พระไตรปิฎก (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๖ - ๙๘
โกสลสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
ทหรสูตรที่ ๑
[๓๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ ท่านอนาถ บิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้เสด็จเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงได้ทรงปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๓๒๓] พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า แม้พระโคดมผู้เจริญ ย่อมทรงปฏิญาณบ้างหรือไม่ว่า เราได้ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาบพิตร ก็พระองค์เมื่อจะตรัสโดย ชอบ ก็พึงตรัสถึงอาตมภาพว่า ตถาคตได้ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอด เยี่ยม
ดูกรมหาบพิตร เพราะว่าอาตมภาพ ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
[๓๒๔] พระเจ้าปเสนทิโกศล ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ แม้สมณพราหมณ์ บางพวก เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มี ชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณะกัสสปมักขลิโคศาล นิครนถ์ นาฏบุตร สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุธะ กัจจายนะ อชิต เกสกัมพล
สมณพราหมณ์แม้เหล่านั้น เมื่อถูกหม่อมฉันถามว่า ท่านทั้งหลายย่อม ปฏิญาณได้ หรือว่าเราได้ ตรัสรู้พระอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณดังนี้ ก็ยังไม่ปฏิญาณ ตนได้ว่า ได้ตรัสรู้พระอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ส่วนพระโคดมผู้เจริญยังทรง เป็นหนุ่ม โดยกำเนิด และยังทรงเป็นผู้ใหม่โดยบรรพชา ไฉนจึงปฏิญาณได้เล่า
[๓๒๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาบพิตร ของ ๔ อย่างเหล่านี้ ไม่ควร ดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย ๔ อย่างเป็นไฉน ของ ๔ อย่างคือ
๑. กษัตริย์ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่ายังทรงพระเยาว์
๒. งู ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าตัวเล็ก
๓. ไฟ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย
๔. ภิกษุ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่ายังหนุ่ม
ดูกรมหาบพิตร ของ ๔ อย่างเหล่านี้ ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อย
[๓๒๖] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า (1) นรชนไม่พึงดูถูกดูหมิ่น กษัตริย์ผู้ถึงพร้อมด้วย พระชาติ มีพระชาติสูงผู้ทรงพระยศว่ายังทรงพระเยาว์ เพราะเหตุว่าพระองค์ เป็นมนุษย์ ชั้นสูง ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ทรงพระพิโรธขึ้น ย่อมทรงลงพระราชอาชญาอย่างหนัก แก่เขาได้ฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้นการสบประมาทกษัตริย์นั้นเสีย
(2) นรชนเห็นงูที่บ้านหรือที่ป่าก็ตาม ไม่พึงดูถูกดูหมิ่นว่าตัวเล็ก (เพราะเหตุว่า) งูเป็นสัตว์มีพิษ (เดช) ย่อมเที่ยวไปด้วย รูปร่างต่างๆ งูนั้นพึงมากัด ชายหญิงผู้พลั้งเผลอ ในบางคราวฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้นการสบประมาทงูนั้นเสีย
(3) นรชนไม่พึงดูถูก ดูหมิ่นไฟที่กินเชื้อมาก ลุกเป็นเปลว มีทางดำ (ที่ๆไฟไหม้ไปดำ) ว่าเล็กน้อย เพราะว่าไฟนั้น ได้เชื้อแล้วก็เป็นกองไฟใหญ่ พึงลามไหม้ชายหญิง ผู้พลั้งเผลอในบางคราว ฉะนั้น ผู้รักษาชีวิตของตน พึงงดเว้น การสบประมาทไฟนั้นเสีย
(แต่ว่า) (4) ป่าใดที่ถูกไฟไหม้จนดำไปแล้ว เมื่อวันคืนล่วงไปๆพรรณหญ้า หรือ ต้นไม้ ยังงอกขึ้นที่ป่านั้นได้ ส่วนผู้เดช บุตรธิดาและปศุสัตว์ของผู้นั้น ย่อมพินาศ ทายาทของเขาก็ย่อมไม่ได้รับทรัพย์มรดก เขาเป็นผู้ไม่มีเผ่าพันธุ์ ย่อมเป็นเหมือน ตาลยอดด้วน
ฉะนั้นแลบุคคล ผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาเห็นงู ไฟ กษัตริย์ผู้ทรงยศ และภิกษ ุผู้มีศีล ว่าเป็นภัยแก่ตน พึงประพฤติต่อโดยชอบทีเดียว
