พระไตรปิฎ ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๖-๑๒๖
ตติยวรรคที่ ๓
ปุคคลสูตรที่ ๑
[๓๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ในพระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้ว ทรงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ฯ
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท้าวเธอผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรมหาบพิตร บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก
บุคคล ๔ จำพวกเป็นไฉน บุคคล ๔ จำพวกคือ
บุคคลผู้มืดแล้ว มืดต่อไป จำพวก ๑
บุคคลผู้มืดแล้วกลับ สว่างต่อไป จำพวก ๑
บุคคลผู้สว่าง แล้วกลับมืดต่อไป จำพวก ๑
บุคคลผู้สว่างแล้ว คงสว่างต่อไป จำพวก ๑
[๓๙๔] ดูกรมหาบพิตร ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่ามืดแล้วคงมืดต่อไป ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาภายหลัง ในตระกูลอันต่ำ คือในตระกูล จัณฑาล ในตระกูลช่างจักสาน ในตระกูลพราน ในตระกูลช่างรถ หรือ ในตระกูล คนเทหยากเยื่อ ซึ่งขัดสน มีข้าวน้ำโภชนาหารน้อย มีอาชีพฝืดเคือง เป็นตระกูล ที่หาอาหาร และผ้านุ่งห่มได้โดยยาก และเขาเป็นคนที่มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดูไม่น่าชม เป็นคนเล็กแคระ มีอาพาธมาก เป็นคนเสียจักษุ เป็นง่อย เป็นคนกระจอกหรือเป็นเปลี้ย มักหาข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องประทีปไม่ใคร่ได้ เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูกรมหาบพิตร บุรุษพึงไป จากความมืดทึบสู่ความมืดทึบ หรือพึงไปจากความมืดมัวสู่ความมืดมัว
[๓๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ใน พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้วทรงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท้าวเธอ ผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรมหาบพิตร บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล ๔ จำพวกเป็นไฉน บุคคล ๔ จำพวกคือ บุคคลผู้มืดแล้วมืดต่อไปจำพวก ๑ บุคคลผู้มืดแล้วกลับ สว่างต่อไปจำพวก ๑ บุคคลผู้สว่างแล้ว กลับมืดต่อไปจำพวก ๑ บุคคลผู้สว่างแล้ว คงสว่างต่อไปจำพวก ๑
[๓๙๔] ดูกรมหาบพิตร (1) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่ามืดแล้ว คงมืดต่อไป ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาภายหลัง ในตระกูลอันต่ำ คือในตระกูล จัณฑาล ในตระกูลช่างจักสาน ในตระกูลพราน ในตระกูลช่างรถ หรือ ในตระกูลคน เทหยากเยื่อ ซึ่งขัดสน มีข้าวน้ำโภชนาหารน้อย มีอาชีพฝืดเคือง เป็นตระกูลที่หาอาหาร และผ้านุ่งห่มได้โดยยาก และเขาเป็นคนที่มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดูไม่น่าชม เป็นคนเล็ก แคระ มีอาพาธมาก เป็นคนเสียจักษุ เป็นง่อย เป็นคนกระจอกหรือเป็นเปลี้ย มักหาข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องประทีป ไม่ใคร่ได้ เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจแล้ว
ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูกรมหาบพิตร บุรุษพึงไป จาก ความมืดทึบสู่ความมืดทึบ หรือพึงไปจากความมืดมัว สู่ความมืดมัวหรือพึง ไปจากโลหิต อันมีมลทินสู่โลหิต อันมีมลทิน ฉันใด
ดูกรมหาบพิตร ตถาคตกล่าวว่า บุคคลนี้ มีอุปไมย ฉันนั้น
ดูกรมหาบพิตร อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืดแล้ว คงมืดต่อไป
................................................................................................................................
