เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้าฯ 1848
 
พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้าฯ
ก็สมัยนั้น ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎกนิครนถ์ ๗ คน ปริพาชก ๗ คน ผู้มีขนรักแร้ เล็บ และขนยาว ถือ เครื่องบริขารต่างๆ เดินผ่านไปใน ที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาค

พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกนักบวชเหล่านั้น คงเป็นพระอรหันต์ หรือท่านพระอรหัตมรรค เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก (พระเจ้าปเสนคิดว่าเจ้าสำนักใหญ่ๆเป็น พระอรหันต์ผู้หลุดพ้น)

ดูกรมหาบพิตร พระองค์ (หมายถึงพระเจ้าปเสน) เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม ครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรส และพระชายา ทาจุรณจันทน์ อันมาแต่แคว้น กาสี ทรงมาลาของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีเงินและทอง ยากที่ จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้ เป็นพระอรหันต์ หรือคนพวกนี้ บรรลุอรหัตมรรค (ปุถุชนย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นพระอรหันต์)

ดูกรมหาบพิตร
- ศีล พึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
- ความสะอาด พึงรู้ได้ด้วยการงาน
- กำลังใจ พึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย
- ปัญญา พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา

ก็สมัยนั้น พระราชา ๕ พระองค์
มีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นประมุข ผู้เอิบอิ่มเพรียบพร้อม ได้รับบำเรออยู่ด้วยเบญจพิธกามคุณ เกิดถ้อยคำโต้เถียงกันขึ้นว่า อะไรหนอ เป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า เสียงทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า กลิ่นทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า รสทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย

ดูกรมหาบพิตร ยอดสุดแห่งความพอใจ นั่นแหละ เป็นยอดในเบญจกามคุณ


10 พระสูตรในวรรคนี้
๑. ชฏิลสูตร
๒. ปัญจราชสูตร
๓. โทณปากสูตร
๔. ปฐมสังคามวัตถุสูตร
๕. ทุติยสังคามวัตถุสูตร
๖. ธีตุสูตร
๗. ปฐมอัปปมาทสูตร
๘. ทุติยอัปปมาทสูตร
๙. ปฐมาปุตตกสูตร
๑๐. ทุติยาปุตตกสูตร
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 

           
พระไตรปิฎก (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๙ - ๑๑๕

ทุติยวรรคที่ ๒

ชฏิลสูตรที่ ๑

           [๓๕๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของมิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี

           ก็สมัยนั้น ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่ทรงพักผ่อนแล้ว ประทับนั่งที่ภายนอกซุ้มประตู

           ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           [๓๕๕] ก็สมัยนั้น ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎกนิครนถ์ ๗ คน ปริพาชก ๗ คน ผู้มีขนรักแร้ เล็บ และขนยาว ถือ เครื่องบริขารต่างๆ เดินผ่านไปใน ที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาค

           ทันใดนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระทำพระภูษา เฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง ทรงจดพระชานุมณฑล เบื้องขวา ณ พื้นแผ่นดิน ทรง ประนม อัญชลี ไปทางชฎิล ๗ คนนิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฏก นิครนถ์ ๗ คน ปริพาชก ๗ คน เหล่านั้นแล้ว ทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือ พระราชาปเสนทิโกศล... ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือพระราชา ปเสนทิโกศล

           ลำดับนั้น เมื่อชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎกนิครนถ์ ๗ คนปริพาชก ๗ คนเหล่านั้น เดินผ่านไปได้ไม่นาน พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           พระเจ้าปเสนทิโกศล ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกนักบวชเหล่านั้น คงเป็นพระอรหันต์ หรือท่านพระอรหัตมรรค เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก

           [๓๕๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม ครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรส และพระชายา ทาจุรณจันทน์ อันมาแต่แคว้น กาสี ทรงมาลาของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีเงินและทอง ยากที่ จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้ เป็นพระอรหันต์ หรือคนพวกนี้ บรรลุอรหัตมรรค

           ดูกรมหาบพิตร ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดย กาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทราม ก็ไม่รู้

           ดูกรมหาบพิตร ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยการงาน ก็ความสะอาดนั้นจะพึง รู้ได้ด้วย กาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้

           ดูกรมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้น จะพึงรู้ ได้ด้วยกาล นานไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้

           ดูกรมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วย กาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้

           [๓๕๗] พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่า อัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องไม่เคยมีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เท่าที่ พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม... ยากที่จะรู้เรื่องนี้... ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ ดังนี้ เป็นอันตรัส ดีแล้ว

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นักบวชเหล่านั้น เป็นคนของหม่อมฉัน เป็นจารบุรุษ เป็นคนสืบข่าวลับ เที่ยวสอดแนมไปยังชนบท แล้วพากันมา ในภายหลังข้าพระองค์ จึงจะรู้เรื่องราว ที่คนเหล่านั้นสืบได้ก่อน

