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรมที่บุคคลถือไว้ดี

             [๑๐๙] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษผู้รู้แจ้ง ย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ถ้าโลกหน้ามีอยู่จริง เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไปจักเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์.

             อนึ่ง โลกหน้าอย่าได้มีจริง คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น จงเป็นคำจริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลผู้นี้ ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ ในปัจจุบันว่าเป็นบุรุษ บุคคลมีศีล มีสัมมาทิฏฐิ เป็นอัตถิกวาท ถ้าโลกหน้ามีจริง ความยึดถือของท่านบุรุษ บุคคลนี้อย่างนี้ เป็นความมีชัยในโลกทั้งสอง คือในปัจจุบันวิญญูชนสรรเสริญ เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติโลก สวรรค์ ด้วยประการฉะนี้. อปัณณกธรรมที่ผู้นั้นถือไว้ดี สมาทานดีนี้ ย่อมแผ่ไปโดยส่วนสอง ย่อมละเหตุแห่งอกุศลเสีย ด้วยประการฉะนี้.


6
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

วาทะเป็นข้าศึกกัน

             [๑๑๐] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ อย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลทำเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง หรือใช้ให้ ผู้อื่นตัด เผาผลาญเองหรือใช้ให้ผู้อื่นเผาผลาญ ทำสัตว์ให้เศร้าโศกเอง หรือใช้ผู้อื่น ให้ทำสัตว์ให้เศร้าโศก ทำสัตว์ให้ลำบากเอง หรือใช้ผู้อื่นทำสัตว์ให้ลำบาก ทำสัตว์ ให้ดิ้นรนเอง หรือให้ผู้อื่นทำสัตว์ให้ดิ้นรนฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ลักทรัพย์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ลัก ตัดช่อง ปล้นใหญ่ ทำการปล้นเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ในทางเปลี่ยว

             คบหาภรรยาของผู้อื่น พูดเท็จ บาปที่บุคคลทำอยู่ ย่อมไม่ชื่อว่าเป็นอันทำ แม้หากผู้ใดพึงทำสัตว์ในแผ่นดินนี้ ให้เป็นลานเนื้อแห่งเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้อกอง เดียวกัน ด้วยจักรมีคมโดยรอบเช่นคมมีดโกน บาปซึ่งมีการทำสัตว์ ให้เป็นลานเนื้อ แห่งเดียวกันเป็นเหตุ ย่อมไม่มี ไม่มีบาปมาถึง

             ถึงแม้บุคคลจะไปยังฝั่งขวา แห่งแม่น้ำคงคาฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ตัดเองหรือใช้ผู้อื่นให้ตัด เผาผลาญเอง หรือใช้ผู้อื่นให้เผาผลาญบาป ซึ่งมีการฆ่าสัตว์ เป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มี ไม่มีบาปมาถึง ถึงแม้บุคคล พึงไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้ทานเองหรือใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเองหรือใช้ผู้อื่นให้บูชา บุญอันมีการให้ทาน เป็นต้น เป็นเหตุ ย่อมไม่มี บุญย่อมไม่มีมาถึง บุญย่อมไม่มี บุญย่อมไม่มาถึง เพราะการให้ เพราะการข่มใจ เพราะความสำรวม เพราะกล่าวคำสัตย์.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรง ต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น เขากล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลทำเอง หรือใช้ผู้อื่น ให้ทำ ตัดเองหรือใช้ผู้อื่นให้ตัด เผาผลาญเองหรือใช้ผู้อื่นให้เผาผลาญ ทำสัตว์ให้ เศร้าโศกเอง หรือให้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ให้เศร้าโศก ทำสัตว์ให้ลำบากเอง หรือให้ผู้อื่น ให้ทำสัตว์ให้ลำบาก ทำสัตว์ให้ดิ้นรนเอง หรือให้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ลักทรัพย์เอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลักทรัพย์ ตัดช่อง ปล้นใหญ่ ทำการปล้น เรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ในทางเปลี่ยว คบหาภรรยาของผู้อื่น พูดเท็จ บาปที่บุคคลทำอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นอันทำ

             แม้หากผู้ใดพึงทำสัตว์ในแผ่นดินนี้ ให้เป็นลานเนื้อแห่งเดียวกัน ให้เป็น กองเนื้อกองเดียวกัน ด้วยจักรมีคมโดยรอบ เช่นคมมีดโกน บาปซึ่งมีการทำสัตว์ ให้เป็นลานเนื้อ แห่งเดียวกันเป็นเหตุย่อมมี บาปย่อมมีมาถึง ถึงแม้บุคคลนั้น จะไปยัง ฝั่งขวาแห่งแม่น้ำคงคา ฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ตัดเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ตัด เผาผลาญเอง หรือใช้ผู้อื่นให้เผาผลาญ บาปซึ่งมีการฆ่าสัตว์เป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมมี บาปย่อมมีมาถึง

             ถึงแม้บุคคล พึงไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้ทานเองหรือใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นบูชา บุญอันมีการให้ทานเป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมมีบุญย่อมมีมาถึง บุญย่อมมี บุญย่อมมีมาถึง เพราะการให้ทาน เพราะการฝึกฝน เพราะความสำรวม เพราะกล่าวคำสัตย์. ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญ ความ ข้อนั้นเป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกแก่กันและกัน โดยตรงมิใช่หรือ?
อย่างนั้น พระเจ้าข้า.