[๓๒๗] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสจบลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง นัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของ ที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะได้เห็นรูป ฉันใด พระผู้มีพระภาคไ ด้ทรงแสดงธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำ ข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึง สรณคมน์จนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ปุริสสูตรที่ ๒
[๓๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้ว จึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบ ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมกี่อย่า งเมื่อบังเกิดขึ้นในภายใน ของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้น เพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ ไม่สบาย
[๓๒๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างแล เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมบังเกิดขึ้น เพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อ ความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๓ อย่าง คือ
๑. โลภะ
๒. โทสะ
๓. โมหะ
ดูกรมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้น เพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย
[๓๓๐] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่าโลภะ โทสะ และโมหะ ที่เกิดขึ้นในตนย่อมบั่นรอน บุคคลผู้ใจบาป เหมือนผลของตน ย่อมบั่นรอนต้นเต่ารั้ง ฉะนั้น
ราชสูตรที่ ๓
[๓๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่ง ท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงทรงถวายบังคม พระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบ ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ที่เกิดมาแล้วที่พ้นจากชรา และมรณะ มีอยู่บ้างหรือไม่
[๓๓๒] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาบพิตร คนเกิดมาแล้วที่ จะพ้นจาก ชรามรณะไม่มีเลย แม้กษัตริย์มหาศาล ซึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มี โภคะมาก มีทอง และ เงินมากมาย มีทรัพย์เครื่องอุปกรณ์ น่าปลื้มใจมากมาย มี ทรัพย์คือข้าวเปลือก มากมาย ก็ไม่มีพ้นจากชรามรณะ แม้พราหมณ์มหาศาลซึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง ฯลฯ ก็ไม่มีพ้น จากชรามรณะ แม้คฤหบดีมหาศาล ก็ไม่มีพ้นจากชรา มรณะ ภิกษุแม้ทุกองค์ ซึ่งเป็น พระอรหันต์ หมดสิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ แล้ว กระทำกรณียะเสร็จแล้ว วางภาระหนักลงได้แล้ว ได้บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว หมดสิ้นกิเลสเครื่องประกอบไว้ ในภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ร่างกายนี้แม้แห่งพระอรหันต์เหล่านั้น ก็เป็น สภาพ แตกดับ ถูกทอดทิ้งเป็น ธรรมดา
[๓๓๓] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ราชรถอันวิจิตรดีย่อมชำรุดโดยแท้ อนึ่ง แม้สรีระ ก็ย่อมเข้าถึงชรา แต่ว่าธรรมของสัตบุรุษหา เข้าถึงชราไม่ สัตบุรุษเท่านั้น ย่อมรู้กันได้ กับสัตบุรุษ
ปิยสูตรที่ ๔
[๓๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่ง ท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้ว จึงทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบ ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ (วันนี้) ข้าพระองค์เข้าที่ลับพักผ่อน อยู่ ได้เกิดความนึกคิดอย่างนี้ว่า ชนเหล่าไหนหนอแลชื่อว่ารักตน ชนเหล่าไหน ชื่อว่า ไม่รักตน ข้าพระองค์ จึงได้เกิดความคิดต่อไปว่า ก็ชนเหล่าใดแลย่อม ประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่รักตน ถึงแม้ชนเหล่านั้นจะพึง กล่าวอย่างนี้ว่า