เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

รัฐปาลสูตร พราหมณ์และคฤหบดีชาวถุลลโกฏฐิตะเข้าเฝ้า 1846
 
1. พราหมณ์และคฤหบดีชาวถุลลโกฏฐิตะเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไป ในหมู่ชนชาวกุรุ มีชื่อว่า ถุลลโกฏฐิตะ พราหมณ์และคฤหบดี ต่างมีความศรัทธาเลื่อมใส รู้กิตติศัพท์ว่า ว่าพระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ .. พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ชาวกุรุ เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา

2. รัฐปาลกุลบุตรขอบวช
กุลบุตรชื่อรัฐปาละ เห็นว่าการที่ บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ โดย ส่วนเดียวดุจสังข์ขัดไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด ห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเถิด ... ดูกรรัฐปาละ มารดาบิดา อนุญาตให้บวชเป็นบรรพชิต แล้วหรือ?

3. มารดาบิดาไม่อนุญาตให้บวช
พ่อรัฐปาละ เจ้าเป็นบุตรคนเดียว ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุข เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรๆเลย เราทั้งสองไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อมารดาบิดากล่าวเช่นนี้แล้ว รัฐปาลกุลบุตร ก็ได้นิ่งเสีย

4. เพื่อนช่วยอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวช
ครั้งนั้นพวกสหายของรัฐปาลกุลบุตร พากันเข้าไปหารัฐปาลกุลบุตรถึงที่อยู่ เกลี้ยกล่อมให้ไปขอ แม่พ่อเพื่อขอบวช แม้ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3

5. มารดาบิดาอนุญาตให้บวช
ดูกรพ่อทั้งหลาย เราอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แต่เมื่อเขาบวชแล้ว พึงมาเยี่ยมมารดาบิดาบ้าง

6. รัฐปาละบวชและบรรลุพระอรหันต์
ครั้งนั้นท่านรัฐปาละ หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่นานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ท่านพระรัฐปาละ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

7. พระรัฐปาลฉันขนมบูด
สมัยนั้น ทาสีแห่งญาติของท่านพระรัฐปาละ ปรารถนาจะเอาขนมกุมมาส ที่บูดไปทิ้ง. ท่านรัฐปาละ ได้กล่าวกะทาสีของญาตินั้นว่า ดูกรน้องหญิง ถ้าสิ่งนั้นจำต้องทิ้ง จงใส่ในบาตรของฉันนี้เถิด

8. พระรัฐปาลเข้าไปบ้านโยมบิดา
ได้รับการต้อนรับด้วยเรื่องทางโลก พระรัฐปาละปฏิเสธ

9. พระรัฐปาละแสดงธรรม
สิ่งที่ขัดขวางการเจ้าถึงพระนิพพาน

10. ความเสื่อม ๔
   - คือความเสื่อมเพราะชรา
   - ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้
   - ความเสื่อม จากโภคสมบัติ
   - ความเสื่อมจากญาติ

11. ธัมมุทเทส ๔
   1.โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน
   2.โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่ เฉพาะตน
   3.โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละ สิ่งทั้งปวงไป
   4.โลกบกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

12. พระรัฐปาละกล่าวนิคมคาถา
- ผู้มีทรัพย์ ได้ทรัพย์แล้ว ย่อมไม่ให้
- ความหลงโลภ ย่อมสั่งสมทรัพย์ และยังปรารถนากามทั้งหลาย ยิ่งขึ้นไป
- ความอิ่มด้วยกาม ย่อมไม่มีในโลกเลย
- ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ
- ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน
- แต่คนพาลย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาล
- ส่วนนักปราชญ์ อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว
- ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุ ถึงที่สุด ในโลกนี้ได้
- กามทั้งหลายวิจิตร รสอร่อยเป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิต
- มหาบพิตรอาตมภาพ เห็นโทษในกามทั้งหลาย
- อาตมภาพรู้เหตุนี้ จึงบวชเสีย
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


1
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก ๒๙๘-๓๑๕

๒. รัฐปาลสูตร
พราหมณ์และคฤหบดีชาวถุลลโกฏฐิตะเข้าเฝ้า

           [๔๒๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกไป ในหมู่ชนชาวกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่เสด็จถึงนิคม ของชาวกุรุอันชื่อว่า ถุลลโกฏฐิตะ. พราหมณ์ และคฤหบดี ทั้งหลาย ชาวนิคมถุลลโกฏฐิตะ ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวช จากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในหมู่ชนชาวกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึง ถุลลโกฏฐิตะแล้ว ก็กิตติศัพท์อันงามของท่าน พระสมณโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้ว อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม มีคุณอันงามในเบื้องต้น มีคุณอันงาม ในท่ามกลาง มีคุณอันงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น เป็นการดีดังนี้

           [๔๒๔] ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดี ชาวถุลลโกฏฐิตนิคม ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ บางพวก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประนมอัญชลี ไปทางพระผู้มีพระภาค ประทับแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อ และโคตร ในสำนักพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนิ่งอยู่ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคทรง ยังพราหมณ์และคฤหบดี ชาวถุลลโกฏฐิตนิคม ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา

2

รัฐปาลกุลบุตรขอบวช

           [๔๒๕] สมัยนั้น กุลบุตรชื่อรัฐปาละ เป็นบุตรของสกุลเลิศ ในถุลลโกฏฐิตนิคม นั้น นั่งอยู่ในหมู่บริษัทนั้นด้วย. รัฐปาลกุลบุตร มีความคิดเห็นว่า ด้วยประการอย่างไรๆ แล เราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้ว การที่ บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เถิด.

            ครั้งนั้น พวกพราหมณ์ คฤหบดีชาว ถุลลโกฏฐิตนิคม อันพระผู้มีพระภาค ทรงให้ เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ชื่นชมยินดีพระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วหลีกไป.

