พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๖-๑๖๗
ตติยวรรคที่ ๓
สัมพหุลสูตรที่ ๑
[๔๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นครศิลาวดี ในแคว้นสักกะ ฯ ก็สมัยนั้นแล ภิกษุ มากรูปด้วยกัน เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่ใกล้ พระผู้มีพระภาค
[๔๗๙] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป นิรมิตเพศเป็นพราหมณ์ มุ่นชฎาใหญ่ นุ่งหนัง เสือ แก่หลัง โกง หายใจเสียงดังครืดคราด ถือไม้เท้า ทำด้วยไม้มะเดื่อ เข้าไปหาภิกษุ เหล่านั้น ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านบรรพชิต ผู้เจริญทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นคนหนุ่ม กระชุ่มกระชวย มีผมดำ ประกอบด้วยความหนุ่ม แน่น ยังไม่เบื่อใน กามารมณ์ ทั้งหลาย ด้วยปฐมวัย ขอท่านจงบริโภคกาม อันเป็นของ มนุษย์ อย่าละผล อันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราวเลย
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกรพราหมณ์ พวกเราย่อมไม่ละผล อันเห็นเองวิ่งไปสู่ ผลชั่วคราว แต่เราทั้งหลายละผลชั่วคราววิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง ดูกรพราหมณ์ เพราะว่า กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค ตรัสว่าเป็นของชั่วคราว มีทุกข์มาก มีความ คับแค้นมาก โทษในกาม ทั้งหลาย มีโดยยิ่ง ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควร เรียกกันมาดู ควรน้อมมาไว้ในตน อันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้ได้เฉพาะตน
เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มารผู้มีบาปจึงสั่นศีรษะ แลบลิ้นทำหน้า ขมวด เป็น สามรอย จดจ้องไม้เท้าหลีกไป
[๔๘๐] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ยังที่ประทับถวาย อภิวาท พระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นครั้นนั่งแล้ว จึงกราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่ใกล้พระองค์ ณ ที่นี้พระเจ้าข้า มีพราหมณ์ คนหนึ่ง มุ่นชฎาใหญ่ นุ่งหนังเสือเป็นคนแก่ หลังโกงหายใจเสียงดัง ครืดคราด ถือไม้เท้า ทำด้วยไม้ มะเดื่อ เข้าไปหาข้าพระองค์ยังที่อยู่
ครั้นแล้วได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นคน หนุ่ม กระชุ่มกระชวย มีผมดำ ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ยังไม่เบื่อในกามารมณ์ ทั้งหลาย ด้วยปฐมวัย ขอท่านจงบริโภคกาม อันเป็นของมนุษย์ อย่าละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผล ชั่วคราวเลย พระเจ้าข้า เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พวกข้าพระองค์ ได้กล่าว กะพราหมณ์นั้นว่า
ดูกรพราหมณ์ พวกเราย่อมไม่ละผลอันเห็นเอง วิ่งไปสู่ผลชั่วคราว แต่พวกเรา ละผล ชั่วคราว วิ่งไปสู่ผลอันเห็นเอง
ดูกรพราหมณ์ เพราะกามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นของชั่วคราว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนั้นมีโดยยิ่ง ธรรมนี้มีผลอันเห็นเอง ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นของควรเรียกมาดู ควรน้อมไว้ในตน อันวิญญูชนทั้งหลาย พึงรู้ เฉพาะตน พระเจ้าข้า เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว พราหมณ์นั้นสั่นศีรษะ แลบลิ้น ทำหน้าขมวดเป็นสามรอย จดจ้องไม้เท้าหลีกไป
[๔๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั้นมิใช่พราหมณ์นั้น เป็นมารผู้มีบาป มาเพื่อกำบังตาเธอทั้งหลาย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงภาษิตพระคาถานี้ ในเวลานั้นว่า ผู้ใดได้เห็นทุกข์มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจ ไปในกามเล่า บุคคลผู้ทราบอุปธิว่า เป็นเครื่องข้องอยู่ในโลก แล้ว พึงศึกษาเพื่อกำจัดอุปธินั้นเสีย
|