[๓๙๕] ดูกรมหาบพิตร (2) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่า เป็นผู้มืดแล้วกลับสว่างต่อไป ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิดมาภายหลังในตระกูล อันต่ำทราม คือในตระกูลจัณฑาล ในตระกูลช่างจักสาน ในตระกูลพราน ใน ตระกูลช่างรถ หรือ ในตระกูล คนเทหยากเยื่อ ขัดสน มีข้าวน้ำโภชนาหารน้อย มีอาชีพฝืดเคือง เป็นตระกูล ที่หาอาหาร และผ้านุ่งห่ม ได้โดยยาก และเขาเป็นคนมีผิวพรรณทราม ไม่น่าดูไม่น่าชม เป็นคนเล็กแคระ เป็นคนมีอาพาธมาก เป็นคนเสียจักษุ เป็นคนง่อย เป็นคนกระจอก หรือ เป็นคนเปลี้ย มักหาข้าว น้ำ ผ้า ยวดยานดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่อง ประทีปไม่ใคร่ได้ แม้กระนั้นเขา ก็ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขา ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูกรมหาบพิตร บุรุษพึงขึ้นจากแผ่นดินสู่บัลลังก์ หรือพึงขึ้นจากบัลลังก์สู่หลังม้า หรือพึงขึ้นจากหลังม้าสู่คอช้าง หรือพึงขึ้นจากคอช้างสู่ปราสาท แม้ฉันใด ดูกรมหาบพิตร ตถาคตย่อมกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น
ดูกรมหาบพิตร อย่างนี้ แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้มืดแล้วกลับสว่างต่อไป
................................................................................................................................
[๓๙๖] ดูกรมหาบพิตร (3) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่า เป็นผู้สว่างแล้วกลับมืด ต่อไป ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดมาภายหลังในตระกูลสูง คือใน ตระกูล ขัตติยมหาศาล หรือในตระกูลคฤหบดี มหาศาล มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินล้นเหลือมีของ ใช้น่าปลื้มใจล้นเหลือ มีทรัพย์ คือข้าวเปลือก ล้นเหลือ และเขาเป็นคนมีรูปงามน่าดูน่าชม ประกอบด้วยความงาม แห่งผิวเป็นเยี่ยม มักหาข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องประทีป ได้สะดวก แต่เขากลับประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก
ดูกรมหาบพิตร บุรุษลงจาก ปราสาทสู่คอช้าง หรือลงจากคอช้าง สู่หลังม้า หรือ ลงจาก หลังม้า สู่บัลลังก์ หรือลงจากบัลลังก์สู่พื้นดิน หรือจากพื้นดินเข้าไปสู่ที่มืด แม้ ฉันใด ดูกรมหาบพิตร ตถาคตกล่าวว่า บุคคลนี้มีอุปไมยฉันนั้น
ดูกรมหาบพิตร อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่าง แล้วกลับมืดต่อไป
................................................................................................................................
[๓๙๗] ดูกรมหาบพิตร (4) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่างแล้ว คงสว่าง ต่อไป ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเกิดมาภายหลัง ในตระกูลสูง คือใน ตระกูล ขัตติยมหาศาล ในตระกูลพราหมณมหาศาล หรือในตระกูล คฤหบดีมหาศาล อันมั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคสมบัติมาก มีทองและเงินล้น เหลือ มีของใช้น่าปลื้มใจ ล้นเหลือ มีทรัพย์คือข้าวเปลือกล้นเหลือ และเขาเป็น คนมีรูปสวย น่าดูน่าชม ประกอบด้วย ความงาม แห่งผิวเป็นเยี่ยม มักหาข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัยและเครื่อง ประทีปได้สะดวก เขาย่อมประพฤติสุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นเขาประพฤติ สุจริตด้วยกาย วาจาใจแล้ว ครั้นตายไป ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์
ดูกรมหาบพิตร บุรุษพึงก้าวไปด้วยดีจากบัลลังก์ สู่บัลลังก์ หรือพึงก้าวไป ด้วยดีจากหลัง ม้าสู่หลังม้า หรือพึงก้าวไปด้วยดี จากคอช้างสู่คอช้าง หรือพึงก้าวไป ด้วยดีจาก ปราสาทสู่ปราสาท แม้ฉันใด ดูกรมหาบพิตร ตถาคตย่อมกล่าวว่า บุคคลนี้มี อุปไมยฉันนั้น
ดูกรมหาบพิตร อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไป
ดูกรมหาบพิตร บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ดังนี้
................................................................................................................................