           เมื่อพราหมณ์ และคฤหบดี ชาวถุลลโกฏฐิตนิคม หลีกไปไม่นาน รัฐปาลกุลบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยประการไรๆ แล ข้าพระพุทธเจ้า จึงจะรู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว การที่บุคคล ผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนา จะปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ขอข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของ พระผู้มีพระภาคเถิด. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรรัฐปาละ ท่านเป็นผู้ที่มารดาบิดา อนุญาตให้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต แล้วหรือ? รัฐปาลกุลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ มารดา บิดา ยังมิได้อนุญาต ให้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเลย พระเจ้าข้า

           ภ. ดูกรรัฐปาละ พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่บวชบุตร ที่มารดาบิดามิได้อนุญาต.
           ร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาบิดา จักอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้า ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ด้วยประการใด ข้าพระพุทธเจ้า จักกระทำด้วยประการนั้น

           [๔๒๖] ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตร ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่คุณแม่คุณพ่อ ด้วยประการอย่างไรๆ แล ฉันจึงจะรู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว การที่บุคคล ผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ฉันปรารถนา จะปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ขอคุณแม่คุณพ่อ จงอนุญาตให้ฉัน ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเถิด

           [๔๒๗] เมื่อรัฐปาลกุลบุตร กล่าวเช่นนี้แล้ว มารดาบิดา ของรัฐปาลกุลบุตร ได้กล่าวว่า พ่อรัฐปาละ เจ้าเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รักที่ชอบใจ ของเราทั้งสอง มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุข พ่อรัฐปาละ เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรเลย มาเถิด พ่อรัฐปาละ พ่อจงบริโภค จงดื่ม จงให้บำเรอเถิด เจ้ายังกำลังบริโภคได้ กำลังดื่มได้ กำลังให้บำเรอได้ จงยินดีบริโภคกาม ทำบุญไปพลางเถิด เราทั้งสอง จะอนุญาต ให้เจ้าออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ไม่ได้ถึงเจ้าจะตาย เราทั้งสอง ก็ไม่ปรารถนา จะพลัดพรากจากเจ้า เหตุไฉน เราทั้งสอง จักอนุญาตให้เจ้าซึ่งยังเป็นอยู่ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเล่า?

           แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม รัฐปาลกุลบุตรก็กล่าวว่า ข้าแต่คุณแม่คุณพ่อ ด้วยประการไรๆ แล ฉันจึงจะรู้ทั่วถึงธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ขอ คุณแม่ คุณพ่อ จงอนุญาตให้ฉันออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเถิด.

           แม้ครั้งที่สาม มารดาบิดา ของรัฐปาลกุลบุตร ก็ได้กล่าวว่า พ่อรัฐปาละ เจ้าเป็น บุตรคนเดียว เป็นที่รักที่ชอบใจของมารดาบิดา มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมา ด้วยความสุข พ่อรัฐปาละ เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรๆ เลย มาเถิด พ่อรัฐปาละ พ่อจง บริโภค จงดื่ม จงให้บำเรอเถิด เจ้ายังกำลังบริโภคได้ กำลังดื่มได้ กำลังให้ บำเรอได้ จงยินดีบริโภคกามทำบุญไปพลางเถิด มารดาบิดา จะอนุญาตให้เจ้าออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตไม่ได้ ถึงเจ้าจะตาย เราทั้งสองก็ไม่ปรารถนา จะพลัดพรากจากเจ้า เหตุไฉน เราทั้งสองจักอนุญาตให้เจ้าซึ่งยังเป็นอยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเล่า?

3

มารดาบิดาไม่อนุญาตให้บวช

           [๔๒๘] ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรน้อยใจว่า มารดาบิดา ไม่อนุญาตให้เรา ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ดังนี้ จึงนอนอยู่บนพื้น อันปราศจากเครื่องลาด ณ ที่นั้นเอง ด้วยตั้งใจว่าที่นี้จักเป็นที่ตาย หรือที่บวชของเรา. ไม่บริโภคอาหารตั้งแต่ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน๖ วัน ตลอดถึง ๗ วัน

           [๔๒๙] ครั้งนั้น มารดาบิดา ของรัฐปาลกุลบุตร ได้กล่าวว่า พ่อรัฐปาละ เจ้า เป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รักที่ชอบใจของเราทั้งสอง มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมา ด้วยความสุขพ่อรัฐปาละ เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรๆ เลย เจ้าจงลุกขึ้น พ่อรัฐปาละ เจ้าจงบริโภค จงดื่มจงให้บำเรอเถิด เจ้ายังกำลังบริโภคได้ กำลังดื่มได้ กำลังให้บำเรอ ได้ จงยินดีบริโภคกาม ทำบุญไปพลางเถิด เราทั้งสอง จักอนุญาตให้เจ้าออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตไม่ได้ ถึงเจ้าจะตายเราทั้งสอง ก็ไม่ปรารถนา จะพลัดพรากจากเจ้า เหตุไฉน เราทั้งสอง จักอนุญาตให้เจ้า ซึ่งยังเป็นอยู่ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเล่า? เมื่อมารดาบิดากล่าวเช่นนี้แล้ว รัฐปาลกุลบุตรก็ได้นิ่งเสีย แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม มารดาบิดาของรัฐปาลกุลบุตร ก็ได้กล่าวว่า พ่อรัฐปาละ เจ้าเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รัก ที่ชอบใจของเราทั้งสอง มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุขพ่อรัฐปาละ เจ้าไม่ได้รู้จักความทุกข์อะไรๆ เลย เจ้าจงลุกขึ้น พ่อรัฐปาละ เจ้าจงบริโภค จงดื่มจงให้ บำเรอเถิด เจ้ายังกำลังบริโภคได้ กำลังดื่มได้ กำลังให้บำเรอได้ จงยินดีบริโภคกาม ทำบุญไปพลางเถิด. แม้ครั้งที่สาม รัฐปาลกุลบุตรก็ได้นิ่งเสีย

4

เพื่อนช่วยอ้อนวอนขอให้อนุญาตให้บวช

           [๔๓๐] ครั้งนั้น พวกสหายของ รัฐปาลกุลบุตร พากันเข้าไปหา รัฐปาลกุลบุตร ถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า เพื่อนรัฐปาละ ท่านเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รัก ที่ชอบใจของมารดา บิดา มีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุข ท่านไม่ได้รู้จัก ความทุกข์ อะไรๆเลย เชิญลุกขึ้น เพื่อนรัฐปาละ ท่านจงบริโภค จงดื่ม จงให้บำเรอเถิด ท่านยังกำลังบริโภคได้ กำลังดื่มได้ กำลังให้บำเรอได้ จงยินดีบริโภคกาม ทำบุญ ไปพลางเถิด มารดาบิดา จะอนุญาตให้ท่านออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตไม่ได้ ถึงท่านจะตาย มารดาบิดา ก็ไม่ปรารถนา จะพลัดพรากจากท่าน เหตุไฉนมารดา บิดา จะอนุญาตให้ท่าน ซึ่งยังเป็นอยู่ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเล่า?