เรารักตน ถึงเช่นนั้น ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าไม่รักตน ข้อนั้นเป็น เพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ไม่รักใคร่กัน ย่อมทำความเสียหายให้แก่ผู้ไม่รักใคร่กัน ได้โดยประการใด ชนเหล่านั้น ย่อมทำความเสียหาย ให้แก่ตนด้วยตนเอง ได้โดยประการนั้น ฉะนั้น ชนเหล่านั้นจึงชื่อว่าไม่รักตน ส่วนว่าชนเหล่าใดแล ย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจาใจ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้ชนเหล่านั้น จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้น ชนเหล่านั้น ก็ชื่อว่ารักตน ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ที่รักใคร่กัน ย่อมทำความดีความเจริญ ให้ แก่ผู้ที่รักใคร่กันได้โดยประการใด ชนเหล่านั้นย่อม ทำความดี ความเจริญ ให้แก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้น ชนเหล่านั้น จึงชื่อว่ารักตน
[๓๓๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถูกแล้วๆ มหาบพิตร เพราะว่าชน บางพวกย่อม ประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้น ไม่ชื่อว่ารักตน ถึง แม้พวกเขาจะกล่าว อย่างนี้ว่าเราทั้งหลาย มีความรักตน ถึงเช่นนั้นพวกเขาก็ชื่อว่า ไม่มีความรักตน ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ไม่รักใคร่กันย่อม ทำความเสียหายให้แก่ ผู้ไม่รักใคร่ กันได้ โดยประการใดพวกเขาเหล่านั้น ย่อมทำความเสียหายแก่ตน ด้วยตนเองได้โดยประการนั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงชื่อว่าไม่รัก ตน ส่วนว่าชนบางพวก ย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ พวกเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขา จะกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้นพวกเหล่านั้นก็ชื่อ ว่ารักตน ข้อนั้นเป็น เพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าชนผู้ที่รักใคร่กัน ย่อมทำความดี ความเจริญให้แก่ชน ผู้ที่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเหล่านั้นย่อมทำความดี ความเจริญแก่ตน ด้วยตนเองได้ โดยประการนั้น ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน
[๓๓๖] พระผู้มีพระภาค พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ถ้าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รัก ไม่พึงประกอบด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้น ไม่เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่วจะพึงได้โดยง่าย
เมื่อบุคคลถูกมรณะครอบงำ ละทิ้งภพมนุษย์ไปอยู่ ก็อะไรเป็นสมบัติของเขา และเขาย่อมพาเอาอะไรไปได้ อนึ่ง อะไรเล่าจะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น
ผู้ที่มาเกิดแล้วจำ จะต้องตายในโลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือ เป็นบุญ และ เป็นบาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแล เป็นสมบัติของเขา และเขาจะพาเอาบุญ และบาปนั้นไป (สู่ปรโลก)อนึ่ง บุญและบาปนั้น ย่อมเป็นของติดตามเขาไป ประดุจเงา ติดตามตนไป ฉะนั้น
เพราะฉะนั้น บุคคลพึงทำกัลยาณกรรม สะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก(เพราะว่า) บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่ง ของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก
อัตตรักขิตสูตรที่ ๕