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้คนเหล่านั้น ชำระล้างละอองธุลี นั้นแล้ว อาบดี ประเทืองผิวดี โกนผมและหนวดแล้ว นุ่งห่มผ้าขาว เอิบอิ่มเพรียบพร้อม ด้วย เบญจกามคุณ บำเรอข้าพระองค์อยู่

           [๓๕๘] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความนี้แล้ว จึงได้ทรงภาษิต พระคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า คนผู้เกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจ เพราะผิวพรรณ และรูปร่าง ไม่ควรไว้วางใจ เพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว เพราะว่านักบวช ผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปยังโลกนี้ ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวช ผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจ กุณฑลดิน และมาสกโลหะ หุ้มด้วยทองคำปลอมไว้ คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอก แวดล้อมด้วยบริวารท่องเที่ยวอยู่ในโลก

ปัญจราชสูตรที่ ๒

           [๓๕๙] พระผู้มีพระภาคประทับ ... เขตพระนครสาวัตถี ฯ
ก็สมัยนั้น พระราชา ๕ พระองค์ มีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นประมุข ผู้เอิบอิ่มเพรียบพร้อม ได้รับบำเรออยู่ด้วยเบญจพิธกามคุณ เกิดถ้อยคำโต้เถียงกันขึ้นว่า อะไรหนอ เป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย

ในพระราชาเหล่านั้น
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า เสียงทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า กลิ่นทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า รสทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย

           เพราะเหตุที่พระราชาเหล่านั้น ไม่อาจทรงยังกันและกัน ให้เข้าพระทัยได้ จึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสกะพระราชาเหล่านั้นว่า มาเถิดท่านสหายทั้งหลาย เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจักทูลถามความข้อนี้ กะพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงพยากรณ์แก่เราทั้งหลายอย่างใด เราทั้งหลาย พึงจำคำพยากรณ์นั้นไว้อย่างนั้นเถิด พระราชาเหล่านั้น ทรงรับพระดำรัส ของพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้ว

           [๓๖๐] ครั้งนั้น พระราชา ๕ พระองค์เหล่านั้น มีพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นประมุข เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           พระเจ้าปเสนทิโกศล ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายในที่นี้ เป็นราชา ทั้ง ๕ คน เอิบอิ่มเพรียบพร้อม ได้รับบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณ เกิดมีถ้อยคำ โต้เถียงกันขึ้นว่า อะไรหนอเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางท่านกล่าวอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลาย เป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางท่านกล่าวอย่างนี้ว่า เสียงทั้งหลายเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางท่านกล่าวอย่างนี้ว่า กลิ่นทั้งหลาย เป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางท่านกล่าวอย่างนี้ว่า รสทั้งหลาย เป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย
บางท่านกล่าวอย่างนี้ ว่า โผฏฐัพพะทั้งหลาย เป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไร หนอเป็นยอดแห่งกามทั้งหลาย

           [๓๖๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ยอดสุดแห่งความพอใจ นั่นแหละ อาตมภาพกล่าวว่า เป็นยอดในเบญจกามคุณ ดูกรมหาบพิตร รูปเหล่าใดเป็นที่พอใจ ของคน บางคน รูปเหล่านั้น ไม่เป็นที่พอใจของคนบางคน เขา ดีใจ มีความดำริ บริบูรณ์ ด้วยรูปเหล่าใด รูปอื่นจากรูปเหล่านั้น จะยิ่งกว่า หรือ ประณีตกว่า เขาก็ไม่ปรารถนา รูปเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา รูปเหล่านั้น เป็นยอดเยี่ยมสำหรับเขา

           ดูกรมหาบพิตร เสียงเหล่าใด ... ดูกรมหาบพิตร กลิ่นเหล่าใด ... ดูกรมหาบพิตร รสเหล่าใด ... ดูกรมหาบพิตร โผฏฐัพพะ เหล่าใด เป็นที่พอใจของคนบางคน โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ไม่เป็นที่พอใจของคน บางคน เขาดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยโผฏฐัพพะ เหล่าใด โผฏฐัพพะอื่นจาก โผฏฐัพพะเหล่านั้น จะยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า เขาก็ไม่ ปรารถนา โผฏฐัพพะ เหล่านั้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา โผฏฐัพพะเหล่านั้น เป็นยอดเยี่ยม สำหรับเขา

           [๓๖๒] ก็สมัยนั้น จันทนังคลิกอุบาสก นั่งอยู่ในบริษัทนั้น

ลำดับนั้น จันทนังคลิกอุบาสก ลุกจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี ไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ พระผู้มีพระภาค เหตุอย่างหนึ่ง ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เหตุอย่างหนึ่ง ย่อมแจ่มแจ้ง กะข้าพระองค์

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรจันทนังคลิกะ ขอเหตุนั้นจงแจ่มแจ้งเถิด

           ลำดับนั้น จันทนังคลิกอุบาสก ได้สรรเสริญ พระผู้มีพระภาคเฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถาที่สมควรแก่เหตุนั้นว่า