           เมื่อสหายเหล่านั้นกล่าวเช่นนี้ รัฐปาลกุลบุตร ก็ได้นิ่งเสีย แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม พวกสหายของรัฐปาลกุลบุตรได้กล่าวว่า เพื่อนรัฐปาละ ท่านเป็นบุตร คนเดียว เป็นที่รักที่ชอบใจของมารดาบิดามีแต่ความสุข ได้รับเลี้ยงดูมาด้วยความสุข ท่านไม่รู้จักความทุกข์อะไรๆ เลย เชิญลุกขึ้น เพื่อนรัฐปาละ ท่านจงบริโภค จงดื่ม จงให้บำเรอเถิด ท่านยังกำลังบริโภคได้ กำลังดื่มได้ กำลังให้ บำเรอได้ จงยินดี บริโภคกาม ทำบุญไปพลางเถิด. แม้ครั้งที่สาม รัฐปาลกุลบุตร ก็ได้นิ่งเสีย

           ลำดับนั้น พวกสหายพากันเข้าไปหามารดาบิดา ของรัฐปาลกุลบุตร ถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่คุณแม่คุณพ่อ รัฐปาลกุลบุตรนี้ นอนอยู่ที่พื้น อันปราศจาก เครื่องลาด ณ ที่นั้นเอง ด้วยตั้งใจว่าที่นี้จักเป็นที่ตาย หรือที่บวชของเรา ถ้าคุณแม่คุณพ่อ จะไม่อนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตร ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ก็จักตายเสียในที่นั้นเอง แต่ถ้าคุณแม่คุณพ่อ จะอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตร ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต คุณแม่ คุณพ่อ ก็จักได้เห็นเขาแม้บวชแล้ว หากรัฐปาลกุลบุตร จักยินดีในการบวช เป็นบรรพชิต ไม่ได้ เขาจะไปไหนอื่น ก็จักกลับมาที่นี่เอง ขอคุณแม่คุณพ่อ อนุญาต ให้รัฐปาลกุลบุตร ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเถิด

5

มารดาบิดาอนุญาตให้บวช

           [๔๓๑] มารดาบิดากล่าวว่า ดูกรพ่อทั้งหลาย เราอนุญาตให้รัฐปาลกุลบุตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แต่เมื่อเขาบวชแล้ว พึงมาเยี่ยมมารดาบิดาบ้าง. ครั้งนั้น สหายทั้งหลาย พากันเข้าไปหารัฐปาลกุลบุตร ถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า คุณแม่คุณพ่อ อนุญาตให้ท่านออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว แต่เมื่อท่านบวชแล้ว พึงมาเยี่ยม คุณแม่คุณพ่อบ้าง.

6

รัฐปาละบวชและบรรลุพระอรหันต์

           [๔๓๒] ครั้งนั้น รัฐปาลกุลบุตรลุกขึ้น บำรุงกายให้เกิดกำลังแล้ว เข้าไปเฝ้า พระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. แล้วได้ทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาบิดา อนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้า ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้วขอพระผู้มีพระภาคให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด รัฐปาลกุลบุตรได้ บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค. ครั้นเมื่อท่าน รัฐปาละอุปสมบท แล้วไม่นาน พอได้กึ่งเดือน พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ใน ถุลลโกฏฐิตนิคม ตามควรแล้ว เสด็จจาริกไปทางนครสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับได้เสด็จถึงพระนครสาวัตถีแล้ว

           [๔๓๓] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ท่านรัฐปาละ หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุด พรหมจรรย์ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต โดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ท่านพระรัฐปาละ ได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

(พระรัฐปาละเข้าไปเฝ้าฯ ขออนุญาตไปเยี่ยมมารดาบิดา)

           [๔๓๔] ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเยี่ยมมารดาบิดา ถ้าพระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาต กะข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาค ทรงมนสิการกำหนดใจ ของท่านพระรัฐปาละ ด้วยพระหฤทัยแล้ว ทรงทราบชัดว่า รัฐปาลกุลบุตร ไม่สามารถที่จะบอกลาสิกขา สึกออกไปแล้ว. ลำดับนั้น จึงตรัสว่า ดูกรรัฐปาละ ท่านจงสำคัญกาลอันควร ณ บัดนี้เถิด. ท่านพระรัฐปาละลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วเก็บ อาสนะ ถือบาตร และจีวรหลีกจาริกไป ทางถุลลโกฏฐิตนิคม จาริกไปโดยลำดับ บรรลุถึง ถุลลโกฏฐิตนิคมแล้ว

           [๔๓๕] ได้ยินว่า ท่านพระรัฐปาละพักอยู่ ณ พระราชอุทยาน ชื่อมิคาจีระ ของ พระเจ้าโกรัพยะ ในถุลลโกฏฐิตนิคมนั้น. ครั้งนั้นเวลาเช้า ท่านพระรัฐปาละนุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังถุลลโกฏฐิตนิคม. เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ในถุลลโกฏฐิตนิคม ตามลำดับตรอก ได้เข้าไปยังนิเวศน์ ของบิดาท่าน สมัยนั้น บิดาของ ท่านพระรัฐปาละ กำลังให้ช่างกัลบก สางผมอยู่ที่ซุ้มประตูกลาง. ได้เห็นท่านพระรัฐปาละ กำลังมาแต่ไกล แล้วได้กล่าวว่า พวกสมณะศีรษะโล้นเหล่านี้ บวชบุตรคนเดียว ผู้เป็นที่รัก ที่ชอบใจของเรา. ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละ ไม่ได้การให้ไม่ได้คำตอบ ที่บ้านบิดาของท่าน ที่แท้ได้แต่คำด่าเท่านั้น