7
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

ความเห็นที่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ

             [๑๑๑] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลทำเองหรือใช้ผู้อื่นให้ทำ ตัดเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ตัด เผาผลาญเอง หรือให้ผู้อื่นให้เผาผลาญ ทำสัตว์ให้เศร้า โศกเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ให้เศร้าโศก ทำสัตว์ให้ลำบากเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ ให้ลำบาก ทำสัตว์ให้ดิ้นรนเองหรือใช้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่น ให้ฆ่า ลักทรัพย์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ลัก ตัดช่อง ปล้นใหญ่ ทำการปล้นในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ในทางเปลี่ยว

             คบหาภรรยาของผู้อื่น พูดเท็จ บาปที่บุคคลทำอยู่ ย่อมไม่ชื่อว่า เป็นอันทำ ถึงหากผู้ใดพึงทำสัตว์ในแผ่นดินนี้ ให้เป็นลานเนื้อแห่งเดียวกัน ให้เป็น กองเนื้อ กองเดียวกัน ด้วยจักรมีคมโดยรอบเช่นคมมีดโกนบาปซึ่งมีการทำสัตว์ ให้เป็นลานเนื้อ แห่งเดียวกันเป็นเหตุ ย่อมไม่มี ไม่มีบาปมาถึง ถึงแม้บุคคลจะไปยัง ฝั่งขวา แห่งแม่น้ำ คงคา ฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ตัดเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ตัดเผาผลาญเอง หรือใช้ผู้อื่น ให้เผาผลาญ

              บาปซึ่งมีการฆ่าสัตว์เป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มี ไม่มีบาปมาถึง ถึงแม้บุคคล พึงไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้ทานเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเองหรือใช้ผู้อื่น ให้บูชา บุญอันมีการให้ทานเป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มี บุญย่อมไม่มีมาถึง บุญย่อมไม่มี บุญไม่มีมาถึง เพราะการให้ เพราะการข่มใจ เพราะความสำรวม เพราะกล่าวคำสัตย์ดังนี้.

             สมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นอันหวังข้อนี้ได้คือ จักเว้นกุศลธรรม ๓ ประการ คือ กายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตแล้วประพฤติ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่เห็นโทษ ความต่ำทรามความเศร้าหมอ งแห่งอกุศลธรรม ไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นธรรมฝ่ายขวาแห่งกุศลธรรม.

             ก็ความทำมีอยู่ แต่ผู้นั้นมีความเห็นว่า ความทำไม่มี ความเห็นของเขานั้น เป็นความเห็นผิด. ก็ความทำมีอยู่ ผู้นั้นดำริว่าความทำไม่มี ความดำริของเขานั้น เป็นความดำริผิด. ก็ความทำมีอยู่ ผู้นั้นกล่าววาจาว่าความทำไม่มี วาจาของเขานั้น เป็นมิจฉาวาจา.

             ก็ความทำมีอยู่ผู้นั้น กล่าวว่าความทำไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนให้เป็นข้าศึก ต่อ พระอรหันต์ ผู้มีวาทะว่า กรรมที่บุคคลทำอยู่ เป็นอันทำ. ก็ความทำมีอยู่ ผู้นั้นให้บุคคลอื่น สำคัญผิดว่าความทำไม่มี การที่ให้ผู้อื่นสำคัญผิดของเขานั้น เป็นการให้ผู้อื่นสำคัญผิด โดยไม่ชอบธรรม และเพราะการที่ให้ผู้อื่น สำคัญผิดโดยไม่เป็นธรรมนั้น เขาย่อมยกตน ข่มผู้อื่น. เขาละคุณคือความเป็นผู้มีศีล ตั้งไว้แต่โทษ คือความเป็นผู้ทุศีลขึ้นก่อนทีเดียว ด้วยประการฉะนี้.

             ส่วนอกุศลธรรมอันลามก เป็นอเนกเหล่านี้คือ ความเห็นผิด ความดำริผิด วาจาผิด ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยะ กิริยาที่ให้ผู้อื่นสำคัญผิด โดยไม่ชอบธรรม การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมมี เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.