[๓๓๗] พระเจ้าปเสนทิโกศล ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หม่อมฉันได้เข้าที่ลับ พักผ่อนอยู่ ได้เกิด ความนึกคิดอย่างนี้ว่า ชนพวกไหนหนอแล ชื่อว่าเป็นผู้รักษา ตน ชนพวกไหนหนอ แล ชื่อว่าเป็นผู้ไม่รักษาตน ข้าพระองค์ได้คิดต่อไปว่า ก็ชนบางพวกแลย่อมประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ชนพวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้ ไม่รักษาตน ถึงแม้พลช้าง พลม้า พลรถ หรือพลเดินเท้า จะพึงรักษาเขา ถึง เช่นนั้นชนพวกนั้น ก็ชื่อว่าไม่เป็นผู้รักษาตน ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะ เหตุว่าการรักษาเช่นนั้น เป็นการรักษาภายนอก มิใช่เป็นการ รักษา ภายใน ฉะนั้น ชนพวกนั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่รักษาตน ส่วนว่าชนบางพวก ย่อม ประพฤติสุจริตด้วย กาย วาจา ใจ ชนพวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน ถึงแม้ว่าพลช้าง พลม้า พลรถ หรือพลเดินเท้า จะไม่รักษาเขา ถึงเช่นนั้นชนพวกนั้น ก็ชื่อว่าเป็นผู้รักษา ตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าการรักษาเช่นนั้น เป็นการรักษาภายใน มิใช่ เป็นการรักษาภายนอก ฉะนั้น ชนพวกนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้รักษาตน
[๓๓๘] พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า ถูกแล้วๆ มหาบพิตร ก็ชนบางพวก ย่อมประพฤติทุจริต ด้วยกาย วาจา ใจ ชนพวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้ไม่รักษาตน ถึงแม้ชน พวกนั้น จะมีพลช้างพลม้า พลรถ หรือพลเดินเท้า คอยรักษา ถึง เช่นนั้น ชนพวกนั้นก็ ชื่อว่าไม่รักษาตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า การรักษาเช่นนั้น เป็นการรักษาภายนอก มิใช่เป็นการรักษาภายใน ฉะนั้น ชนพวก นั้นจึงชื่อว่าไม่รักษาตน ส่วนว่าชนบางพวก ย่อมประพฤติสุจริตด้วยกายวาจา ใจ ชนพวกนั้นชื่อว่าเป็นผู้รักษาตน ถึงแม้ชนพวกนั้นจะไม่มีพลช้าง พลม้า พลรถหรือพลเดินเท้าคอยรักษถึงเช่นนั้น ชนพวกนั้น ก็ชื่อว่ารักษาตน ข้อนั้นเป็น เพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่า การรักษาเช่นนั้น เป็นการรักษาภายใน มิใช่เป็นการ รักษาภายนอก ฉะนั้น ชนพวกนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้รักษาตน
[๓๓๙] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า การสำรวมด้วยกายเป็นการดี การสำรวมด้วยวาจา เป็นการดี การสำรวมด้วยใจเป็นการดี การสำรวมในที่ทั้งปวง เป็นการดีบุคคลสำรวม ในที่ทั้งปวง แล้วมีความละอายต่อบาป เรากล่าวว่าเป็นผู้รักษาตน
อัปปกสูตรที่ ๖
[๓๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่ง ท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หม่อมฉันได้เข้าที่ลับพักผ่อนอยู่ ได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า สัตว์เหล่าใดได้โภคทรัพย์ยิ่งๆ แล้ว ย่อมไม่มัวเมา ไม่ประมาท ไม่ถึงความติดอยู่ใน กามคุณ และไม่ประพฤติผิดใ นสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้น มีจำนวนน้อยในโลก ส่วนว่าสัตว์เหล่าใด ได้โภคทรัพย์ยิ่งๆ แล้ว ย่อมมัวเมา ประมาท ถึงความติดอยู่ในกามคุณ และประพฤติผิด ในสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นแล มีจำนวนมากมายในโลก
[๓๔๑] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ถูกแล้วๆ มหาบพิตร สัตว์เหล่าใด ได้โภคทรัพย์ยิ่งๆ แล้ว ย่อมไม่มัวเมา ไม่ประมาท ไม่ถึงความติดอยู่ในกามคุณ และไม่ประพฤติผิดในสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้น มีจำนวนน้อยในโลก ส่วนว่าสัตว ์เหล่าใด ได้โภคทรัพย์ยิ่งๆ แล้ว ย่อมมัวเมา ประมาท ถึงความติด อยู่ในกามคุณ และประพฤติผิดในสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นแลมีจำนวนมาก มายในโลก
[๓๔๒] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้กำหนัดกล้า ในโภคทรัพย์ ที่น่าใคร่ มักมาก หลงใหลในกามคุณ ย่อมไม่รู้สึกการก้าวล่วง (ประพฤติผิดในสัตว์พวกอื่น) เหมือนพวกเนื้อไม่รู้สึกแร้ว ซึ่งโก่งดักไว้ฉะนั้น ผลเผ็ดร้อนย่อมมีแก่สัตว์พวกนั้นในภายหลัง เพราะว่ากรรมเช่นนั้น มีวิบากเลวทราม
อรรถกรณสูตรที่ ๗