           [๔๓๖] สมัยนั้น ทาสีแห่งญาติของท่านพระรัฐปาละ ปรารถนาจะเอาขนมกุมมาส ที่บูดไปทิ้ง. ท่านรัฐปาละ ได้กล่าวกะทาสีของญาตินั้นว่า ดูกรน้องหญิง ถ้าสิ่งนั้นจำต้อง ทิ้ง จงใส่ในบาตรของฉันนี้เถิด. ทาสีของญาติ เมื่อเทขนมกุมมาสที่บูดนั้น ลงในบาตร ของ ท่านพระรัฐปาละ จำนิมิตแห่งมือเท้า และเสียงได้. แล้วได้เข้าไปหามารดา ของท่านรัฐปาละ แล้วได้กล่าวว่า เดชะบุญแม่เจ้า แม่เจ้าพึงทราบว่า รัฐปาละ ลูกแม่เจ้ามาแล้ว

           มารดาท่านพระรัฐปาละกล่าวว่า แม่คนใช้ ถ้าเจ้ากล่าวจริง ฉันจะทำเจ้าไม่ให้เป็น ทาสี. ลำดับนั้น มารดาของท่านพระรัฐปาละ เข้าไปหาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวว่า เดชะบุญ ท่านคฤหบดี ท่านพึงทราบว่า ได้ยินว่ารัฐปาลกุลบุตร มาถึงแล้ว

7

พระรัฐปาลฉันขนมบูด

           [๔๓๗] ขณะนั้น ท่านพระรัฐปาล ะอาศัยฝาเรือนแห่งหนึ่ง ฉันขนมกุมมาสบูด นั้นอยู่. บิดาเข้าไปหาท่านพระรัฐปาละ ถึงที่ใกล้ แล้วได้ถามว่า มีอยู่หรือพ่อรัฐปาละ ที่พ่อจักกินขนมกุมมาสบูด พ่อควรไปเรือนของตัว มิใช่หรือ? ท่านพระรัฐปาละ ตอบว่า ดูกรคฤหบดี เรือนของอาตมภาพ ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตจะมีที่ไหน อาตมภาพ ไม่มีเรือน อาตมภาพได้ไปถึงเรือนของท่านแล้ว แต่ที่เรือนของท่านนั้น อาตมภาพไม่ได้ การให้ ไม่ได้คำตอบเลย ได้เพียงคำด่าอย่างเดียวเท่านั้น. มาไปเรือน มาเถิด พ่อรัฐปาละ

           อย่าเลยคฤหบดี วันนี้อาตมภาพ ทำภัตตกิจเสร็จแล้ว. พ่อรัฐปาละ ถ้าอย่างนั้น ขอท่านจงรับภัตตาหาร เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้ ท่านพระรัฐปาละรับนิมนต์ ด้วยดุษณีภาพแล้ว

8

พระรัฐปาลเข้าไปบ้านโยมบิดา
ฉาบไล้นิเวศน์ด้วยโคมัยสด
ขนเงินและทอง มากองเป็นกองใหญ่

ปูลาดอาสนะด้วยเสื่อลำแพนที่ประดับด้วยเงินและทอง
เรียกหญิงทั้งหลายที่ภรรยาเก่าของพระรัฐปาละ ให้แต่งกายด้วยเครื่องประดับ

ตกแต่งของเคี้ยวของฉัน อย่างประณีต

           [๔๓๘] ลำดับนั้น บิดาของท่านพระรัฐปาละทราบว่า ท่านรัฐปาละรับนิมนต์ แล้วเข้าไปยังนิเวศน์ของตน แล้ว สั่งให้ฉาบไล้ที่แผ่นดิน ด้วยโคมัยสด(ดินผสมขี้วัว) แล้วให้ขนเงินและทอง มากองเป็นกองใหญ่ แบ่งเป็นสองกอง คือ เงินกองหนึ่ง ทองกองหนึ่ง เป็นกองใหญ่อย่าง ที่บุรุษที่ยืนอยู่ข้างนี้ ไม่เห็นบุรุษที่ผู้ยืนข้างโน้น บุรุษที่ยืนข้างโน้น ไม่เห็นบุรุษผู้ยืนข้างนี้ (กองใหญ่มาก) ฉะนั้น ให้ปิดกองเงินกองทองนั้น ด้วยเสื่อลำแพน ให้ปูลาดอาสนะ ไว้ท่ามกลาง แล้วแวดวงด้วยม่าน แล้วเรียกหญิงทั้งหลาย ที่เป็นภรรยาเก่า ของท่านพระรัฐปาละ มาว่า
           ดูกรแม่สาวๆ ทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายประดับ ด้วยเครื่องประดับสำรับใดมา จึงเป็นที่รักที่ชอบใจ ของรัฐปาลบุตร ของเราแต่ก่อน จงประดับด้วยเครื่องประดับ สำรับนั้น.

           ครั้นล่วงราตรีนั้นไป บิดาของท่านพระรัฐปาละ ได้สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉัน อย่างประณีต แล้วใช้คนไปเรียนเวลา แก่ท่านพระรัฐปาละว่า ถึงเวลาแล้วพ่อรัฐปาละว่า ภัตตาหารสำเร็จแล้ว. ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระรัฐปาละ นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปยังนิเวศน์แห่งบิดาท่าน แล้วนั่งบนอาสนะ ที่เขาแต่งตั้งไว้.

           บิดาของท่านพระรัฐปาละ สั่งให้เปิดกองเงิน และทองนั้น แล้วได้กล่าวกะท่าน พระรัฐปาละว่า พ่อรัฐปาละ ทรัพย์กองนี้ เป็นส่วนของมารดา กองอื่นเป็นส่วนของบิดา ส่วนของปู่อีกกองหนึ่ง เป็นของพ่อผู้เดียว พ่ออาจจะใช้สอยสมบัติ และทำบุญได้ พ่อจง ลาสิกขา สึกเป็นคฤหัสถ์ มาใช้สอยสมบัติ และทำบุญไปเถิด

           ท่านพระรัฐปาละตอบว่า ดูกรคฤหบดี ถ้าท่านพึงทำตามคำ ของอาตมภาพได้ ท่านพึงให้เขาขนกองเงินกองทองนี้ บรรทุกเกวียนให้เข็นไป จมเสียที่กลางกระแส แม่น้ำคงคา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความโศก ความร่ำไร ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีทรัพย์นั้นเป็นเหตุ จักเกิดขึ้นแก่ท่าน

           ลำดับนั้น ภรรยาเก่าของท่านพระรัฐปาละต่างจับที่เท้า แล้วถามว่า พ่อผู้ลูกเจ้านางฟ้าทั้งหลายผู้เป็นเหตุ ให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์ นั้นเป็นเช่นไร?
           ท่านพระรัฐปาละ ตอบว่า ดูกรน้องหญิง เราทั้งหลายประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุนางฟ้าทั้งหลายหามิได้