[๓๙๘] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถา ประพันธ์ต่อไปอีกว่า ดูกรมหาบพิตร บุรุษเข็ญใจไม่มีศรัทธา เป็นคน ตระหนี่เหนียวแน่นมีความดำริชั่ว เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเอื้อเฟื้อย่อมด่า ย่อมบริภาษ สมณะ หรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่นๆ เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนมักขึ้งเคียด ย่อมห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่ง ของประชาราษฎร์ คนเช่นนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรกอันร้ายแรง นี่ชื่อว่าผู้มืดแล้ว คงมืดต่อไป
ดูกรมหาบพิตร บุรุษ (บางคน) เป็นคนเข็ญใจ (แต่) เป็นคนมีศรัทธา ไม่มี ความตระหนี่ เขามีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทานย่อมลุกรับ สมณะ หรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่นๆ ย่อมสำเหนียก ในจรรยาอันเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลัง จะให้โภชนาหาร แก่คนที่ขอ ดูกรมหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ยิ่ง ของประชาราษฎร์ คนเช่นนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงไตรทิพสถาน นี่ชื่อว่าผู้มืดแล้ว กลับสว่างต่อไป
ดูกรมหาบพิตร บุรุษ (บางคน) ถึงหากจะมั่งมี (แต่) ไม่มีศรัทธา เป็นคนมีความ ตระหนี่ เหนียวแน่น มีความดำริชั่ว เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ย่อมด่าย่อมบริภาษส มณะ หรือพราหมณ์ หรือวณิพกอื่นๆ เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนมักขึ้งเคียด ย่อมห้ามคนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนที่ขอ ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งของ ประชาราษฎร์ คนเช่นนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรกอันร้ายแรง นี่ชื่อว่า ผู้สว่างแล้ว กลับมืดต่อไป
ดูกรมหาบพิตร บุรุษ (บางคน) ถึงหากจะมั่งมี ก็เป็นคนมี ศรัทธา ไม่มีความ ตระหนี่ เขามีความดำริประเสริฐ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมให้ทานย่อมลุกรับสมณะ หรือ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่นๆ ย่อมสำเหนียก ในจรรยาอันเรียบร้อย ไม่ห้ามคนที่กำลัง จะให้โภชนาหาร แก่ผู้ที่ขอ ดูกรมหาบพิตร ผู้เป็นใหญ่ยิ่งของประชาราษฎร์ คนเช่นนั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงไตรทิพสถาน นี่ชื่อว่าผู้สว่างแล้วคงสว่างต่อไป ดังนี้
อัยยิกาสูตรที่ ๒
[๓๙๙] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้นแลเป็นเวลากลางวัน พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะ ท้าวเธอผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า เชิญเถิด มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนหนอแต่วัน
พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระอัยยิกาของหม่อม ฉัน ผู้ทรงชราเป็นผู้เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัย มีพระชนม์พรรษา ๑๒๐ พรรษา ได้เสด็จ ทิวงคตเสียแล้ว ท่านเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของหม่อมฉันมาก พระพุทธเจ้าข้า หาก หม่อมฉัน จะพึงได้สมหวังว่า ขอพระอัยยิกาเจ้าของเราอย่าได้ เสด็จทิวงคตเลย ดังนี้ แม้ด้วยใช้ช้างแก้วแลกไซร้ หม่อมฉันพึงให้แม้ซึ่งช้างแก้ว เพื่อให้ได้สมหวัง ดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า หากหม่อมฉันพึงได้สมหวังว่า ขอพระอัยยิกาเจ้าของเรา อย่าได้เสด็จ ทิวงคตเลย แม้ด้วยใช้ม้าแก้วแลกไซร้ หม่อมฉันพึงให้แม้ซึ่งม้าแก้วเพื่อให้ได้สมหวัง พระพุทธเจ้าข้า
