เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

พรหมเข้าเฝ้า..สนังกุมารพรหม ท้าวสหัมบดีพรหม เรื่องพระพุทธเจ้า สิขี ลำดับการปริพนิพพาน 1859
 
ทุติยวรรคที่ ๒
สนังกุมารสูตรที่ ๑
เทวทัตตสูตรที่ ๒
อันธกวินทสูตรที่ ๓
อรุณวตีสูตรที่ ๔
ปรินิพพานสูตรที่ ๕
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 

           
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔

ทุติยวรรคที่ ๒

สนังกุมารสูตรที่ ๑

           [๖๐๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสัปปินี เขตพระนครราชคฤห์ ฯ

           ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้วมีรัศมีอันงดงามยิ่ง ยังฝั่งแม่น้ำ สัปปินีทั้งสิ้นให้สว่างแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ครั้นแล้ว ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           [๖๐๗] สนังกุมารพรหม ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ภาษิต คาถานี้ ในสำนัก แห่งพระผู้มีพระภาคว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วย โคตร แต่ ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดใน เทวดาและมนุษย์

           [๖๐๘] สนังกุมารพรหมได้กราบทูลคำนี้แล้ว พระศาสดาได้ทรงพอพระทัยแล้ว

           ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหมทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัยต่อเราถวาย อภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วอันตรธานไปในที่นั้นเอง


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔ - ๒๑๕

เทวทัตตสูตรที่ ๒

           [๖๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ในเมื่อ พระเทวทัตต์ หลีกไปแล้วไม่นาน

           ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีอันงดงามยิ่ง ยังภูเขาคิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภ าคยังที่ประทับ ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           [๖๑๐] ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วปรารภพระเทวทัตต์ ได้ภาษิตคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ย่อม ฆ่าต้นไผ่ ขุยอ้อย่อม ฆ่าต้นอ้อ สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้า อัสดร ฉะนั้น


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๕ - ๒๑๖

อันธกวินทสูตรที่ ๓

           [๖๑๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในอันธกวินทคาม ในแคว้นมคธ ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่ในที่แจ้งในราตรีอันมืด และฝนกำลังตก ประปรายอยู่

           ลำดับนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีอันงดงาม ยิ่ง ยังอันธกวินทคามทั้งสิ้น ให้สว่างแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

           [๖๑๒] ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ภาษิตคาถา เหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุพึงเสพที่นอน และที่นั่งอันสงัด พึงประพฤติ เพื่อความ หลุดพ้นจากสัญโญชน์ ถ้าว่าภิกษุไม่พึงได้ความยินดีในที่นั้น ไซร้ ก็พึงเป็นผู้ มีตนอันรักษาแล้ว มีสติ พึงอยู่ในหมู่ภิกษุ ผู้เที่ยวไปอยู่จากตระกูลสู่ตระกูล เพื่อ บิณฑบาต มีอินทรีย์ อันคุ้มครองแล้ว มีปัญญารักษาตน มีสติ พึงเสพที่นอน และที่นั่ง อันสงัด ภิกษุพ้นแล้วจากภัย น้อมไปแล้วในธรรม อันไม่มีภัย ปราศจากความสยดสยอง นั่งอยู่แล้วในที่มีสัตว์ เลื้อยคลาน อันน่ากลัว สายฟ้าฉวัดเฉวียน ฝนตกในราตรี อันมืด

           ก็ข้าพระองค์ไม่อาจกำหนดนับในใจของข้าพระองค์ ได้เลยว่า เหตุนี้ข้าพระองค์ เคยเห็นแล้วแน่ ข้าพระองค์ ไม่กล่าวถึงเหตุนี้ว่า เป็นอย่างนี้ในพรหมจรรย์ (คือธรรม เทศนา) คราวหนึ่งเกิดมีพระขีณาสพ ผู้ละความตายได้มีจำนวน พัน พระเสขะมากกว่า ห้าร้อย และพระเสขะทั้งสิบ ทั้งร้อย ทั้งหมดถึงกระแสมรรคแล้ว ไม่ไปสู่กำเนิด สัตว์ดิรัจฉาน ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ เป็นผู้มีส่วนบุญดังนี้ เพราะกลัวมุสาวาท