           ดอกปทุมชื่อโกกนุท บานในเวลาเช้า ยังไม่สิ้นกลิ่น ยังมีกลิ่นหอมอยู่ฉันใด ท่านจงดูพระอังคีรส ผู้ไพโรจน์อยู่ดุจดวงอาทิตย์ รุ่งโรจน์อยู่ในอากาศ ฉะนั้น

           [๓๖๓] ลำดับนั้น พระราชา ๕ พระองค์เหล่านั้น ทรงให้จันทนังคลิก อุบาสกห่ม ด้วยผ้า ๕ ผืน (คือพระราชทานผ้าห่ม ๕ ผืน)

ทันใดนั้น จันทนังคลิกอุบาสก ก็ถวายให้พระผู้มีพระภาค ทรงห่มด้วย ผ้า ๕ ผืนเหล่านั้น

โทณปากสูตรที่ ๓

           [๓๖๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตพระนครสาวัตถี

           ก็สมัยนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสวยพระสุธาหาร หุงด้วยข้าวสารหนึ่งทะนาน ครั้งนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล เสวยแล้วทรงอึดอัด เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           [๓๖๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น เสวยแล้วทรงอึดอัด จึงได้ทรงภาษิตพระคาถานี้ ในเวลานั้นว่า มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน

           [๓๖๖] ก็สมัยนั้น มาณพชื่อสุทัศนะ ยืนอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ พระเจ้า ปเสนทิโกศล ฯ ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงตรัสเรียกสุทัสสนมาณพ มารับสั่งว่า มาเถิด เจ้าสุทัศนะ เจ้าจงเรียนคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาค แล้วจงกล่าวใน เวลาเราบริโภคอาหาร อนึ่งเราจะให้นิตยภัตแก่เจ้าวันละ ๑๐๐ กหาปณะทุกวัน

           สุทัสสนมาณพ รับสนองพระดำรัสพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า เป็นพระมหากรุณา อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้ แล้วเรียนคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาค กล่าวในเวลา ที่พระเจ้าปเสนทิโกศล เสวยพระกระยาหาร ว่ามนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณ ในโภชนะ ที่ได้มา ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า ครองอายุได้ยืนนาน

           [๓๖๗] ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงดำรงอยู่ โดยมีพระกระยาหาร หนึ่ง ทะนาน ข้าวสุกเป็นอย่างมาก เป็นลำดับมา

           ในลำดับต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศล มีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าดี ทรงลูบ พระวรกาย ด้วยฝ่าพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ทรงอนุเคราะห์เราด้วยประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และ ประโยชน์ ภพหน้าหนอ

ปฐมสังคามวัตถุสูตรที่ ๔

           [๓๖๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ... เขตพระนครสาวัตถี

           ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียม จตุรงคินีเสนา ยกไปรุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงแคว้นกาสี

           พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงสดับข่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียมจตุรงคินีเสนายกมารุกรานเราถึงแคว้นกาสี

           ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงจัดจตุรงคินีเสนา ยกออกไปต่อสู้ พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู เวเทหิบุตร ป้องกันแคว้นกาสี

           ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทำสงครามกันแล้ว แต่ในสงครามครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงชำนะพระเจ้าปเสนทิโกศล

           ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ปราชัย ก็เสด็จล่าทัพกลับพระนครสาวัตถี ราชธานี ของพระองค์

           [๓๖๙] ครั้งนั้น เวลาเช้า ภิกษุเป็นจำนวนมากนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและ จีวร เข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว ในเวลา ปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           ภิกษุเหล่านั้นนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระโอกาส พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียมจตุรงคินีเสนา ยกมารุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศลถึง แคว้นกาสี พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงสดับข่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรูเวเทหิบุตร ทรงตระเตรียม จตุรงคินีเสนา ยกมารุกรานเรา ถึงแคว้นกาสี ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ

           ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงจัดจตุรงคินีเสนา ยก ออกไปต่อสู้ พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ป้องกันแคว้นกาสีครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทำสงครามกันแล้ว แต่ใน สงคราม ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรง ชำนะพระเจ้าปเสนทิโกศล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ปราชัย ก็เสด็จล่าทัพกลับพระนครสาวัตถี ราชธานีของพระองค์

           [๓๗๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรูเวเทหิบุตร มีมิตรเลวทราม มีสหายเลวทราม มีพระทัยน้อมไป ในคนเลวทราม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล มีมิตรดีงาม มีสหายดีงาม มีพระทัยน้อมไปในคนดีงาม ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันนี้พระเจ้าปเสน ทิโกศลทรงแพ้มาแล้ว อย่างนี้ จักบรรทมเป็นทุกข์ ตลอดราตรีนี้

           [๓๗๑] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่าผู้ชำนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ บุคคลละ ความชนะ และความแพ้เสียแล้ว จึงสงบระงับ นอนเป็นสุข