หากหม่อมฉันพึงได้สมหวัง ว่า ขอพระอัยยิกาเจ้าของเรา อย่าได้เสด็จทิวงคต เลย ดังนี้ แม้ด้วยใช้บ้านส่วย แลกไซร้ หม่อมฉันพึงให้แม้ซึ่งบ้านส่วยเพื่อให้ได้สมหวัง พระพุทธเจ้าข้า หาก หม่อมฉันพึงได้สมหวังว่า ขอพระอัยยิกาเจ้าของเรา อย่าได้เสด็จ ทิวงคตเลย ดังนี้แม้ด้วยใช้ชนบทแลกไซร้ หม่อมฉันพึงให้แม้ซึ่งชนบท เพื่อให้ได้ สมหวัง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีมรณะ เป็นธรรมดา มีมรณะเป็นที่สุด ไม่ล่วงพ้นมรณะไปได้เลย ดังนี้นั้น เป็นคำตรัส ที่ชอบ เป็นของอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว
[๔๐๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น มหาบพิตร ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น มหาบพิตร สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีความตายเป็นธรรมดา มีความ ตาย เป็นที่สุด ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้เลย ดูกรมหาบพิตร ภาชนะดิน ชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งที่ดิบทั้งที่สุก ภาชนะดินเหล่านั้นทั้งหมด มีความแตกเป็นธรรมดา มีความแตก เป็นที่สุด ไม่ล่วงพ้นความแตกไปได้เลยแม้ฉันใด ดูกรมหาบพิตร สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีความตายเป็นธรรมดา มีความตายเป็นที่สุดไม่ล่วงพ้นความตายไปได้เลย ฉันนั้นเหมือนกันแล
[๔๐๑] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย เพราะชีวิตมีความตาย เป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือ ผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่สุคติ ฯเพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงาม อันจะนำไปสู่ สัมปรายภพ สั่งสมไว้ บุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในปรโลก
โลกสูตรที่ ๓
[๔๐๒] สาวัตถีนิทาน ฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมเท่าไรหนอแล เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์ เกื้อกูลเพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ
[๔๐๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างแล เมื่อเกิดขึ้น แก่โลกย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความ อยู่ไม่สำราญ ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน
๑. ดูกรมหาบพิตร ธรรมคือความโลภแล เมื่อเกิดขึ้นแก่โลกย่อมเกิด ขึ้น เพื่อไม่เป็น ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ
๒. ดูกรมหาบพิตร ธรรมคือโทสะ ความประทุษร้ายแล เมื่อเกิดขึ้น แก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ สำราญ
๓. ดูกรมหาบพิตร ธรรมคือโมหะ ความหลงแล เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ
ดูกรมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อไม่เป็น ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ
[๔๐๔] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า โลภะ โทสะ และโมหะ อันบังเกิดแก่ตน ย่อม เบียดเบียน บุรุษ ผู้มีใจเป็นบาป ดุจผลของตนเบียดเบียน ไม้เต่ารั้งฉะนั้น
อิสสัตถสูตรที่ ๔
[๔๐๕] สาวัตถีนิทาน ฯ
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทาน บุคคลพึงให้ในที่ไหนหนอแล ฯ
พ. ดูกรมหาบพิตร จิตย่อมเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ในที่นั้นแล
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ และทานที่ให้แล้วใ นที่ไหนจึงมีผลมาก
[๔๐๖] พ. ดูกรมหาบพิตร ทานพึงให้ในที่ไหน นั่นเป็นข้อหนึ่ง และทาน ที่ให้แล้ว ในที่ไหนจึงมีผลมาก นั่นเป็นอีกข้อหนึ่ง ดูกรมหาบพิตร ทานที่ให้แล้ว แก่ผู้มีศีลแลมีผลมาก ทานที่ให้แล้วในผู้ทุศีล หามีผลมากไม่ ดูกรมหาบพิตร และ ด้วยเหตุนั้น อาตมภาพ จักย้อนถามมหาบพิตร ในปัญหากรรม ข้อนั้นบ้าง มหาบพิตร พอพระทัยอย่างใด พึงพยากรณ์อย่างนั้น
[๔๐๗] มหาบพิตร จะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน ณ ที่นี้การยุทธ พึงปรากฏ เฉพาะหน้าแด่พระองค์ สงครามพึงปะทะกัน ถ้าว่ากุมารที่เป็นกษัตริย์ ผู้ไมได้ศึกษา ไม่ได้หัดมือ ไม่ได้รับความชำนาญ ไม่ได้ประลองการยิง เป็นคน ขลาด เป็นคนมักสั่น เป็นคนมักสะดุ้ง เป็นคนมักวิ่งหนี พึงมาอาสาไซร้ พระองค์ พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์พึงทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ไม่พึงชุบเลี้ยงบุรุษเช่นนั้น และ ข้าพระองค์ ไม่ต้องการบุรุษเช่นนั้นเลย
พ. ถ้าว่า กุมารที่เป็นพราหมณ์ ผู้ไม่ได้ศึกษา ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่า กุมารที่เป็นแพศย์ ผู้ไม่ได้ศึกษา ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่ากุมารที่เป็น ศูทร ผู้ไม่ได้ศึกษา ฯลฯพึงมาอาสาไซร้ พระองค์พึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์ พึงทรงต้องการบุรุษเช่นนั้นหรือ
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ไม่พึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และข้า พระองค์ ไม่พึงต้องการบุรุษเช่นนั้นแล
[๔๐๘] พ. ดูกรมหาบพิตร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน ณ ที่นี้ การยุทธพึงปรากฏแก่พระองค์ สงครามพึงปะทะกัน ถ้าว่า กุมารที่เป็นกษัตริย์ ผู้ศึกษา ดีแล้ว ได้หัดมือแล้ว ได้รับความชำนาญแล้ว ได้ประลองการยิงมาแล้ว ไม่เป็นคนขลาด ไม่เป็นคนสั่นไม่เป็นคนสะดุ้ง ไม่เป็นคนมักวิ่งหนี พึงมา อาสาไซร้ พระองค์พึงทรง ชุบเลี้ยงบุรุษนั้นหรือ และพระองค์พึงทรงมีพระประสงค์ บุรุษเช่นนั้นหรือ
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันพึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และหม่อมฉัน พึงต้องการบุรุษเช่นนั้น
พ. ถ้าว่ากุมารที่เป็นพราหมณ์ ผู้ศึกษาดีแล้ว ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่า กุมารที่เป็นแพศย์ ผู้ศึกษาดีแล้ว ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ ฯลฯ ถ้าว่า กุมาร ที่เป็นศูทร ผู้ศึกษาดีแล้ว ฯลฯ พึงมาอาสาไซร้ พระองค์จะพึงทรงชุบเลี้ยงบุรุษ นั้นหรือ และ พระองค์จะพึงทรงมีพระประสงค์บุรุษเช่นนั้นหรือป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน พึงชุบเลี้ยงบุรุษนั้น และหม่อมฉันพึงต้องการบุรุษเช่นนั้น