           หญิงเหล่านั้นเสียใจว่า รัฐปาละผู้ลูกเจ้า เรียกเราทั้งหลายด้วยวาทะว่า น้องหญิง ดังนี้สลบล้มอยู่ ณ ที่นั้น. ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละ ได้กล่าวกะบิดาว่า ดูกรคฤหบดี ถ้าจะพึงให้โภชนะก็จงให้เถิด อย่าให้อาตมภาพลำบากเลย บริโภคเถิด พ่อรัฐปาละ ภัตตาหารสำเร็จแล้ว ถึงบิดาท่านพระรัฐปาละ ได้อังคาสท่านพระรัฐปาละ ด้วยของเคี้ยวของฉัน อย่างประณีตให้อิ่มหนำ ด้วยมือของตนเสร็จแล้ว

9

พระรัฐปาละแสดงธรรม

           [๔๓๙] ครั้งนั้น ท่านพระรัฐปาละ ฉันเสร็จชักมือออกจากบาตร แล้วได้ยืนขึ้น กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า จงมาดูอัตภาพอันวิจิตร มีกายเป็นแผล อันคุมกันอยู่ แล้ว กระสับกระส่าย เป็นที่ดำริของชนเป็นอันมาก ไม่มีความยั่งยืนมั่นคง จงมาดูรูปอันวิจิตร ด้วยแก้วมณี และกุณฑล มีกระดูก อันหนังหุ้มห่อไว้ งามพร้อมด้วยผ้า (ของหญิง) เท้าที่ย้อมด้วยสีแดงสด หน้าที่ไล้ทาด้วยจุรณ พอจะหลอกคนโง่ ให้หลงได้ แต่จะหลอกคน ผู้แสวงหาฝั่ง คือพระนิพพานไม่ได้ ผมที่แต่งงาม ตาที่เยิ้มด้วยยาหยอด พอจะหลอกคนให้หลง ได้ แต่จะหลอกคนผู้แสวงหาฝั่ง คือพระนิพพานไม่ได้ กายเน่า อันประดับด้วยเครื่องอลังการ ประดุจทะนานยาหยอดอันใหม่วิจิตร พอจะหลอกคนโง่ ให้หลงได้ แต่จะหลอกคนผู้แสวงหา ฝั่งคือพระนิพพานไม่ได้ ท่านเป็นดังพรานเนื้อวาง บ่วงไว้ แต่ เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อพรานเนื้อ กำลังคร่ำครวญอยู่ เรากินแต่ อาหารแล้วก็ไป

           ครั้นท่านพระรัฐปาละ ยืนกล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว จึงเข้าไปยังพระราชอุทยาน มิคาจีระ ของพระเจ้าโกรัพยะ แล้วนั่งพักกลางวัน อยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง

           [๔๔๐] ครั้งนั้น พระเจ้าโกรัพยะ ตรัสเรียกพนักงาน รักษาพระราชอุทยานมาว่า ดูกรมิควะ ท่านจงชำระพื้นสวนมิคาจีระ ให้หมดจดสะอาด เราจะไปดูพื้นสวนอันดี. นายมิควะทูลรับพระเจ้าโกรัพยะว่า อย่างนั้น ขอเดชะ แล้วชำระพระราชอุทยาน มิคาจีระอยู่ ได้เห็นพระรัฐปาละ ซึ่งนั่งพักกลางวัน อยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้า พระเจ้าโกรัพยะ แล้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะพระราชอุทยานมิคาจีระ ของพระองค์ หมดจดแล้ว และในพระราชอุทยานนี้ มีกุลบุตรชื่อ รัฐปาละผู้เป็นบุตรแห่งตระกูล เลิศในถุลลโกฏฐิตนิคมนี้ ที่พระองค์ทรงสรรเสริญอยู่เสมอๆ นั้น เธอนั่งพักกลางวัน อยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง

           พระเจ้าโกรัพยะตรัสว่า ดูกรเพื่อนมิควะ ถ้าเช่นนั้น ควรจะไปยังพื้นสวนเดี๋ยวนี้ เราทั้งสองจักเข้าไปหา รัฐปาละ ผู้เจริญนั้นในบัดนี้

           ครั้งนั้น พระเจ้าโกรัพยะรับสั่งว่า ของควรเคี้ยวควรบริโภคสิ่งใด อันจะตกแต่ง ไปในสวนนั้น ท่านทั้งหลาย จงแจกจ่ายของสิ่งนั้น ทั้งสิ้นเสียเถิด ดังนี้แล้ว รับสั่งให้เทียม พระราชยานชั้นดี เสด็จออกจาก ถุลลโกฏฐิตนิคม ด้วยพระราชยานที่ดีๆ ด้วยราชานุภาพ อันยิ่งใหญ่ เพื่อจะพบท่านพระรัฐปาละ. ท้าวเธอเสด็จพระราชดำเนิน โดยกระบวนยาน พระที่นั่ง ไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนิน ด้วยบริษัทชนสูงๆ เข้าไปหาท่าน พระรัฐปาละ แล้วทรงปราศรัย กับท่านพระรัฐปาละ ครั้นผ่านปราศรัย พอให้ระลึกถึงกัน ไปแล้ว ได้ประทับยืนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วรับสั่งว่า เชิญท่านรัฐปาละ ผู้เจริญ นั่งบนเครื่องลาดนี้เถิด

           ท่านพระรัฐปาละถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร อย่าเลย เชิญมหาบพิตรนั่งเถิด อาตมภาพ นั่งที่อาสนะของอาตมภาพดีแล้ว พระเจ้าโกรัพยะ ประทับนั่งบนอาสนะ ที่พนักงานจัดถวาย

10

ความเสื่อม ๔

           [๔๔๑] ครั้นพระเจ้าโกรัพยะประทับนั่งแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระรัฐปาละว่า ท่านรัฐปาละ ผู้เจริญ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ถึงเข้าแล้ว ย่อมปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

           ความเสื่อม ๔ ประการนั้นเป็นไฉน
คือความเสื่อมเพราะชรา ๑
ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ ๑
ความเสื่อม จากโภคสมบัติ ๑
ความเสื่อมจากญาติ ๑

           [๔๔๒] ท่านรัฐปาละ ความเสื่อมเพราะชราเป็นไฉน? ท่านรัฐปาละ คนบางคน ในโลกนี้เป็นคนแก่แล้ว เป็นคนเฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ. เขาคิดเห็นดังนี้ว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นคนแก่แล้ว เป็นคนเฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัย มา โดยลำดับ ก็การที่เราจะได้โภคสมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำโภคสมบัติ ที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า กาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด.