ทุติยสังคามวัตถุสูตรที่ ๕

           [๓๗๒] ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียม จตุรงคินีเสนา ยกไปรุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงแคว้นกาสี

           พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงสดับข่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตรทรงตระเตรียม จตุรงคินีเสนา ยกมารุกรานเรา ถึงแคว้นกาสี

           ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงจัดจตุรงคินีเสนา ยกออกไปต่อสู้ พระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร ป้องกันแคว้นกาสี

           ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู เวเทหิบุตร กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทำสงครามกันแล้ว แต่ในสงคราม ครั้งนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงชำนะ พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร และทรงจับพระองค์เป็นเชลย ศึกได้

           [๓๗๓] ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้มีพระดำริว่า ถึงแม้พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตรนี้ จะประทุษร้ายเร าผู้มิได้ประทุษร้าย แต่เธอก็ยัง เป็นพระภาคิไนย ของเราอย่ากระนั้นเลย เราควรยึดพลช้างทั้งหมด ยึดพลม้า ทั้งหมด ยึดพลรถทั้งหมด ยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร แล้วปล่อยพระองค์ ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่เถิด

           ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงยึดพลช้างทั้งหมด ทรงยึดพลม้า ทั้งหมด ทรงยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร แล้วทรง ปล่อยพระองค์ไป ทั้งยังมีพระชนม์อยู่

           [๓๗๔] ครั้งนั้น เวลาเช้า ภิกษุเป็นจำนวนมาก นุ่งห่มแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาต ไปในพระนครสาวัตถี แล้ว ในเวลา ปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           ภิกษุเหล่านั้น นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระโอกาส พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียมจตุรงคินีเสนา ยกมารุกรานพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงแคว้นกาสี พระเจ้าปเสนทิโกศลไ ด้ทรงสดับข่าวว่า พระเจ้าแผ่นดินมคธ อชาตสัตรู เวเทหิบุตร ทรงตระเตรียมจตุรงคินีเสนา ยกมารุกรานถึงแคว้นกาสี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

           ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงจัดจตุรงคินีเสนายก ออกไปต่อสู้พระเจ้า แผ่นดินมคธ อชาตสัตรูเวเทหิบุตร ป้องกันแคว้นกาสี ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร กับพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงทำสงครามกันแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่ในสงครามครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงชำนะ พระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร และทรงจับพระองค์ เป็นเชลยศึกได้ด้วย

           ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้มีพระดำริว่า ถึงแม้พระเจ้า แผ่นดิน มคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตรนี้ จะประทุษร้ายเราผู้มิได้ประทุษร้าย แต่เธอ ก็ยังเป็น พระภาคิไนย ของเรา อย่ากระนั้นเลย เราควรยึดพลช้างทั้งหมด ยึดพลม้าทั้งหมด ยึดพลรถทั้งหมด ยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดิน มคธอชาตสัตรูเวเทหิบุตร แล้วปล่อยพระองค์ ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

           ลำดับนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงยึดพลช้างทั้งหมด ทรงยึดพลม้าทั้งหมด ทรง ยึดพลรถทั้งหมด ทรงยึดพลเดินเท้าทั้งหมด ของพระเจ้าแผ่นดินมคธอชาตสัตรู เวเทหิบุตร แล้วทรงปล่อยพระองค์ไปทั้งยังมีพระชนม์อยู่

           [๓๗๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงได้ทรงภาษิต พระคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า บุรุษจะแย่งชิงเขาได้ ก็ชั่วกาลที่การแย่งชิงของเขา ยังพอสำเร็จได้ แต่เมื่อใด คนเหล่าอื่นย่อมแย่งชิง ผู้แย่งชิงนั้น ย่อมถูกเขากลับแย่งชิง เมื่อนั้น

           เพราะว่า คนพาลย่อมสำคัญว่า เป็นฐานะตราบเท่าที่บาป ยังไม่ให้ผลแต่บาป ให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น

           ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ ผู้ชำนะย่อมได้รับการชนะตอบ ผู้ด่าย่อมได้รับการ ด่าตอบ และผู้ขึ้งเคียด ย่อมได้รับความขึ้งเคียดตอบฉะนั้น เพราะความหมุนเวียนแห่ง กรรม ผู้แย่งชิงนั้น ย่อมถูกเขากลับแย่งชิงคืน

ธีตุสูตรที่ ๖

           [๓๗๖] สาวัตถีนิทาน
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           ลำดับนั้น ราชบุรุษเข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็กราบทูลณ ที่ใกล้พระกรรณ ของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้ประเสริฐ พระนางมัลลิกาเทวี ทรงประสูติพระธิดาแล้ว

           เมื่อบุรุษกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ไม่ทรงเบิกบาน พระทัย

           [๓๗๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ไม่ทรง เบิกบาน พระทัย จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าปวงชน แท้จริง แม้สตรีบางคนก็เป็นผู้ประเสริฐ พระองค์จงชุบเลี้ยงไว้ สตรีที่มีปัญญา มีศีล ปฏิบัติแม่ผัวพ่อผัว ดังเทวดา จงรักสามี