8
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว

             [๑๑๒] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษผู้รู้แจ้งย่อมเห็น ตระหนักชัดว่า ถ้าแลความทำไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไปจักทำตน ให้เป็นผู้มีความสวัสดีได้. ถ้าแลความทำมีอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

             อนึ่ง ความทำอย่าได้มีจริง คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น จงเป็นคำจริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ ย่อมถูกวิญญูชนติเตียน ได้ในปัจจุบันว่า เป็นบุรุษ บุคคลทุศีล มีความเห็นผิด มีวาทะว่า กรรมที่บุคคลทำอยู่ ไม่เป็นอันทำ. ถ้าแลความทำ มีอยู่จริง ความยึดถือของท่านบุรุษบุคคลนี้ อย่างนี้ เป็นความปราชัยในโลกทั้งสอง คือ ในปัจจุบัน วิญญูชนติเตียน เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. อปัณณกธรรม นี้ ที่บุคคลถือไว้ชั่ว สมาทานชั่วอย่างนี้ ย่อมแผ่ไปโดยส่วนเดียว ย่อมละ เหตุ แห่งกุศลเสีย


9
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

ความเห็นที่ไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ

             [๑๑๓] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลทำเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ทำ ตัดเองหรือใช้ผู้อื่นให้ตัด เผาผลาญเอง หรือใช้ผู้อื่นให้เผาผลาญ ทำสัตว์ให้เศร้าโศกเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ทำสัตว์ให้เศร้าโศก ทำสัตว์ให้ลำบากเอง หรือใช้ผู้อื่นทำสัตว์ให้ลำบาก ทำสัตว์ให้ดิ้นรนเอง หรือใช้ผู้อื่นทำสัตว์ให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ลักทรัพย์ ตัดช่อง ปล้นใหญ่ทำการปล้นในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ในทางเปลี่ยว

             คบหาภรรยาของผู้อื่น พูดเท็จ บาปที่บุคคลทำอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นอันทำ แม้หาก ผู้ใดพึงทำสัตว์ในแผ่นดินนี้ ให้เป็นลานเนื้อแห่งเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้อกองเดียวกัน ด้วยจักรมีคมโดยรอบเช่นคมมีดโกน บาปอันมีกรรมทำสัตว์ให้เป็นลานเนื้อ แห่งเดียวกัน เป็นเหตุ ย่อมมี บาปย่อมมีมาถึง แม้บุคคลจะไปยังฝั่งขวา แห่งแม่น้ำคงคาฆ่าสัตว์เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า ตัดเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ตัด เผาผลาญเอง หรือใช้ผู้อื่นให้เผาผลาญบาป อันมีการฆ่าสัตว์เป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมมี บาปย่อมมีมาถึง

             ถ้าแม้บุคคลจะพึงไปยังฝั่งซ้าย แห่งแม่น้ำคงคา ให้ทานเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเอง หรือใช้ผู้อื่นให้บูชา บุญอันมีการให้ทานเป็นต้นเป็นเหตุ ย่อมมี บุญย่อมมีมาถึง บุญย่อมมี บุญย่อมมีมาถึง เพราะการให้ เพราะการข่มใจ เพราะความสำรวม เพราะกล่าว คำสัตย์ ดังนี้.

             สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นอันหวังข้อนี้ คือ จักเว้นอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต จักสมาทานกุศล ๓ ประการนี้ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต แล้วประพฤติ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมเห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม ย่อมเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ อันเป็นธรรมฝ่ายขาว แห่งกุศลธรรม.

             ก็ความทำมีอยู่จริง และเขามีความเห็นว่า ความทำมีอยู่ ความเห็นของเขานั้น เป็นความเห็นชอบ ความทำมีอยู่จริง ผู้นั้นดำริว่า ความทำมีอยู่ ความดำริของเขานั้ นเป็นความดำริชอบ.

             ก็ความทำมีอยู่จริง ผู้นั้นกล่าววาจาว่า ความทำมีอยู่ วาจาของเขานั้น เป็นวาจา ชอบ.

             ก็ความทำมีอยู่จริง ผู้นั้นกล่าวว่า ความทำมีอยู่ ผู้นี้ย่อมไม่ทำตนให้เป็นข้าศึก ต่อพระอรหันต์ผู้มีวาทะว่า กรรมที่บุคคลทำอยู่เป็นอันทำ.

             ก็ความทำมีอยู่จริง ผู้นั้นให้ผู้อื่นสำคัญว่าความทำมีอยู่ การที่ให้ผู้อื่นสำคัญ ของเขานั้น เป็นกิริยาที่ให้สำคัญโดยชอบธรรม และเพราะการที่ให้ผู้อื่น สำคัญโดย ชอบธรรมนั้น เขาย่อมไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น.

             เขาละโทษคือความเป็นผู้ทุศีล ตั้งไว้แต่คุณ คือความเป็นผู้มีศีลก่อนทีเดียว ด้วยประการฉะนี้.

             และกุศลธรรม เป็นอเนกเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การที่ให้ผู้อื่นสำคัญโดยธรรม การไม่ยกตน การไม่ข่ม ผู้อื่น ย่อมมีเพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้แล.