            เขาประกอบด้วย ความเสื่อมเพราะชรานั้น จึงปลงผมและหนวด ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ดูกรท่านรัฐปาละ นี้เรียกว่าความเสื่อมเพราะชรา.

            ส่วนท่านรัฐปาละผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ก็ยังหนุ่มแน่น มีผมดำสนิท ประกอบด้วยความ เป็นหนุ่ม กำลังเจริญเป็นวัยแรกไม่มีความเสื่อม เพราะชรานั้นเลย ท่านพระรัฐปาละรู้เห็น หรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า?

           [๔๔๓] ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อม เพราะความเจ็บไข้เป็นไฉน? ท่านรัฐปาละ คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมีอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก. เขาคิดเห็นดังนี้ว่า เดี๋ยวนี้เรา เป็นคนมีอาพาธมีทุกข์ เป็นไข้หนัก ก็การที่เราจะได้โภคสมบัติ ที่ยังไม่ได้ หรือการที่เรา จะทำโภคสมบัติ ที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผม และ หนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด.

            เขาประกอบด้วย ความเสื่อม เพราะความเจ็บไข้นั้น จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่ม ผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต นี้เรียกว่าความเสื่อมเพราะ ความเจ็บไข้. ส่วนท่านรัฐปาละ เดี๋ยวนี้เป็นผู้ไม่อาพาธ ไม่มีทุกข์ ประกอบด้วยไฟธาตุที่ย่อย อาหาร สม่ำเสมอดี ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก ไม่มีความเสื่อม เพราะความเจ็บไข้นั้นเลย ท่านรัฐปาละ รู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า?

           [๔๔๔] ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมจากโภคสมบัติ เป็นไฉน? ท่านรัฐปาละ คนบางคน ในโลกนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก โภคสมบัติเหล่านั้น ของเขา ถึงความสิ้นไปโดยลำดับ. เขาคิดเห็นดังนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก โภคสมบัติเหล่านั้นของเราถึงความสิ้นไป โดยลำดับแล้ว ก็การที่เราจะได้ โภคสมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำโภคสมบัติ ที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เถิด ดังนี้.

            เขาประกอบด้วยความเสื่อมจากโภคสมบัตินั้น จึงปลงผมและ หนวด นุ่งห่มผ้า กาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ท่านรัฐปาละผู้เจริญ นี้เรียกว่า ความเสื่อม จากโภคสมบัติ. ส่วนท่านรัฐปาละเป็นบุตรของตระกูลเลิศ ในถุลลโกฏฐิต นิคม นี้ ไม่มี ความเสื่อม จากโภคสมบัตินั้น ท่านรัฐปาละรู้เห็น หรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า?

           [๔๔๕] ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมจากญาติเป็นไฉน? ท่านรัฐปาละ คนบางคน ในโลกนี้ มีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตเป็นอันมาก ญาติเหล่านั้นของเขาถึงความสิ้นไป โดยลำดับเขาคิดเห็นดังนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตเป็นอันมาก (เดี๋ยวนี้) ญาติของเรานั้นถึงความสิ้นไปโดยลำดับ ก็การที่เราจะได้โภคสมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำโภคสมบัติ ที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเถิด ดังนี้.

           เขาประกอบด้วยความเสื่อม จากญาตินั้น จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ท่านรัฐปาละ นี้เรียกว่าความเสื่อมจากญาติ. ส่วนท่านรัฐปาละ มีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตในถุลลโกฏฐิตนิคมนี้ เป็นอันมาก ไม่ได้มี ความเสื่อมจากญาติเลย ท่านรัฐปาละ รู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิตเสียเล่า? ท่านรัฐปาละ ความเสื่อม ๔ ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ ถึงเข้าแล้ว จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. ท่านรัฐปาละไม่ได้มีความเสื่อมเหล่านั้นเลย. ท่านรัฐปาละรู้เห็นหรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตเสียเล่า?

11

ธัมมุทเทส ๔

           [๔๔๖] ท่านพระรัฐปาละถวายพระพรว่า มีอยู่แล มหาบพิตร พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธัมมุทเทส ๔ ข้อ ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. ธัมมุทเทส ๔ ข้อเป็นไฉน? คือ

           ๑. ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทสข้อที่หนึ่งว่า โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน ดังนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

           ๒. ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทสข้อที่สองว่า โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่ เฉพาะตน ดังนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต

           ๓. ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทสข้อที่สามว่า โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละ สิ่งทั้งปวงไป ดังนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต

           ๔. ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทสข้อที่สี่ว่า โลกบกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ดังนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต

           ดูกรมหาบพิตร ธัมมุทเทส ๔ ข้อนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็นเป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแล้ว ที่อาตมภาพรู้เห็น และได้ฟัง แล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต
............................................................................................................
(เนื้อความแห่ง ธัมมุทเทส ๔)

           [๔๔๗] ท่านรัฐปาละกล่าวว่า (1) โลกอันชรานำไป ไม่ยั่งยืน ดังนี้ ก็เนื้อความแห่ง ภาษิต นี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร?

           ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัย ความข้อนั้นเป็นไฉน มหาบพิตร เมื่อมีพระชนมายุ ๒๐ ปีก็ดี ๒๕ ปีก็ดี ในเพลงช้างก็ดี เพลงม้าก็ดี เพลงรถก็ดี เพลงธนูก็ดี เพลงอาวุธก็ดี ทรงศึกษาอย่างคล่องแคล่ว ทรงมีกำลังพระเพลา มีกำลังพระพาหา มีพระกายสามารถ เคยทรงเข้าสงครามมาแล้วหรือ?