           บุรุษที่เกิดจากสตรีนั้น ย่อมเป็นคนแกล้วกล้า เป็นเจ้าแห่งทิศได้บุตร ของภริยาดี เช่นนั้น แม้ราชสมบัติก็ครอบครองได้

ปฐมอัปปมาทสูตรที่ ๗

           [๓๗๘] พระผู้มีพระภาคประทับ ... เขตพระนครสาวัตถี ... พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญธรรมอย่างหนึ่ง ที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า มีอยู่หรือ พระเจ้าข้า

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่ง ประโยชน์ ทั้ง ๒ คือประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้ามีอยู่

           พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอย่าง หนึ่ง ที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า คืออะไร

           [๓๗๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึด ไว้ได้ซึ่ง ประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า คือ ความ ไม่ประมาท

           ดูกรมหาบพิตร รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลาย ที่สัญจรไปบนแผ่นดิน ชนิดใด ชนิดหนึ่ง รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงการรวมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้าง ย่อมกล่าวกันว่า เป็นเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นของใหญ่ ข้อนี้มีอุปมา ฉันใด ดูกรมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ ภพนี้ และ ประโยชน์ภพหน้า คือความไม่ประมาท ก็มีอุปไมยฉันนั้น

           [๓๘๐] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า บุคคลปรารถนาอยู่ซึ่งอายุ ความไม่มีโรค วรรณะ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูง และความยินดีอันโอฬารต่อๆ ไปพึงบำเพ็ญความ ไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท ในบุญกิริยาทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ ภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ผู้มีปัญญาจึงได้นามว่า "บัณฑิต"

ทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘

           [๓๘๑] พระผู้มีพระภาคประทับ ... เขตพระนครสาวัตถี ... พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระโอกาส ความปริวิตกแห่งใจ บังเกิดขึ้นแก่ ข้าพระองค์ ผู้เข้าที่ลับพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาค ตรัสดีแล้วนั่นแหละ สำหรับผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดีไม่ใช่ สำหรับผู้มีมิตรชั่ว มีสหายชั่ว มีจิตน้อมไปในคนที่ชั่ว

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้ เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร ธรรมที่อาตมภาพ กล่าวดีแล้วนั่นแหละ สำหรับผู้มี มิตรดี มีสหายดีมีจิตน้อมไปในคนดี ไม่ใช่สำหรับผู้มีมิตรชั่ว มี สหายชั่ว มีจิตน้อมไปในคนที่ชั่ว

           [๓๘๒] ดูกรมหาบพิตร สมัยหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่นิคม ของหมู่เจ้าศากยะ ชื่อว่า นครกะในสักกชนบท ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ภิกษุอานนท์ เข้าไปหาอาตมภาพถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็อภิวาทอาตมภาพ แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ดูกรมหาบพิตร ภิกษุอานนท์ นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี เป็นคุณกึ่งหนึ่งแห่ง พรหมจรรย์

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อภิกษุอานนท์ กล่าวอย่างนี้แล้ว อาตมภาพได้กล่าวกะภิกษุ อานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น ดูกรอานนท์ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดีนี้ เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว ดูกรอานนท์ นี่ภิกษุผู้มีมิตรดีพึง ปรารถนา ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี จักเจริญอริยมรรคมีองค์แปด จักกระทำซึ่งอริยมรรคมีองค์แปด ให้มากได้

           [๓๘๓] ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ย่อมเจริญ อริยมรรคมีองค์แปด ย่อมกระทำซึ่งอริยมรรคมีองค์แปด ให้มากได้อย่างไร
ดูกรอานนท์ ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะอาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละคืน ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ ...ย่อมเจริญสัมมาวาจา ... ย่อมเจริญ สัมมากัมมันตะ ... ย่อมเจริญสัมมาอาชีวะ ... ย่อมเจริญสัมมาวายามะ ... ย่อมเจริญ สัมมาสติ ... ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อัน อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อ ความสละคืน

           ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ย่อมเจริญ อริยมรรค มีองค์แปด ย่อมกระทำ ซึ่งอริยมรรคมีองค์แปด ให้มากได้ อย่างนี้แล

           ดูกรอานนท์ โดยปริยายแม้นี้ พึงทราบว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไป ในคนที่ดี นี้เป็นพรหมจรรย์ ทั้งสิ้นทีเดียว

           ดูกรอานนท์ ด้วยว่าอาศัยเราเป็นมิตรดี สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความเกิดได้ สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้น จากความแก่ได้ สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้น จากความ เจ็บป่วยได้ สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจาก ความตายได้ สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความโศก ความร่ำไรความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจ เป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และ ความคับแค้นใจได้

           ดูกรอานนท์ โดยปริยายนี้แล พึงทราบว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิต น้อมไป ในคนที่ดีนี้ เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว

           [๓๘๔] ดูกรมหาบพิตร เพราะเหตุนั้นแหละ พระองค์พึงทรงสำเหนียก อย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี ดูกรมหาบพิตร พระองค์พึงทรง สำเหนียก อย่างนี้แล

           ดูกรมหาบพิตร ธรรมอย่างหนึ่งนี้ คือความไม่ประมาทในกุศลธรรม ทั้งหลาย พระองค์ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี พึงทรงอาศัย อยู่เถิด

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท หมู่นางสนม ผู้ตามเสด็จ จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท ถ้ากระนั้น แม้พวกเราก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้กษัตริย์ ทั้งหลาย ผู้ตามเสด็จจักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความ ไม่ประมาท ถ้ากระนั้นแม้พวกเรา ก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ ประมาท

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้ กองทัพ (ข้าราชการฝ่ายทหาร) ก็จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ ประมาท อาศัยความ ไม่ประมาทถ้ากระนั้น แม้พวกเราก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้ ชาวนิคม และชาวชนบท ก็จักมีความคิดอย่างนี้ว่า พระราชาเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความ ไม่ประมาท ถ้ากระนั้นแม้พวกเรา ก็จักเป็นผู้ไม่ประมาท อาศัยความไม่ ประมาท

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อพระองค์ไม่ประมาท อาศัยความไม่ประมาท แม้พระองค์เอง ก็จักเป็นผู้ได้รับคุ้มครองแล้ว ได้รับรักษาแล้ว แม้หมู่นางสนมก็จัก เป็นผู้ได้รับคุ้มครอง แล้ว ได้รับรักษาแล้ว แม้เรือนคลังก็จักเป็นอันได้รับ คุ้มครองแล้ว ได้รับรักษาแล้ว

           [๓๘๕] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า บุคคลผู้ปรารถนาโภคะ อันโอฬารต่อๆ ไป พึงบำเพ็ญความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ความไม่ประมาท ในบุญ กิริยา ทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ผู้มีปัญญาจึงได้นามว่า"บัณฑิต"

ปฐมาปุตตกสูตรที่ ๙

           [๓๘๖] สาวัตถีนิทาน
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับในเวลา เที่ยงวัน ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งว่า เชิญเถอะมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนหนอ ในเวลาเที่ยงวัน

           พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี ในพระนครสาวัตถีนี้ กระทำกาลกิริยาแล้ว หม่อมฉันให้ขนทรัพย์สมบัติ อันไม่มีบุตร รับมรดกนั้น มาไว้ภายในพระราชวังแล้วก็มา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เฉพาะเงินเท่านั้นมี ๘,๐๐๐,๐๐๐ ส่วนเครื่องรูปิยะ ไม่ต้องพูดถึง ก็แต่คฤหบดีผู้เป็น เศรษฐีนั้น ได้บริโภค อาหาร เห็นปานนี้ คือบริโภคปลายข้าว กับน้ำส้มพอูม ได้ใช้ ผ้าเครื่องนุ่งห่มเห็นปานนี้ คือนุ่งห่มผ้าเนื้อหยาบ ที่ตัดเป็นสามชิ้นเย็บติดกัน ได้ใช้ยานพาหนะเห็นปานนี้ คือใช้รถเก่าๆ กั้นร่มทำด้วยใบไม้

           [๓๘๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้ เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร อสัตบุรุษได้โภคะ อันโอฬาร แล้ว ไม่ยังตนให้ได้รับ ความสุขให้ได้รับความอิ่มหนำเลย ไม่ยังมารดาและบิดา ให้ได้รับความสุข ให้ได้รับ ความอิ่มหนำ ไม่ยังบุตรและภรรยา ให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำ ไม่ยัง ทาสกรรมกร ให้ได้รับความสุขให้ได้รับความอิ่มหนำ ไม่ยังมิตรและอำมาตย์ ให้ได้รับ ความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำ ไม่ยังทักษิณาอัน มีผลในเบื้องบน มีอารมณ์ดี มีวิบาก เป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ ให้ตั้งอยู่ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย โภคะเหล่านั้นของเขา ที่มิได้ใช้สอยโดยชอบอย่างนี้ พระราชาทั้งหลายย่อมนำไปบ้าง โจรทั้งหลาย ย่อมนำไป บ้าง ไฟย่อมไหม้เสียบ้าง น้ำย่อมพัดไปเสียบ้าง ทายาททั้งหลาย ผู้ไม่เป็นที่รัก ย่อมนำไปบ้าง

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อเป็นเช่นนี้ โภคะที่มิได้ใช้สอย โดยชอบของเขา เหล่านั้น ย่อมถึงความหมดสิ้นไปเปล่าโดยไม่ถึงการบริโภค