[๔๐๙] พ. ฉันนั้นนั่นแล มหาบพิตร แม้หากว่า กุลบุตรออกจากเรือน ตระกูลไรๆ เป็นผู้บวชหาเรือนมิได้ และกุลบุตรนั้น เป็นผู้มีองค์ ๕ อันละได้ แล้ว เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยองค์ ๕ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรนั้น ย่อมเป็นทานมีผลมาก องค์ ๕ อันกุลบุตรนั้น ละได้แล้วเป็นไฉนกามฉันทะ อันกุลบุตรนั้นละ ได้แล้ว พยาบาทอันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว ถีนมิทธะ อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว อุทธัจจกุกกุจจะ อันกุลบุตรนั้นละได้แล้ว วิจิกิจฉา อันกุลบุตรนั้น ละได้แล้ว องค์ ๕เหล่านี้อันกุลบุตรนั้ นละได้แล้ว กุลบุตรนั้น เป็นผู้ประกอบ ด้วย องค์ ๕ เป็นไฉน
กุลบุตรนั้นเป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยศีลขันธ์ อันเป็นของพระอเสขะ เป็นผู้ประกอบ แล้วด้วยสมาธิขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยปัญญาขันธ์ อันเป็นของ พระอเสขะ เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยวิมุตติขันธ์ อันเป็นของ พระอเสขะ เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ อันเป็นของ พระอเสขะ กุลบุตรนั้น เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยองค์ ๕ เหล่านี้ ทานที่ให้แล้วในกุลบุตรผู้มีองค์ ๕ อันละ ได้แล้ว ผู้ประกอบแล้วด้วยองค์ ๕ ดังนี้ ย่อมมีผลมาก
[๔๑๐] พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ศิลปะการยิงแม่น กำลังเข้มแข็ง และความกล้าหาญ มีอยู่ ในชายหนุ่มผู้ใด พระราชา ผู้ทรงพระประสงค์ ด้วยการยุทธ พึงทรงชุบเลี้ยง ชายหนุ่มเช่นนั้น ไม่พึงทรงชุบเลี้ยงชายหนุ่ม ผู้ไม่กล้าหาญ เพราะเหตุแห่งชาติฉันใด
ธรรมะคือขันติ และโสรัจจะ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลพึงบูชาบุคคลนั้น ผู้มีปัญญา มีความประพฤติเยี่ยงพระอริยะ แม้มีชาติทรามฉันนั้นเหมือนกัน
พึงสร้างอาศรม อันเป็นที่รื่นรมย์ ยังผู้พหูสูตทั้งหลาย ให้สำนักอยู่ ณ ที่นั้นพึงสร้าง บ่อน้ำไว้ในป่าที่กันดารน้ำ และสะพานในที่เป็นหล่ม พึงถวายข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะ ในท่านผู้ซื่อตรงทั้งหลาย ด้วยน้ำใจอันผ่องใส เมฆมีสายฟ้าแลบ แปลบปลาบ (เมฆอันประกอบด้วยถ่องแถวแห่งสายฟ้า) มียอดตั้งร้อยกระหึ่มอยู่ ยังแผ่นดินให้โชกชุ่มอยู่ย่อมยังที่ดอนและที่ลุ่มให้เต็ม แม้ฉันใด
ทายกผู้มีศรัทธา เป็นบัณฑิตได้ฟังแล้ว ย่อมจัดหาโภชนาหารมาเลี้ยงวณิพก ด้วยข้าวน้ำให้อิ่มหนำ บันเทิงใจ เที่ยวไปในโรงทาน สั่งว่าท่านทั้งหลายจงให้ ท่านทั้งหลาย จงให้ดังนี้ และทายกนั้นบันลือเสียง เหมือนเสียงกระหึ่มแห่งเมฆ เมื่อฝนกำลังตก ฉะนั้น ธารแห่งบุญอันไพบูลย์นั้น ย่อมยังทายกผู้ให้ ให้ชุ่มชื่น
ปัพพโตปมสูตรที่ ๕
[๔๑๑] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับในตอน กลางวัน ครั้นแล้วได้ทรงอภิวาท แล้วประทับอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ฯ
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสกะท้าวเธอว่า เชิญเถิดมหาบพิตร พระองค์ เสด็จมา แต่ไหนหนอ แต่วัน
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาผู้กษัตริย์ ได้มูรธาภิเษกแล้ว ผู้เมา แล้ว เพราะความเมา ในความเป็นใหญ่ ผู้อันความกำหนัดในกามกลุ้มรุมแล้ว ผู้ถึงแล้ว ซึ่งความมั่นคงในชนบทผู้ชำนะ ซึ่งปฐพีมณฑลอันใหญ่ แล้วครอบครองอยู่ ย่อมมี ราชกรณียะอันใด บัดนี้หม่อมฉันถึงแล้ว ซึ่งความขวนขวาย ในราชกรณียะ เหล่านั้น