10
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรมที่ถือไว้ดี

             [๑๑๔] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์ เหล่านั้น บุรุษผู้รู้แจ้ง ย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ถ้าแลความทำมีอยู่จริง ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์. หากความทำอย่าได้มี คำของท่าน สมณพราหมณ์ เหล่านั้น จงเป็นคำจริง และเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ ย่อมเป็นผู้อันวิญญูชน สรรเสริญ ในปัจจุบันว่า เป็นบุรุษบุคคลมีศีล มีความเห็นชอบ มีวาทะว่า กรรมที่บุคคลทำอยู่เป็นอันทำ ดังนี้. ถ้าแลความทำมีอยู่จริง ความยึดถือ ของท่านบุรุษ บุคคลนี้อย่างนี้ เป็นความชนะในโลกทั้ง ๒ คือ ในปัจจุบันวิญญูชน สรรเสริญ เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์. อปัณณกธรรมที่บุคคลนั้น ถือดีสมาทา นดี อย่างนี้ ย่อมแผ่ไปโดยส่วน ๒ ย่อมละเหตุแห่งอกุศลเสีย.


11
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

วาทะที่เป็นข้าศึกกัน

             [๑๑๕] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะ อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองเอง เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพื่อความ บริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์เอง กำลังไม่มี ความเพียรไม่มี เรี่ยวแรงของบุรุษไม่มี ความบากบั่นของบุรุษไม่มี สัตว์ทั้งปวง ปาณะ ทั้งปวง ภูตทั้งปวง ชีวะทั้งปวงไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร เป็นแต่ แปรปรวนไป โดยความแยก ความผสม และตามภาวะ ย่อมเสวยสุขและทุกข์ ในอภิชาติทั้ง ๖ เท่านั้น

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีวาทะ เป็นข้าศึกโดยตรง ต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น เขากล่าวอย่างนี้ว่า เหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความเศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัยจึงเศร้าหมอง เหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัยจึงบริสุทธิ์ กำลังมีอยู่ ความเพียรมีอยู่ เรี่ยวแรงของบุรุษมีอยู่ ความบากบั่นของบุรุษมีอยู่สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวง ชีวะทั้งปวง มีอำนาจ มีกำลัง มีความเพียรแปรปรวนไป โดยความแยก ความผสม และตามภาวะ ย่อมเสวยสุขและทุกข์ในอภิชาติทั้ง ๖ เท่านั้น

              ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกันมิใช่หรือ.
อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

อภิชาติ ๖ คือ กัณหาภิชาติ นีลาภิชาติ โลหิตาภิชาติ หลิททาภิชาติ สุกกาภิชาติ ปรมสุกกาภิชาติ


12
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

ความเห็นที่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ

             [๑๑๖] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์นั้น สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพื่อความ เศร้าหมองของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองเอง เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มีเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์เองกำลังไม่มี ความเพียรไม่มี เรี่ยวแรงของบุรุษไม่มี ความบากบั่นของบุรุษ ไม่มี สัตว์ทั้งปวงปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวง ชีวะทั้งปวง ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรปรวนไปโดยความแยก ความผสม และตามภาวะ ย่อมเสวยสุข และทุกข์ในอภิชาติทั้ง ๖ เท่านั้น

             สมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นอันหวังข้อนี้ คือ จักเว้นกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือ กายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือ กายทุจริต วจีทุจริตมโนทุจริต แล้วประพฤติ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่เห็นโทษความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม ไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นธรรมฝ่ายขาวแห่งกุศลธรรม.

             ก็เหตุมีอยู่จริง แต่ผู้นั้นมีความเห็นว่า เหตุไม่มี ความเห็นของเขานั้น เป็นความเห็นผิด.

             ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นดำริว่าเหตุไม่มี ความดำริของเขานั้นเป็นความดำริผิด.
ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นกล่าววาจาว่า เหตุไม่มี วาจาของเขานั้นเป็นวาจาผิด.

             ก็เหตุมีอยู่จริงผู้นั้นกล่าวว่าเหตุไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนให้ เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ ผู้กล่าวเหตุ.

             ก็เหตุมีอยู่จริงผู้นั้นให้ผู้อื่นสำคัญผิดว่าเหตุไม่มี การให้ผู้อื่นสำคัญของเขานั้น เป็นกิริยาที่ให้สำคัญ โดยไม่ชอบธรรม และเพราะการที่ให้ผู้อื่น สำคัญโดย ไม่ชอบธรรมนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่น.

             เขาละคุณคือความเป็นผู้มีศีล ตั้งไว้แต่โทษ คือความเป็นผู้ทุศีลขึ้นก่อนทีเดียว ด้วยประการฉะนี้.

             อกุศลธรรมอันลามก เป็นอเนกเหล่านี้ คือ ความเห็นผิด ความดำริผิด วาจาผิด ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การที่ให้ผู้อื่นสำคัญโดยไม่ชอบธรรม การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมมีเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.


