พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๔-๑๗๘
มารธีตุสูตรที่ ๕
[๕๐๕] ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาจึงพากัน เข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือ เศร้าโศกถึงผู้ชายคนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชาย คนนั้นด้วย บ่วง คือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้น ชายนั้นจัก ตกอยู่ ในอำนาจของคุณพ่อ
[๕๐๖] พระยามารกล่าวว่า ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้ อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมาร ไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก
[๕๐๗] ครั้งนั้นแล มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันเข้าไป เฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาทของพระองค์
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค มิได้ทรงใส่พระทัยถึงคำของนางมารธิดาเหล่านั้น เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลส อย่างยอดเยี่ยม
[๕๐๘] ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงหลีก ออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษมีต่างๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศ เป็นนางกุมาริกา คนละร้อยๆ
ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันนิรมิตเพศ เป็น นางกุมาริกาคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มี พระภาค อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของพระองค์
พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะพระองค์
ทรงน้อม พระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
[๕๐๙] ลำดับนั้น มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคาพากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ร่วมกันคิดอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษมีต่างๆ กัน อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรพากันจำแลงเพศเป็นหญิง ยังไม่เคยคลอดบุตรคนละร้อยๆ
ลำดับนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันจำแลง เพศ เป็นหญิงยังไม่เคยคลอดบุตรคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะพวกหม่อมฉัน จะขอบำเรอบาท ของ พระองค์
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์ทรงน้อม พระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
[๕๑๐] ฝ่ายนางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันหลีกไป ณ ที่ควรข้างหนึ่งแล้ว ร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษทั้งหลายมีต่างๆ กันอย่ากระนั้นเลย พวกเรา ควรจำแลงเพศเป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้วคราวเดียวคนละร้อยๆ
ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันจำแลงเพศเป็นหญิง คลอดแล้ว คราวเดียวคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วกราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาท ของพระองค์
ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อม พระทัย ไปในความสิ้นอุปธิกิเลส อย่างยอดเยี่ยม
[๕๑๑] ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากันจำแลงเพศ เป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้ว ๒ คราว คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ แม้ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อม พระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลส อย่างยอดเยี่ยม
[๕๑๒] ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากันจำแลงเพศ เป็นหญิงกลางคน คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับฯลฯ ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัย ไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
[๕๑๓] ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากันจำแลงเพศ เป็นหญิงผู้ใหญ่คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงที่ประทับฯลฯ แม้ถึง อย่างนั้น พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัย ไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม
[๕๑๔] ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันหลีกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงพูดกันว่า เรื่องนี้จริงดังบิดาของเรา ได้พูดไว้ว่า ชายนั้นเป็น พระอรหันต์ ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้ อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วง บ่วงมารไป ได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก
ก็ถ้าพวกเรา พึงเล้าโลมสมณะ หรือพราหมณ์คนใด ที่ยังไม่หมดราคะ ด้วยความ พยายามอย่างนี้ หทัยของสมณะ หรือพราหมณ์ คนนั้นพึงแตก หรือโลหิตอุ่นพึงพลุ่ง ออกจากปาก หรือพึงถึงกับเป็นบ้า หรือถึงความมีจิตฟุ้งซ่าน (จิตลอย)เหมือนอย่างไม้ อ้อสด อันลมพัดขาดแล้ว ย่อมหงอยเหงาเหี่ยวแห้งไป แม้ฉันใดสมณะ หรือ พราหมณ์ นั้น พึงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป ฉันนั้นเหมือนกัน
ครั้นแล้ว นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๕๑๕] นางตัณหามารธิดา ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซาอยู่ในป่า อย่างนี้ ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลัง ปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำ ความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือ เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชน ทั้งปวงเล่า หรือว่า ท่านทำมิตรภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ
[๕๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เราชนะเสนาคือปิยรูป และสาตรูป (รูปที่รักและรูปที่พอใจ) เป็นผู้ๆ เดียวเพ่งอยู่ ได้รู้ความบรรลุประโยชน์ และความ สงบแห่งหทัย ว่าเป็นความสุข ฯ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ทำความเป็นมิตรกับชนทั้งปวง และ ความเป็นมิตรกับใครๆ ย่อมไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่เรา
[๕๑๗] ลำดับนั้น นางอรดีมารธิดา ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ภิกษุในพระศาสนานี้ มีปรกติอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่าง ไหนมาก จึงข้ามโอฆะทั้ง ๕ แล้ว เวลานี้ได้ข้ามโอฆะที่ ๖ แล้ว กามสัญญาทั้งหลาย ย่อมห้อมล้อม ไม่ได้ซึ่งบุคคล ผู้เพ่ง ฌานอย่างไหนมาก
[๕๑๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า บุคคลมีกายอันสงบแล้ว มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว เป็นผู้ไม่มี อะไรๆ เป็นเครื่องปรุงแต่ง มีสติ ไม่มีความอาลัย ได้รู้ทั่ว ซึ่งธรรม มีปรกติ เพ่งอยู่ด้วยฌานที่ ๔ อันหาวิตกมิได้ ย่อม ไม่กำเริบ ไม่ซ่านไป ไม่เป็นผู้ย่อท้อ ฯ ภิกษุในศาสนานี้ เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วย ธรรมเป็นเครื่องอยู่ อย่างนี้มาก จึงข้ามโอฆะทั้ง ๕ ได้แล้ว บัดนี้ได้ข้ามโอฆะที่ ๖ แล้ว กามสัญญาทั้งหลาย ย่อมห้อมล้อมไม่ได้ ซึ่งภิกษุผู้ เพ่งฌานอย่างนี้มาก
[๕๑๙] ลำดับนั้นแล นางราคามารธิดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า พระศาสดาผู้เป็นหัวหน้าดูแลคณะสงฆ์ ได้ตัดตัณหาขาดแล้ว และชนผู้มีศรัทธา เป็นอันมาก จักประพฤติตามได้แน่แท้ พระศาสดานี้เป็นผู้ไม่มีความอาลัย ได้ตัดขาดจาก มือมัจจุราช แล้ว จักนำหมู่ชนเป็นอันมาก ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน
[๕๒๐] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตถาคตมีความแกล้วกล้าใหญ่ ย่อมนำสัตว์ ไปด้วยพระสัทธรรมแล เมื่อตถาคตนำไปอยู่โดยธรรม ไฉนความริษยา จะพึงมีแก่ท่าน ผู้รู้เล่า
[๕๒๑] ลำดับนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันเข้าไปหา พระยามารถึงที่อยู่ ฯ
พระยามารเห็นมารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา มาแต่ไกลครั้นเห็นแล้ว ได้กล่าวพ้อด้วยคาถาทั้งหลายว่า พวกคนโง่ พากัน ทำลายภูเขาด้วยก้านบัว ขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวเหล็กด้วยฟันทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จะทำพระโคดมให้ เบื่อเข้าต้องหลีกไป เป็นประดุจบุคคลวางหินไว้บนศีรษะแล้ว แทรกลงไปในบาดาล หรือดุจบุคคลเอาอกกระแทกตอ ฉะนั้น
พระศาสดาได้ขับไล่นางตัณหา นางอรดี และนางราคา ผู้มีรูป น่าทัศนายิ่ง ซึ่งได้มาแล้วในที่นั้นให้หนีไป เหมือนลมพัด ปุยนุ่น ฉะนั้น
จบวรรคที่ ๓
|