[๔๑๒] พ. ดูกรมหาบพิตร พระองค์จะทรงสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน ณ ที่นี้ข้าราชการของพระองค์ ผู้ควรเชื่อถือ มีวาจาเป็นหลักฐาน พึงมาแต่ทิศ ตะวันออก เขาเข้ามาเฝ้าพระองค์ แล้วพึงกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะพระมหา ราชเจ้า ขอพระองค์ พึงทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าพึงมาจาก ทิศตะวันออก ณ ที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้า ได้เห็นภูเขาใหญ่สูงเทียมเมฆ กำลังกลิ้ง บดปวงสัตว์มา พระพุทธเจ้าข้า สิ่งใดที่พระองค์ จะพึงทรงกระทำ ขอได้โปรดกระทำเสีย ลำดับนั้น ข้าราชการคนที่ ๒ ผู้ควรเชื่อถือ มีวาจาเป็นหลักฐาน พึงมาแต่ทิศใต้ ฯลฯ ถัดนั้น ข้าราชการคนที่ ๓ ผู้ควรเชื่อถือ มีวาจาเป็นหลักฐาน พึงมาจากทิศตะวันตก ฯลฯ
ต่อจากนั้น ข้าราชการคนที่ ๔ ผู้ควรเชื่อถือ มีวาจา เป็นหลักฐาน พึงมาจาก ทิศเหนือ เขาเข้ามาเฝ้าพระองค์แล้ว พึงกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ขอพระองค์พึงทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าพึงมาจากทิศเหนือ ณ ที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นภูเขาใหญ่สูง เทียมเมฆ กำลังกลิ้งบดปวงสัตว์มา พระพุทธเจ้าข้า สิ่งใดที่พระองค์จะพึงทรงกระทำ ขอได้โปรดกระทำเสียเถิด
ดูกรมหาบพิตร ครั้นเมื่อมหาภัย อันร้ายกาจ ที่ทำให้มนุษย์พินาศใหญ่โต ถึงเพียงนี้บังเกิดขึ้นแล้วแก่พระองค์ อะไรเล่า ที่พระองค์จะพึงทรงกระทำใน ภาวะแห่ง มนุษย์ที่ได้แสนยาก
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้นเมื่อมหาภัยอันร้ายกาจ ที่ทำให้มนุษย์พินาศ อันใหญ่โตถึงเพียงนั้น บังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉัน อะไรจะพึงเป็นกิจที่หม่อมฉัน พึงกระทำ ในภาวะแห่งมนุษย์ที่ได้แสนยากเล่า นอกจากการประพฤติธรรม นอกจากการประพฤติ สม่ำเสมอ นอกจากการสร้างกุศล นอกจากการทำบุญ
[๔๑๓] พ. ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพ ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงทราบ ดูกรมหาบพิตร ชราและมรณะ ย่อมครอบงำพระองค์ ดูกรมหาบพิตร ก็และเมื่อชรามรณะ ครอบงำพระองค์อยู่ อะไรเล่า จะพึงเป็นกิจที่มหาบพิตรพึง กระทำ
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็และเมื่อชรามรณะ ครอบงำหม่อมฉันอยู่ อะไรเล่า จะพึงเป็นกิจที่หม่อมฉันควรจะทำ นอกจากการประพฤติธรรม นอกจาก การประพฤติ สม่ำเสมอ นอกจากการสร้างกุศล นอกจากการทำบุญ
ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ การรบด้วยช้างเหล่าใด ย่อมมีแก่พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ ผู้ได้มูรธา ภิเษกแล้ว ผู้เมาแล้วเพราะความเมาในความเป็นใหญ่ ผู้อันความกำหนัด ในกาม กลุ้มรุมแล้ว ผู้ถึงแล้วซึ่งความมั่นคงในชนบท ผู้ชำนะซึ่งปฐพีมณฑลอันใหญ่แล้ว ครอบงำอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อชรามรณะ ครอบงำอยู่ คติวิสัยแห่งการรบ ด้วยช้าง แม้เหล่านั้น ไม่มีเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การรบด้วยม้าแม้เหล่าใด