13
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว

             [๑๑๗] ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์นั้น บุรุษผู้รู้แจ้งย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ถ้าแลว่าเหตุไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไปจักทำตนให้มีความสวัสดีได้ ถ้าเหตุมีอยู่จริง เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไปจักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

             อนึ่ง หากเหตุอย่ามีจริง คำของท่านสมณพราหมณ์นั้น จงเป็นคำจริง ก็เมื่อเป็น อย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ อันวิญญูชนพึงติเตียนได้ในปัจจุบัน ว่าเป็นบุรุษบุคคลทุศีล มีความเห็นผิด มีวาทะว่าหาเหตุมิได้. ถ้าแลเหตุมีอยู่จริง ความยึดถือของท่านบุรุษ บุคคลนี้ อย่างนี้ เป็นความปราชัยในโลกทั้งสอง คือ ในปัจจุบัน วิญญูชนติเตียน เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. อปัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นถือชั่ว สมาทานชั่วอย่างนี้ ย่อมแผ่ไปโดยส่วนเดียว ย่อมละเหตุแห่งกุศลเสีย.


14
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

ความเห็นที่ไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ

             [๑๑๘] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์นั้น สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เหตุมีปัจจัยมี เพื่อความเศร้าหมอง ของสัตว์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองเอง เหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัย ย่อมบริสุทธิ์เอง กำลังมีอยู่ ความเพียรมีอยู่เรี่ยวแรงของบุรุษมีอยู่ ความบากบั่นของบุรุษมีอยู่ สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวงชีวะทั้งปวง มีอำนาจ มีกำลัง มีความเพียร แปรปรวนไปโดย ความแยก ความผสม และตามภาวะย่อมเสวยสุขและทุกข์ ในอภิชาติทั้ง ๖ เท่านั้น

             สมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือจักเว้นอกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต จักสมาทานกุศลกรรม ๓ประการนี้ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต แล้วประพฤติ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมเห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของอกุศลธรรม ย่อมเห็นอานิสงส์ ในเนกขัมมะ อันเป็นธรรมฝ่ายขาว แห่งกุศลธรรม.

             ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นมีความเห็นว่า เหตุมี ความเห็นของเขานั้น เป็นความเห็นชอบ. ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นดำริว่าเหตุมี ความดำริของเขานั้น เป็นความดำริชอบ.

             ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นกล่าววาจาว่า เหตุมีวาจาของเขานั้นเป็นวาจาชอบ. ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นกล่าวว่า เหตุมี ผู้นี้ย่อมไม่ทำตนให้เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ ผู้มีวาทะ ว่า เหตุมี. ก็เหตุมีอยู่จริง ผู้นั้นให้ผู้อื่นสำคัญว่า มีเหตุ การที่ให้ผู้อื่นสำคัญของเขานั้น เป็นการที่ให้สำคัญโดยชอบธรรม และเพราะการที่ให้ผู้อื่น สำคัญโดยชอบธรรมนั้น เขาย่อมไม่ยกตน ย่อมไม่ข่มผู้อื่น.

             เขาละโทษ คือความเป็นผู้ทุศีล ตั้งไว้เฉพาะแต่ความเป็นผู้มีศีลก่อนทีเดียว ด้วยประการฉะนี้. กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ ความเห็นชอบความดำริชอบ วาจาชอบ ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การที่ให้ผู้อื่นสำคัญโดยชอบธรรม การไม่ยกตน การไม่ข่ม ผู้อื่น ย่อมมี เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัยด้วยประการฉะนี้.


15
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

อปัณณกธรรมที่ถือไว้ดี

             [๑๑๙] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์นั้น บุรุษผู้เป็นวิญญูย่อมเห็น ตระหนักชัดว่า ถ้าเหตุมีอยู่จริง เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษ บุคคลนี้ เมื่อตายไปจะเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์.

              ก็ถ้าเหตุอย่าได้มีจริง วาจาของท่าน สมณพราหมณ์เหล่านั้น จงเป็นคำสัตย์ ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ ย่อมเป็น ผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ ในปัจจุบันว่า เป็นบุรุษบุคคลผู้มีศีล มีความเห็นชอบ มีวาทะว่า มีเหตุ.

              และถ้าเหตุมีอยู่จริง ความยึดถือของท่านบุรุษบุคคลนี้ อย่างนี้ เป็นความชนะ ในโลกทั้งสอง คือ ในปัจจุบัน ย่อมเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ เมื่อตายไป จักเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์. อปัณณกธรรมนี้ ที่บุคคลนั้นยึดถือดีสมาทานดี อย่างนี้ ย่อมแผ่ไปโดยส่วน ๒ ย่อมละเหตุแห่งอกุศลเสีย.


16
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

วาทะว่าอรูปพรหมไม่มี

             [๑๒๐] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่งมีวาทะ อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมย่อมไม่มี ด้วยอาการทั้งปวง สมณพราหมณ์ พวกหนึ่ง มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อ สมณพราหมณ์พวกนั้น เขากล่าวอย่างนี้ว่า อรูปพรหม มีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง.ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรง ต่อกันและกันมิใช่หรือ?

             อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์นั้น บุรุษผู้เป็น วิญญู ย่อมเห็นตระหนักดังนี้ว่า ข้อที่ว่าท่านสมณพราหมณ์ มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่าอรูปพรหม ไม่มีด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เราไม่เห็น แม้ข้อที่ว่า ท่านสมณ พราหมณ์ มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมมีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เราไม่รู้ ส่วนเราเองเล่า เมื่อไม่รู้เมื่อไม่เห็น จะพึงถือเอาโดยส่วนเดียวแล้วกล่าวว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้ข้อนั้น พึงเป็นการสมควรแก่เราหามิได้

             ถ้าคำของท่านสมณพราหมณ์ ที่มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมไม่มี ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เป็นคำจริง ข้อที่เราจักเกิดขึ้น ในเหล่าเทวดา ที่มีรูป สำเร็จด้วยใจ ซึ่งไม่เป็นความผิด นี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ถ้าคำของท่าน สมณพราหมณ์ ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า อรูปพรหมมีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เป็นคำจริง ข้อที่เราจักเกิดขึ้นในเหล่าเทวดา ที่ไม่มีรูปสำเร็จด้วยสัญญา ซึ่งไม่เป็นความผิด นี้เป็นฐานะที่จะมีได้

             อนึ่งการถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การตัวต่อตัวการ กล่าวส่อเสียดและมุสาวาท ซึ่งมีรูปเป็นเหตุ ย่อมปรากฏ แต่ข้อนี้ ย่อมไม่มี ในอรูปพรหมด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้. บุรุษผู้เป็นวิญญูนั้น ครั้นพิจารณาเห็น ดังนี้แล้ว ย่อมปฏิบัติ เพื่อหน่ายเพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิทแห่งรูปอย่างเดียว.


17
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

วาทะว่าความดับแห่งภพไม่มี

             [๑๒๑] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่งมีวาทะ อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพ ไม่มีด้วยอาการทั้งปวง. สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรง ต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น เขากล่าวอย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพ มีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง. ดูกรพราหมณ์แ ละคฤหบดีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรง ต่อกันและกัน มิใช่หรือ?

             อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษผู้เป็นวิญญู ย่อมเห็นตระหนักดังนี้ว่า ข้อที่ท่านสมณพราหมณ์ มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพไม่มีด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เราไม่เห็นแม้ข้อ ที่ท่านสมณพราหมณ์ มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพ มีอยู่ ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เราไม่รู้ ส่วนเราเองเล่าเมื่อไม่รู้ เมื่อไม่เห็น จะพึงถือเอาโดย ส่วนเดียว แล้วกล่าวว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่าดังนี้

             ข้อนั้นพึงเป็นการสมควรแก่เราหามิได้ ถ้าคำของท่านสมณพราหมณ์ ที่มีวาทะ อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพ ไม่มีด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เป็นคำจริง ข้อที่เราจักเกิดขึ้นในเหล่าเทวดาที่ไม่มีรูป สำเร็จด้วยสัญญา ซึ่งไม่เป็นความ ผิดนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้ อนึ่งถ้าคำของท่านสมณพราหมณ์ ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพ มีอยู่ด้วยอาการทั้งปวง ดังนี้ เป็นคำจริง

             ข้อที่เราจักปรินิพพานในปัจจุบันนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้.

             ความเห็นของท่าน สมณพราหมณ์ ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพไม่มี ด้วยอาการทั้งปวงนี้ ใกล้ต่อธรรมเป็นไปกับด้วยความกำหนัด ใกล้ต่อธรรมเครื่อง ประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ต่อธรรมเครื่องเพลิดเพลิน ใกล้ต่อธรรมเครื่อง สยบ ใกล้ต่อธรรม เครื่องถือมั่นส่วนความเห็น ของท่านสมณพราหมณ์ ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า ความดับสนิทแห่งภพมีอยู่ ด้วยอาการทั้งปวงนี้ ใกล้ต่อธรรม อันไม่เป็นไป กับด้วยราคะ ใกล้ต่อธรรม อันมิใช่ธรรมประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ต่อธรรมอัน มิใช่เครื่อง เพลิดเพลิน ใกล้ต่อธรรมอันมิใช่เครื่องสยบ ใกล้ต่อธรรมอันไม่เป็นเครื่อง ยึดมั่น บุรุษผู้ เป็นวิญญูนั้น ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อหน่าย เพื่อคลาย กำหนัด เพื่อดับสนิท แห่งภพเท่านั้น.


18
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

บุคคล ๔ จำพวก

             [๑๒๒] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน

๑) คือบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบ ความขวนขวายในการ ทำตน ให้เดือดร้อน.

๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบการขวนขวาย ในการทำ ผู้อื่น ให้เดือดร้อน.

๓) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน และประกอบการขวนขวาย ในการทำ ตน ให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และประกอบความขวนขวาย ในการทำผู้อื่น ให้เดือดร้อน

๔) บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน และไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

              เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนนั้น ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบันเทียว.

             [๑๒๓] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อนเป็นไฉน?