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๖ - ๒๑๙

อรุณวตีสูตรที่ ๔

           [๖๑๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค อยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี

           ในที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว

           [๖๑๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มี พระราชาพระนามว่า "อรุณวา" ราชธานีของพระเจ้าอรุณวามีนามว่า"อรุณวตี" พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธพระนามว่าสิขี ทรงเข้าไป อาศัยราชธานีอรุณวตี ประทับอยู่

           ก็พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขี ได้มีคู่พระสาวก นามว่า พระอภิภู และพระสัมภวะ เป็นคู่พระสาวกที่เจริญเลิศ

           [๖๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขี ตรัสเรียกภิกษุ นามว่าอภิภูมาว่า ดูกรพราหมณ์ มาเถิดเราจักไป พรหมโลก ชั้นใดชั้นหนึ่งชั่วกาล กว่าจะถึงเวลาฉัน ภิกษุอภิภูทูลรับพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่า สิขีแล้ว

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขี และ ภิกษุอภิภู ได้หายไปจากอรุณวตีราชธานี ปรากฏในพรหมโลกนั้น เหมือนอย่างบุรุษ ผู้มีกำลังเหยียดแขนที่งอเข้ามาแล้วออกไป หรืองอแขนที่เหยียดออกไป แล้วเข้ามา ฉะนั้น

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีตรัสกะ ภิกษุอภิภูว่า ดูกรพราหมณ์ ธรรมีกถาจงแจ่มแจ้งแก่พรหม พรหมบริษัท และ พรหมปาริสัชชะ ทั้งหลายเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอภิภู รับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขีแล้ว แล้วยังพรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว

           [๖๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าในกาลนั้น พรหม พรหมบริษัท และ พรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ยกโทษติเตียนโพนทะนาว่า แน่ะท่านผู้เจริญน่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลย ก็เมื่อพระศาสดาประทับอยู่เฉพาะหน้า เหตุไฉนพระสาวกจึงแสดงธรรม ฯ

           ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขี ตรัสเรียก ภิกษุอภิภูมาว่า ดูกรพราหมณ์ พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะเหล่านั้น ติเตียนว่า แน่ะท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลย ก็เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ เฉพาะหน้า เหตุไฉนพระสาวก จึงแสดงธรรม ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้พรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย หลากใจยิ่งขึ้นกว่าประมาณ

           ภิกษุภิอภูทูลรับพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่า สิขีแล้ว มีกายปรากฏแสดงธรรมบ้าง มีกายไม่ปรากฏแสดงธรรมบ้าง มีกายปรากฏ กึ่งหนึ่ง ตอนล่าง ไม่ปรากฏกึ่งหนึ่งตอนบน แสดงธรรมบ้าง มีกายปรากฏกึ่งหนึ่งตอนบน ไม่ปรากฏ กึ่งหนึ่งตอนล่างแสดงธรรมบ้าง

           [๖๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในกาลนั้น พรหม พรหมบริษัท และ พรหมปาริสัชชะ ทั้งหลาย ได้มีจิตพิศวงเกิดแล้วว่า น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาเลย ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ความที่สมณะ ผู้เป็นมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุอภิภู ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธพระนามว่าสิขีว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ย่อมทราบ ข้าพระองค์เป็น ผู้กล่าววาจาเห็นปานนี้ ในท่ามกลาง ภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราอยู่ที่พรหมโลกสามารถ ยังหมื่นโลกธาตุให้รู้ แจ่มแจ้งด้วยเสียงได้

           พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขีตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เป็นกาลของเธอ ที่เธอยืนอยู่ที่พรหมโลก พึงยังหมื่นโลกธาตุให้รู้แจ่มแจ้งด้วยเสียงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอภิภูทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขีว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้แล้ว ยืนอยู่ในพรหมโลก ได้ภาษิตคาถา เหล่านี้ว่า ท่านทั้งหลายจงริเริ่ม จงก้าวหน้า จงประกอบ (ความเพียร) ในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุเหมือนช้างกำจัด เรือนไม้อ้อ ฉะนั้น ผู้ใดจักไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้ อยู่ ผู้นั้นจักละสงสารคือชาติ แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

           [๖๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขี และภิกษุอภิภูยังพรหม พรหมบริษัท และพรหมปาริสัชชะทั้งหลาย ให้หลากใจแล้ว ได้หายไปจากพรหมโลกนั้น (มา) ปรากฏในอรุณวตีราชธานี เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่งอเข้ามาแล้วออกไป หรืองอแขนที่เหยียดออกไป แล้วเข้ามาฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธ พระนามว่าสิขี ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ใน พรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินหรือไม่

           ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เมื่อภิกษุอภิภูยืน อยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถา ทั้งหลาย อยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินแล้ว พระเจ้าข้า

           พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขี ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุอภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินว่าอย่างไร

           ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ว่า "ท่านทั้งหลายจงริเริ่ม จงก้าวหน้า จงประกอบ (ความเพียร) ในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุ เหมือนช้างกำจัด เรือนไม้อ้อ ฉะนั้น ผู้ใดจักไม่ประมาท ในพระธรรมวินัยนี้อยู่ ผู้นั้นจักละ สงสารคือชาติ แล้วจักกระทำที่สุดทุกข์ได้ พระเจ้าข้า"

           เมื่อภิกษุอภิภูยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถาทั้งหลายอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ยินแล้วอย่างนี้

           [๖๑๙] พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธ พระนามว่าสิขี ตรัสว่า ดีละดีละ ภิกษุทั้งหลาย ดีแท้ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก กล่าวคาถา ทั้งหลายอยู่ เธอทั้งหลายได้ยินแล้ว

           พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมีใจยินดี ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๙ - ๒๒๑

ปรินิพพานสูตรที่ ๕

           [๖๒๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่สาลวัน อันเป็นที่แวะพัก แห่ง มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย เขตเมืองกุสินารา ระหว่างแห่งสาลพฤกษ์ทั้งคู่ ในสมัยจะเสด็จ ปรินิพพาน

           ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เอาเถิด บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ดังนี้ นี้เป็นวาจา ครั้งสุดท้ายของตถาคต

           [๖๒๑] ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงเข้า ปฐมฌาน
ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน

ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน ออกจากอากาสานัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน ออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ

ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน ออกจากอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน ออกจากวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน

ออกจากอากาสานัญจายตนฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน
ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับนั้น

           [๖๒๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า สัตว์ทุกหมู่เหล่า จักทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก พระตถาคต ผู้ศาสดา ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้ในโลก ถึงแล้วซึ่งกำลัง พระญาณเป็น พระสัมพุทธเช่นนี้ ยังปรินิพพานแล้ว

           [๖๒๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ของทวยเทพ ได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาล เป็นที่ปรินิพพานว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไป เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความเข้าไปสงบสังขาร เหล่านั้นเป็นสุข

           [๖๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า เมื่อพระสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยอาการอันประเสริฐ ทั้งปวง ปรินิพพานแล้ว ความสยดสยอง (และ) ความชูชันแห่งขน ได้มีแล้วในกาลนั้น

           [๖๒๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธ ได้กล่าวคาถานี้ พร้อมกับกาลเป็นที่ปรินิพพานว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะ (หายใจเข้าออก) มิได้มีแล้วแด่ พระผู้มีพระภาคผู้มีจิตตั้งมั่นคงที่ พระผู้มีพระภาค มีจักษุไม่ทรงหวั่น ไหว ทรงปรารภ สันติ ปรินิพพานแล้ว พระผู้มีพระภาคมีจิต ไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาเสียได้ ความพ้น แห่งจิตได้มี แล้ว เหมือนความดับแห่งประทีป ฉะนั้น

 

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์