           ดูกรมหาบพิตร ในที่ของอมนุษย์ มีสระโบกขรณีซึ่งมีน้ำใส มีน้ำเย็น มีน้ำจืดสนิท ใสตลอด มีท่าดี น่ารื่นรมย์ น้ำนั้นคนไม่พึงตักเอาไปเลย ไม่พึงดื่ม ไม่พึงอาบ หรือไม่พึง กระทำตามความต้องการได้ ดูกรมหาบพิตร ก็เมื่อ เป็นเช่นนี้ น้ำที่มิได้บริโภค โดยชอบนั้น พึงถึงความหมดสิ้นไปเปล่า โดยไม่ถึงการบริโภค แม้ฉันใด ดูกรมหาบพิตร อสัตบุรุษได้โภคะอันโอฬารแล้ว ไม่ยัง ตนให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำเลย ฯลฯ ดูกรมหาบพิตร เมื่อเป็น เช่นนี้ โภคะที่มิได้บริโภคโดยชอบของเขาเหล่านั้น ย่อมถึง ความหมดสิ้นไป เปล่าโดยไม่ถึงการบริโภค ฉันนั้นเหมือนกัน

           [๓๘๘] ดูกรมหาบพิตร ส่วนสัตบุรุษได้โภคะ อันโอฬารแล้ว ย่อมยังตน ให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำ ย่อมยังมารดาและบิดาให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำย่อมยังบุตร และภรรยาให้ได้รับความสุข ให้ได้รับ ความอิ่มหนำ ย่อมยังทาสกรรมกรให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำ ย่อม ยังมิตรและอำมาตย์ ให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำ ย่อมประดิษฐานไว้ ซึ่งทักษิณาอันมีผล ในเบื้องบน มีอารมณ์ดี มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย โภคะเหล่านั้นของเขา ที่บริโภคโดยชอบอยู่อย่างนี้ พระราชาทั้งหลายย่อมนำไปไม่ได้ โจรทั้งหลายย่อมนำไปไม่ได้ ไฟย่อมไม่ไหม้ น้ำย่อมไม่พัดไป ทายาททั้งหลาย ผู้ไม่เป็นที่รักย่อมนำไปไม่ได้

           ดูกรมหาบพิตร เมื่อเป็นเช่นนี้ โภคะที่บริโภคอยู่โดยชอบ ของเขาเหล่า นั้น ย่อมถึงการบริโภค ไม่ถึงความหมดสิ้นไปเปล่า

           ดูกรมหาบพิตร ในที่ไม่ไกลคาม หรือนิคม มีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใส มีน้ำเย็น มีน้ำจืดสนิท ใสตลอด มีท่าดี น่ารื่นรมย์ น้ำนั้นคนพึงตักไปบ้างพึงดื่มบ้าง พึงอาบบ้าง พึงกระทำตามความต้องการบ้าง ดูกรมหาบพิตร ก็เมื่อ เป็นเช่นนี้ น้ำที่บริโภคอยู่ โดยชอบนั้น พึงถึงการบริโภค ไม่ถึงความหมดสิ้นไป เปล่า แม้ฉันใด ดูกรมหาบพิตร สัตบุรุษได้โภคะอันโอฬาร แล้วย่อมยังตนให้ ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ โภคะที่บริโภคอยู่ โดยชอบของเขาเหล่านั้น ย่อมถึงการบริโภค ไม่ถึง ความ หมดสิ้นไปเปล่า ฉัน นั้นเหมือนกัน

           [๓๘๙] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า น้ำมีอยู่ในที่ของอมนุษย์ คนย่อมงดน้ำที่ไม่พึงดื่มนั้น ฉันใด คนชั่วได้ทรัพย์แล้ว ย่อมไม่บริโภคด้วยตนเอง ย่อมไม่ให้ทาน ฉันนั้น ส่วนวิญญูชน ผู้มีปัญญา ได้โภคะแล้ว เขาย่อมบริโภค และทำกิจ เขาเป็นคนอาจหาญ เลี้ยงดูหมู่ ญาติ ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์

ทุติยาปุตตกสูตรที่ ๑๐

           [๓๙๐] ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับในเวลาเที่ยงวัน ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

           พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งว่า เชิญเถอะมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนหนอ ในเวลาเที่ยงวัน

           พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี ในพระนครสาวัตถีนี้ กระทำกาลกิริยาแล้ว หม่อมฉันให้ขนทรัพย์สมบัติ อันไม่มีบุตร รับมรดกนั้น มาไว้ในพระราชวังแล้วก็มา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เฉพาะเงินเท่านั้นมี ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ ส่วนเครื่องรูปิยะไม่ต้องพูดถึง ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ก็คฤหบดีผู้เป็น เศรษฐีนั้น ได้บริโภคอาหารเห็นปานนี้ คือบริโภคปลาย ข้าวกับน้ำส้มพอูม ได้ใช้ผ้าเครื่องนุ่งห่ม เห็นปานนี้ คือนุ่งห่มผ้าเนื้อหยาบที่ตัด เป็นสามชิ้นเย็บติดกัน ได้ใช้ยานพาหนะเห็นปานนี้ คือใช้รถเก่าๆ กั้นร่มทำด้วย ใบไม้