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเปลือย ทอดทิ้งมารยาทเลียมือ เขาเชิญให้มารับภิกษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่ยินดี ภิกษาที่เขานำมาให้ไม่ยินดีภิกษาที่เขาทำเฉพาะ ไม่ยินดีภิกษาที่เขานิมนต์ ไม่รับภิกษา ปากหม้อ ไม่รับภิกษาจากปากกระเช้า ไม่รับภิกษาคร่อมธรณีประตู ไม่รับภิกษาคร่อม ท่อนไม้ ไม่รับภิกษาคร่อมสาก ไม่รับภิกษาของคน ๒ คนที่กำลังบริโภคอยู่

ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ไม่รับภิกษาของหญิงผู้กำลังให้ลูกดูดนม ไม่รับภิกษา ของหญิง ผู้คลอเคลียบุรุษ ไม่รับภิกษาที่นัดแนะกันทำไว้ ไม่รับภิกษาในที่ที่เขา เลี้ยงสุนัข ไม่รับภิกษา ในที่มีแมลงวันไต่ตอมเป็นกลุ่ม ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มน้ำหมักดอง เขารับภิกษาที่เรือนหลังเดียว เยียวยาอัตภาพ ด้วยข้าว คำเดียวบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๒ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๒ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๓ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๓ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๔ หลัง เยียวยาอัตภาพ ด้วยข้าว ๔ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๕ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๕ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๖ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๖ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๗ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง เยียวยาอัตภาพด้วยภิกษาในถาดน้อยใบเดียวบ้าง ๒ ใบบ้าง ๓ ใบบ้าง ๔ ใบบ้าง ๕ ใบบ้าง ๖ ใบบ้าง ๗ ใบบ้าง กินอาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่ง บ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง ๔ วันบ้าง ๕ วันบ้าง ๖ วันบ้าง ๗ วันบ้าง

             เป็นผู้ประกอบความขวนขวาย ในการบริโภคภัต ที่เวียนมาตลอดกึ่งเดือน แม้เช่นนี้ ด้วยประการฉะนี้ เขาเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็น ภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีข้าวไหม้เป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่น เยียวยาอัตภาพ.

             เขาทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้ บ้าง หนังเสือบ้าง หนังเสือทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกปอกรองบ้าง ผ้าผลไม้ กรองบ้างผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยขนปีกนก เค้าบ้าง เป็นผู้ถอนผมและหนวด คือ ประกอบความขวนขวาย ในการถอนผมและ หนวดบ้าง เป็นผู้ยืน คือ ห้ามอาสนะเป็นผู้กระโหย่ง คือ ประกอบความเพียร ในการกระโหย่ง (คือ เดินกระโหย่งเหยียบพื้นไม่เต็มเท้าบ้าง)

              เป็นผู้นอนบนหนาม คือ สำเร็จการนอนบนหนามบ้าง เป็นผู้อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือประกอบการขวนขวาย ในการลงน้ำบ้าง เป็นผู้ประกอบความขวนขวาย ในการ ทำให้กายเดือดร้อนเร่าร้อน หลายอย่างเห็นปานนี้อยู่

              ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ทำตนให้ เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำตน ให้เดือดร้อน.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบ ความขวนขวาย ในการทำผู้อื่น ให้เดือดร้อนเป็นไฉน?

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ฆ่าแพะเลี้ยงชีวิต ฆ่าสุกรเลี้ยงชีวิต ฆ่านกเลี้ยงชีวิต ฆ่าเนื้อเลี้ยงชีวิต เป็นคนเหี้ยมโหด เป็นคนฆ่าปลา เป็นโจร เป็นคนฆ่าโจร เป็นคนปกครองเรือนจำ หรือบุคคลเหล่าอื่นบางพวก เป็นผู้ทำการงาน อันทารุณ

              ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ทำผู้อื่นให้ เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน และ ประกอบ ความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และประกอบ ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อนเป็นไฉน?

             ดูกรพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นพระราชา มหากษัตริย์ ผู้ได้มูรธาภิเษกแล้วก็ดี เป็นพราหมณ์มหาศาลก็ดี พระราชาหรือพราหมณ์ นั้น โปรดให้ทำโรงที่บูชายัญขึ้นใหม่ ทางด้านบูรพาแห่งพระนคร แล้วทรงจำเริญ พระเกศา และพระมัสสุ ทรงนุ่งหนังเสือทั้งเล็บ ทรงทาพระกายด้วยเนยใส และน้ำมันงา ทรงเกาพระปฤษฎางค์ ด้วยเขามฤค เข้าไปยังโรงที่บูชายัญใหม่ พร้อมด้วยพระมเหสี และพราหมณ์ปุโรหิต บรรทมบนพื้นดิน อันมิได้ลาดด้วยเครื่องลาด ทาด้วยโคมัยสด น้ำนมในเต้าที่หนึ่ง แห่งโคแม่ลูกอ่อนตัวเดียว มีเท่าใดพระราชา ทรงเยียวยาอัตภาพ ด้วยน้ำนมเท่านั้น