           ท่านรัฐปาละ ข้าพเจ้าเมื่อมีอายุ ๒๐ ปีก็ดี ๒๕ ปีก็ดี ในเพลงช้างก็ดี เพลงม้าก็ดี เพลงรถก็ดี เพลงธนูก็ดี เพลงอาวุธก็ดี ได้ศึกษาอย่างคล่องแคล่ว มีกำลังขา มีกำลังแขน มีตนสามารถ เคยเข้าสงครามมาแล้ว บางครั้งข้าพเจ้าสำคัญว่ามีฤทธิ์ ไม่เห็นใครจะเสมอด้วยกำลังของตน

           ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้น เป็นไฉน แม้เดี๋ยวนี้ มหาบพิตรก็ยังมีกำลังพระเพลา มีกำลังพระพาหา มีพระกายสามารถเข้าสงคราม เหมือน ฉะนั้น ได้หรือ?

           ท่านรัฐปาละ ข้อนี้หามิได้ เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าแก่แล้ว เจริญวัยแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วง กาลผ่านวัยมา โดยลำดับแล้ว วัยของข้าพเจ้าล่วงเข้าแปดสิบ บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่า จักย่างเท้าที่นี้ก็ไพล่ย่างไปทางอื่น

           ดูกรมหาบพิตร เนื้อความนี้แล ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงหมายถึง ตรัสธัมมุทเทสข้อที่หนึ่งว่า โลกอันชรา นำเข้าไปไม่ยั่งยืน ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

           ดูกรท่านรัฐปาละ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้อว่าโลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืนนี้ อันพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้า ตรัสดีแล้วดูกรท่านรัฐปาละ เป็นความจริง โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน ในราชสกุลนี้ มีหมู่ช้าง หมู่ม้าหมู่รถ และหมู่คนเดินเท้า หมู่ไรจักครอบงำอันตราย ของเราได้
............................................................................................................

           [๔๔๘] ท่านรัฐปาละกล่าวว่า (2) โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน ดังนี้ ก็เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร?

           ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัย ความข้อนั้นเป็นไฉน มหาบพิตรเคย ทรงประชวรหนักบ้างหรือไม่?

           ดูกรท่านรัฐปาละ ข้าพเจ้าเคยเจ็บหนักอยู่ บางครั้ง บรรดามิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต แวดล้อมข้าพเจ้าอยู่ ด้วยสำคัญว่า พระเจ้าโกรัพยะ จักสวรรคตบัดนี้ พระเจ้าโกรัพยะจักสวรรคตบัดนี้ ดังนี้

           ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน มหาบพิตร ได้มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต (ที่มหาบพิตรจะขอร้อง) ว่า มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เจริญของเราที่มีอยู่ทั้งหมด จงมาช่วยแบ่งเวทนานี้ไป โดยให้เราได้เสวยเวทนาเบาลง ดังนี้ หรือว่ามหาบพิตร ต้องเสวยเวทนาแต่พระองค์เดียว?

           ดูกรท่านรัฐปาละ ข้าพเจ้าจะได้มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต (ที่ข้าพเจ้าจะขอร้อง) ว่ามิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตที่มีอยู่ทั้งหมด จงมาช่วยแบ่งเวทนา นี้ไป โดยให้เราได้เสวยเวทนาเบาลงไป ดังนี้ หามิได้ ที่แท้ ข้าพเจ้าต้องเสวยเวทนานั้น แต่ผู้เดียว

           ดูกรมหาบพิตร เนื้อความนี้แล ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงหมายถึง ตรัสธัมมุทเทสข้อที่สองว่า โลกไม่มีผู้ ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจากเรือนบวช เป็นบรรพชิต

           ดูกรท่านรัฐปาละ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีแล้ว ข้อว่า โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่ เฉพาะตนนี้ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมา สัมพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว ท่านรัฐปาละ เป็นความจริง โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่ เฉพาะตน ในราชสกุลนี้ มีเงินและทอง อยู่ที่พื้นดิน และในอากาศมาก
............................................................................................................

           [๔๔๙] ท่านรัฐปาละกล่าวว่า (3) โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องทิ้งสิ่งทั้งปวงไป ดังนี้ก็เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร?

           ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัย ความข้อนั้นเป็นไฉน เดี๋ยวนี้ มหาบพิตร เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรอพระองค์อยู่ ฉันใด มหาบพิตร จักได้ สมพระราชประสงค์ว่า แม้ในโลกหน้า เราจักเป็นผู้เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรอตนอยู่ ฉันนั้น หรือว่าชนเหล่าอื่น จักปกครองโภคสมบัตินี้ ส่วนมหาบพิตร ก็จักเสด็จไป ตามยถากรรม?

           ท่านรัฐปาละ เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าเอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรอตนอยู่ ฉันใด ข้าพเจ้า จักไม่ได้ความประสงค์ว่า แม้ในโลกหน้า เราจะเป็นผู้เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม กามคุณ ๕ บำเรอตนอยู่ ฉันนั้น ที่แท้ ชนเหล่าอื่น จักปกครองโภคสมบัตินี้ ส่วนข้าพเจ้า ก็จักไปตามยถากรรม

           ดูกรมหาบพิตร เนื้อความนี้แล อันพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงหมายถึงตรัส ธัมมุทเทส ข้อที่สามว่า โลกไม่ม ีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป ที่อาตมภาพ รู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออก จากเรือน บวชเป็นบรรพชิตฃ

           ดูกรท่านรัฐปาละ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีแล้ว ข้อว่า โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไปนี้ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระ อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสดีแล้ว ท่านรัฐปาละ เป็นความจริง ไม่มีอะไร เป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป
............................................................................................................
           [๔๕๐] ท่านรัฐปาละกล่าวว่า (4) โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาส แห่ง ตัณหา ดังนี้ ก็เนื้อความแห่งภาษิตนี้ จะพึงเห็นได้อย่างไร? ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตร จะเข้าพระทัยความข้อนั้น เป็นไฉน มหาบพิตรทรงครอบครอง กุรุรัฐ อันเจริญอยู่หรือ?
           อย่างนั้น ท่านรัฐปาละ ข้าพเจ้าครอบครอง กุรุรัฐ อันเจริญอยู่

           มหาบพิตร จักเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ราชบุรุษของมหาบพิตรที่ กุรุรัฐนี้ เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุ พึงมาจากทิศบูรพา. เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตร แล้วกราบทูล อย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์พึงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้า มาจากทิศบูรพา ในทิศนั้น ข้าพระพุทธเจ้า ได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งและเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น ในชนบทนั้น มีพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้ามาก มีสัตว์อชินะ ที่ฝึกแล้วมาก มีเงินและทองทั้งที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งที่ทำแล้วก็มาก ในชนบทนั้น สตรีปกครอง พระองค์อาจจะรบชนะได้ ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไป รบ เอาเถิด มหาราชเจ้า ดังนี้ มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกะชนบทนั้น?