           [๓๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรมหาบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คฤหบดี ผู้เป็นเศรษฐีนั้น ได้สั่งให้ จัดบิณฑบาต ถวายพระปัจเจกสัมพุทธะ นามว่า ตครสิขี ว่าท่านทั้งหลาย จงถวาย บิณฑะ แก่สมณะแล้วลุกจากอาสนะเดินหลีกไป แต่ครั้น ถวายแล้ว ภายหลังได้มี วิปฏิสารว่า บิณฑบาตนี้ ทาสหรือกรรมกรพึงบริโภคยัง ดีกว่า นอกจากนี้เขายังปลงชีวิต บุตรน้อย คนเดียวของพี่ชาย เพราะเหตุทรัพย์ สมบัติอีก

           ดูกรมหาบพิตร การที่คฤหบดี ผู้เป็นเศรษฐีนั้น สั่งให้จัดบิณฑบาต ถวาย พระตครสิขีปัจเจกสัมพุทธะ ด้วยวิบากของกรรมนั้น เขาจึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๗ ครั้ง ด้วยวิบากอันเป็นส่วนเหลือของกรรมนั้น เหมือนกัน ได้ครอง ความเป็นเศรษฐี ในพระนครสาวัตถีนี้แหละถึง ๗ ครั้ง

           ดูกรมหาบพิตร การที่คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐีนั้น ถวายแล้วภายหลังได้มี วิปฏิสาร ว่า บิณฑบาตนี้ทาสหรือกรรมกร พึงบริโภคยังดีกว่า ด้วยวิบากของกรรม นั้น จิตของเขา จึงไม่น้อมไป เพื่อบริโภคอาหาร อันโอฬาร จิตของเขาจึงไม่น้อมไป เพื่อใช้ผ้า เครื่องนุ่งห่ม อันโอฬาร จิตของเขาจึงไม่น้อมไป เพื่อใช้ยานพาหนะอัน โอฬาร จิตของเขา จึงไม่น้อมไป เพื่อบริโภคเบญจกามคุณ อันโอฬาร

           ดูกรมหาบพิตร ก็แหละการที่คฤหบดี ผู้เป็นเศรษฐีนั้น ปลงชีวิตบุตรน้อย คนเดียว ของพี่ชาย เพราะเหตุทรัพย์สมบัติ ด้วยวิบากของกรรมนั้น เขาจึงถูกไฟเผา อยู่ในนรก หลายปีหลายพันปี หลายแสนปี ด้วยวิบากอันเป็นส่วนเหลือของ กรรมนั้นเ หมือนกัน ทรัพย์สมบัติอันไม่มีบุตร รับมรดกของเขานี้ จึงถูกขนเข้าพระคลังหลวง เป็นครั้งที่ ๗

           ดูกรมหาบพิตร ก็บุญเก่าของคฤหบดี ผู้เป็นเศรษฐีนั้นหมดสิ้นแล้ว และบุญใหม่ ก็ไม่ได้สะสมไว้

           ดูกรมหาบพิตร ก็ในวันนี้ คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี ถูกไฟเผาอยู่ใน มหาโรรุวนรก

           พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คฤหบดีผู้เป็น เศรษฐี เข้าถึง มหาโรรุวนรก อย่างนั้นหรือ

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่างนั้นมหาบพิตร คฤหบดีผู้เป็นเศรษฐี เข้า ถึง มหาโรรุวนรก แล้ว

           [๓๙๒] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือข้าวของ ที่หวงแหน อย่างใดอย่างหนึ่งมีอยู่ ทาส กรรมกร คนใช้ และผู้อาศัยของเขา พึงพาเอาไปไม่ได้ทั้งหมด จะต้องถึง ซึ่งการละทิ้งไว้ทั้งหมด

           ก็บุคคลทำกรรมใด ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ กรรมนั้นแหละเป็นของๆ เขา และเขาย่อมพาเอากรรมนั้นไป อนึ่งกรรมนั้นย่อมติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตน ฉะนั้นเพราะฉะนั้น บุคคลควรทำกรรมดี สั่งสมไว้สำหรับภพหน้าบุญทั้งหลาย ย่อมเป็น ที่พึ่ง ของสัตว์ทั้งหลาย ในโลกหน้า

จบ วรรคที่ ๒

......................................................................................................................................
รวมพระสูตรในวรรคที่ ๒ นี้
มี ๑๐ สูตร คือ ชฏิลสูตรที่ ๑ ปัญจราชสูตรที่ ๒ โทณปากสูตรที่ ๓ สังคามวัตถุสูตร กล่าวไว้ ๒ สูตร เป็นที่ ๔ และที่ ๕ ธีตุสูตรที่ ๖ อัปปมาท สูตร ๒ สูตร เป็นที่ ๗ และที่ ๘ กับอปุตตกสูตร กล่าวไว้ ๒ สูตร เป็นที่ ๙ และที่ ๑๐ ครบวรรคพอดี

...................................................................................................................................

 

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์