ฯลฯ การรบ ด้วยรถแม้เหล่าใด ฯลฯ การรบด้วยทหารเดินเท้า แม้เหล่าใด ย่อมมี แก่พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ ผู้ได้มูรธาภิเษกแล้ว ผู้เมาแล้วเพราะความเมาในความ เป็นใหญ่ ผู้อันความกำหนัดในกามกลุ้มรุมแล้วผู้ถึงแล้ว ซึ่งความมั่นคงในชนบท ผู้ชำนะ ปฐพีมณฑล อันใหญ่แล้วครอบงำอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อชรามรณะครอบงำอยู่ คติวิสัยแห่งการรบ ด้วยทหารเดินเท้า แม้เหล่านั้นไม่มีเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในราชสกุลนี้ มหาอำมาตย์ผู้มีมนต์ ซึ่งสามารถจะใช้มนต์ ทำลายข้าศึกที่ยกมา ก็มีอยู่เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่เมื่อชรามรณะครอบงำสิ คติวิสัยแห่งการรบด้วยมนต์ แม้เหล่านั้นหามีไม่ อนึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในราชสกุลนี้ เงินทองทั้งที่อยู่ในพื้นดิน ทั้งที่อยู่ในเวหาส ซึ่งพวกหม่อมฉัน สามารถจะใช้เป็น เครื่องมือ ยุแหย่ให้ข้าศึก ที่ยกมาแตกกันก็มีอยู่เป็นอันมาก
ข้าแพระองค์ผู้เจริญ แต่เมื่อชรามรณะ ครอบงำสิ คติวิสัยแห่งการรบ ด้วยทรัพย์ แม้ เหล่านั้นหามีไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็แลเมื่อชรามรณะ ครอบงำอยู่ อะไรเล่า จะพึงเป็นกิจ ที่หม่อมฉันควรทำ นอกจากการประพฤติธรรม นอกจากการประพฤติ สม่ำเสมอ นอกจากการสร้างกุศล นอกจากการทำบุญ
[๔๑๔] ป. ถูกแล้วๆ มหาบพิตร ก็เมื่อชรามรณะ ครอบงำอยู่ อะไร เล่าจะพึง เป็นกิจที่พระองค์ควรทำ นอกจากการประพฤติธรรม นอกจากประพฤติสม่ำเสมอ นอกจากการสร้างกุศล นอกจากการทำบุญ
[๔๑๕] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า
ภูเขาใหญ่แล้วด้วยศิลา จดท้องฟ้า กลิ้งบดสัตว์มาโดยรอบทั้ง ๔ ทิศแม้ฉันใด ชราและมัจจุก็ฉันนั้น ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งหลาย คือ พวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ พวกแพศย์พวกศูทร พวกจัณฑาล และคนเทมูลฝอย ไม่เว้นใครๆไว้เลย ย่อมย่ำยีเสียสิ้น ณ ที่นั้น ไม่มียุทธภูมิ สำหรับพลช้าง พลม้า ไม่มียุทธภูมิสำหรับพลรถ ไม่มียุทธภูมิ สำหรับ พลราบ และไม่อาจจะเอาชนะแม้ด้วยการรบ ด้วยมนต์หรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุรุษผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญา เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตน พึงตั้งศรัทธา ไว้ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมและในพระสงฆ์ ผู้ใดมีปรกติ ประพฤติธรรมด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญผู้นั้น ในโลกนี้นั่นเทียว ผู้นั้น ละโลกนี้ไป ย่อมบันเทิงในสวรรค์
จบ โกสลสังยุต
.......................................................................................................................................
รวมพระสูตรในตติยวรรคนี้ มี ๕ สูตร คือ ปุคคลสูตรที่ ๑ อัยยิกาสูตรที่ ๒ โลก
สูตรที่ ๓ อิสสัตถสูตรที่ ๔ ปัพพโตปมสูตรที่ ๕ โกสลสังยุต วรรคนี้มี ๕ สูตร พระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐ สุคตตรัสเทศนาแล้ว ฯ
....................................................................................................................................... |