             น้ำนมในเต้าที่ ๒ มีเท่าใด พระมเหสีทรงเยียวยาอัตภาพ ด้วยน้ำนมเท่านั้น น้ำนมในเต้าที่ ๓ มีเท่าใด พราหมณ์ปุโรหิตย่อมเยียวยาอัตภาพ ด้วยน้ำนมเท่านั้น น้ำนมในเต้าที่ ๔ มีเท่าใด ก็บูชาไฟด้วยน้ำนมเท่านั้น ลูกโคเยียวยาอัตภาพ ด้วยน้ำนม ที่เหลือ พระราชาหรือพราหมณ์นั้น ตรัสอย่างนี้ว่า เพื่อต้องการบูชายัญ จงฆ่าโคผู้ ประมาณ เท่านี้ ลูกโคผู้ประมาณเท่านี้ ลูกโคเมียประมาณเท่านี้ แพะประมาณเท่านี้ แกะประมาณเท่านี้ ม้าประมาณเท่านี้ จงตัดต้นไม้ประมาณเท่านี้ เพื่อต้องการทำเป็น เสายัญ จงเกี่ยวหญ้าประมาณเท่านี้ เพื่อต้องการลาดพื้น

             ชนเหล่าใดที่เป็นทาสก็ดี เป็นคนใช้ก็ดี เป็นกรรมกรก็ดี ของพระราชาหรือ พราหมณ์นั้น ชนเหล่านั้นถูกอาชญาคุกคาม ถูกภัยคุกคาม มีน้ำตานองหน้าร้องไห้ ทำการงานตามกำหนด

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ทำตนให้ เดือดร้อน และประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน.

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ก็บุคคลไม่เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อนแ ละไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนและ ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่น ให้เดือดร้อน ไม่มีความหิวดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็น ดังพรหม อยู่ในปัจจุบันทีเดียว เป็นไฉน?

             ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

              พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญา อันยิ่งของพระองค์แล้ว ทรงสอน หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณ พราหมณ์เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้อง ต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้ง อรรถพร้อมทั้ง พยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดีหรือผู้เกิดเฉพาะ ในตระกูลใด ตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น

             ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครอง เรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำ ได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต.

             เขาบวชอย่างนี้แล้ว ถึงพร้อมด้วยสิกขา และอาชีพเสมอด้วยภิกษุทั้งหลาย
๑. ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

๒. ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขา ให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.

๓. ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นจากเมถุน อันเป็นกิจของชาวบ้าน.

๔. ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็น หลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.

๕. ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้ คน หมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าว กัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้ พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคน ผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าว แต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.

๖. ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ.

๗. ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.

๘. เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม.
๙. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.
๑๐. เธอเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล.
๑๑. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ ตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
๑๒. เธอเว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.
๑๓. เธอเว้นขาดจากการรับทองและรับเงิน.
๑๔. เธอเว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.
๑๕. เธอเว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.
๑๖. เธอเว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.
๑๗. เธอเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.
๑๘. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
๑๙. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
๒๐. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.
๒๑. เธอเว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.
๒๒. เธอเว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้.
๒๓. เธอเว้นขาดจากการซื้อและการขาย.
๒๔. เธอเว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.
๒๕. เธอเว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง.
๒๖. เธอเว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และกรรโชก.

             เธอเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร เป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่อง บริหารท้อง เธอจะไปทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวร เป็น เครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง.

             ภิกษุนั้นประกอบด้วย ศีลขันธ์อันเป็นอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุข อันปราศจาก โทษในภายใน เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้ อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัส ครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวม ใน จักขุนทรีย์ เธอฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยชิวหา ... ถูกต้อง โผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ

             เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้ อกุศลธรรม อันลามกคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึง ความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวร อันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวย สุข อันไม่ระคน ด้วยกิเลสในภายใน.

             ภิกษุนั้นย่อมทำความรู้สึกตัว ในการก้าวไป ในการถอยกลับ ในการแล ในการเหลียวในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตร และจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยวการลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง.

             ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติและสัมปชัญญะ อันเป็นอริยะ เช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า

              เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ ย่อม ชำระจิตให้ บริสุทธิ์ จากความเพ่งเล็ง ละความประทุษร้าย คือ พยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

              ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความ ประทุษร้าย คือ พยาบาทได้ ละถีนมิทธะ แล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนด หมาย อยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้าม วิจิกิจฉา ไม่มีความเคลือบแคลง ในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากวิจิกิจฉา.

             ภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ อันทำปัญญา ให้ทุรพลได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปิติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะ ทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขา เป็นเหตุ ให้สติบริสุทธิ์อยู่.

             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่ง บ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

             ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วไม่มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึง ชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.

             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่า

             สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้.

             ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะนี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา. เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.

             ดูกรพราหมณ์คฤหบดีทั้งหลาย บุคคลนี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ทำตนให้ เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำ ผู้อื่น ให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดัง พรหมอยู่ ในปัจจุบันเทียว.


19
(อปัณณกสูตร) พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๐๓

พราหมณ์และคฤหบดี แสดงตนเป็นอุบาสก

             [๑๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์คฤหบดี และชาวบ้าน ศาลาทั้งหลาย ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคล หงายของ ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มี จักษุ จักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

             ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ ขอถึงท่านพระโคดม พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึง สรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล.

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์