           ดูกรท่านรัฐปาละ พวกเราก็ไปรบเอาชนบทนั้น มาครอบครองเสียน่ะซิ

           ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัย ความข้อนั้นเป็นไฉน ราชบุรุษของ มหาบพิตร ที่กุรุรัฐนี้ เป็นที่เชื่อถือได้ เป็นคนมีเหตุ พึงมาจากทิศปัศจิม ... จากทิศอุดร ... จากทิศทักษิณ ... จากสมุทรฟากโน้น เขาเข้ามาเฝ้ามหาบพิตร แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์พึงทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้า มาจากสมุทรฟากโน้น ณ ที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นชนบทใหญ่ มั่งคั่งและเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น ในชนบทนั้นมีพลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้ามาก มีสัตว์อชินะที่ฝึกแล้วมาก มีเงิน และทอง ทั้งที่ยังไม่ได้ทำทั้งที่ทำแล้วมาก ในชนบทนั้น สตรีปกครอง พระองค์อาจ จะรบชนะได้ ด้วยกำลังพลประมาณเท่านั้น ขอพระองค์จงไปรบเอาเถิด มหาราชเจ้า ดังนี้ มหาบพิตรจะทรงทำอย่างไรกะชนบทนั้น?

           ดูกรท่านรัฐปาละ พวกเราก็ไปรบเอาชนบทนั้น มาครอบครองเสียน่ะซิ

           ดูกรมหาบพิตร เนื้อความนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงหมายถึงตรัส ธัมมุทเทส ข้อที่สี่ว่า โลกพร่องอยู่ เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ที่อาตมภาพรู้เห็นและได้ฟังแล้ว จึงออกจาก เรือน บวชเป็นบรรพชิต

           ดูกรท่านรัฐปาละ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้อว่า โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหานี้ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็น พระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสดีแล้ว ท่านรัฐปาละ เป็นความจริง โลกพร่องอยู่ เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

12
พระรัฐปาละกล่าวนิคมคาถา

           [๔๕๑] ท่านรัฐปาละได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว ภายหลังได้กล่าวคาถา ประพันธ์นี้ อื่นอีกว่า เราเห็นมนุษย์ทั้งหลายในโลก ที่เป็นผู้มีทรัพย์ ได้ทรัพย์แล้ว ย่อมไม่ให้ เพราะความหลง โลภ แล้วย่อมทำการสั่งสมทรัพย์ และยังปรารถนากาม ทั้งหลาย ยิ่งขึ้นไป

           พระราชาทรงแผ่อำนาจ ชำนะตลอดแผ่นดิน ทรงครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็น ที่สุด มิได้ทรงรู้จักอิ่ม เพียงฝั่งสมุทรข้างหนึ่ง ยังทรงปรารถนา ฝั่งสมุทรข้างโน้นอีก พระราชาและมนุษย์เหล่าอื่น เป็นอันมาก ยังไม่สิ้นความทะเยอทะยาน ย่อมเข้าถึงความ ตาย เป็นผู้พร่องอยู่ ละร่างกายไปแท้

           ความอิ่มด้วยกาม ย่อมไม่มีในโลกเลย อนึ่ง ญาติทั้งหลายพากันสยายผม คร่ำครวญถึงผู้นั้น พากันกล่าวว่า ได้ตายแล้วหนอ พวกญาตินำเอาผู้นั้น คลุมด้วยผ้า ไปยกขึ้นเชิงตะกอนแต่นั้นก็เผากัน ผู้นั้น เมื่อกำลังถูกเขาเผา ถูกแทงอยู่ด้วยหลาว มีแต่ผ้าผืนเดียว ละโภคสมบัติไป ญาติก็ดี มิตรก็ดี หรือสหายทั้งหลาย เป็นที่ต้านทาน ของบุคคลผู้จะตายไม่มี ทายาททั้งหลาย ก็ขนเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป

           ส่วนสัตว์ย่อมไปตามกรรมที่ทำไว้ ทรัพย์อะไรๆ ย่อมติดตามคนตายไปไม่ได้ บุตร ภรรยาทรัพย์ และแว่นแคว้นก็เช่นนั้น บุคคลย่อมไม่ได้อายุยืนด้วยทรัพย์ และย่อม ไม่กำจัด ชราได้ด้วยทรัพย์ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

           ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบ ผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาลย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาล ส่วนนักปราชญ์ อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว

           เพราะเหตุนั้นแล ปัญญาจึงประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุ ถึงที่สุด ในโลกนี้ได้ คนเป็นอันมาก ทำบาปกรรม เพราะความหลง ในภพน้อยภพใหญ่เพราะไม่มี ปัญญา เครื่องให้ถึงที่สุด สัตว์ที่ถึงการท่องเที่ยวไปมา ย่อมเข้าถึงครรภ์บ้าง ปรโลกบ้าง

           ผู้อื่นนอกจากผู้มีปัญญานั้น ย่อมเชื่อได้ว่า จะเข้าถึงครรภ์และปรโลก หมู่สัตว์ผู้มี บาปธรรม ละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมของตนเองในโลกหน้า เปรียบเหมือนโจร ผู้มีความผิด ถูกจับเพราะโจรกรรม มีตัดช่อง เป็นต้น ย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมของตนเอง

           ฉะนั้น ความจริง กามทั้งหลายวิจิตร รสอร่อยเป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิต ด้วยรูปมีประการต่างๆ มหาบพิตรอาตมภาพเห็นโทษ ในกามทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงบวชเสียสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ เมื่อสรีระทำลายไป ย่อมตกตายไป เหมือนผลไม้ทั้งหลาย ที่ร่วงหล่นไป

           มหาบพิตร อาตมภาพรู้เหตุนี้ จึงบวชเสีย ความเป็นสมณะ เป็นข้อปฏิบัติอันไม่ผิด เป็นผู้ประเสริฐแท้ ดังนี้แล

จบ รัฐปาลสูตร ที่ ๒.

 

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์