[๓๔๓] พระเจ้าปเสนทิโกศล ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หม่อมฉันได้นั่ง ณ ที่ พิจารณาคดี เห็นกษัตริย์มหาศาลบ้าง พราหมณ์มหาศาลบ้าง คฤหบดีมหาศาลบ้าง ซึ่งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมากมาย มีทรัพย์เครื่อง อุปกรณ์น่าปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์คือข้าวเปลือกมากมาย ยังกล่าวมุสาทั้งที่รู้สึก อยู่ เพราะเหตุแห่งกาม เพราะเรื่องกาม เพราะมีกามเป็นเค้ามูลหม่อมฉันได้ เกิดความนึกคิด อย่างนี้ว่า เป็นการไม่สมควรเลย ด้วยการที่เราจะพิจารณาคดีในบัดนี้(เพราะ) บัดนี้ ราชโอรสนามว่า วิฑูฑภะ ผู้มีหน้าชื่นบาน จักปรากฏโดยการ พิจารณาคดี
[๓๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ชอบแล้วๆ มหาบพิตร กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล แม้บางพวกเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์ มาก ฯลฯ มีทรัพย์ คือข้าวเปลือกมากมาย ยังจักกล่าวมุสา ทั้งที่รู้สึกอยู่ เพราะเหตุแห่งกาม เพราะเรื่องกาม เพราะมีกามเป็นเค้ามูล ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อความ เสื่อมประโยชน์ เพื่อความทุกข์ แก่พวกเขา ตลอดกาลนาน
[๓๔๕] พระผู้มีพระภาค ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้กำหนัดกล้า ในโภคทรัพย์ที่น่าใคร่ มักมากหลงใหลในกามคุณ ย่อมไม่รู้สึกการล่วงเกิน เหมือนพวกปลา กำลังเข้าไปสู่เครื่องดัก ซึ่งอ้าดักอยู่ ฉะนั้น ผลอันเผ็ดร้อน ย่อมมี แก่สัตว์พวกนั้น ในภายหลัง เพราะว่ากรรมเช่นนั้น มีวิบากเลวทราม
มัลลิกาสูตรที่ ๘
[๓๔๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่ง ท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ประทับ ณ ปราสาทอันประเสริฐชั้นบน พร้อมด้วยพระนางมัลลิการาชเทวี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสกับพระนางมัลลิการาชเทวีว่า แน่ะ มัลลิกาก็คนอื่น คือใครเล่าซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมมีแก่เธอหรือหนอแล
พระนางมัลลิกาได้ทูลสนองว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่ง เป็นที่รัก ยิ่งกว่าตน ย่อมไม่มีแก่หม่อมฉันแล ก็คนอื่นคือใครเล่าซึ่งเป็นที่รักยิ่ง กว่าตน ย่อมมีแก่พระองค์ หรือไฉน
พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า แน่ะมัลลิกา คนอื่นใครๆ ซึ่งเป็นที่รักยิ่ง กว่าตน ย่อมไม่มีแม้แก่ฉัน
[๓๔๗] ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จลงจากปราสาทเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หม่อมฉัน ได้อยู่ที่ปราสาทอันประเสริฐ ชั้นบนกับด้วยพระนางมัลลิการาชเทวี ได้พูดกับพระนางมัลลิการาชเทวีว่า แน่ะมัลลิกา ก็คนอื่นคือใครเล่า ซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมมีอยู่หรือหนอแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้นหม่อมฉันพูดอย่างนี้แล้ว พระนางมัลลิการาชเทวีได้ทูล สนองหม่อมฉันว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็คนอื่นคือใครเล่า ซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมไม่มีแก่หม่อมฉัน แล ก็คนอื่นใครๆ ซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมมีอยู่แก่พระองค์ หรือไฉน ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ครั้นพระนางมัลลิกา ทูลสนองอย่างนี้แล้วหม่อมฉันได้พูดกับ พระนาง มัลลิการาชเทวีว่า แน่ะมัลลิกา คนอื่นใครๆ ซึ่งเป็น ที่รักยิ่งกว่าตน ย่อมไม่มีแม้แก่ฉันแล
[๓๔๘] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงได้ ตรัส พระคาถานี้ในเวลานั้นว่า บุคคลค้นหาด้วยจิต ตลอดทิศทั้งหมด ไม่ได้พบใคร ซึ่งเป็นที่รัก ยิ่งกว่าตนในที่ไหนๆ เลย สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่น ก็รักตนมากเช่นนั้น เหมือนกันฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น
ยัญญสูตรที่ ๙
[๓๔๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม แห่งท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตระเตรียมการบูชามหายัญ โคผู้ ๕๐๐ตัว ลูกโคผู้ ๕๐๐ ตัว ลูกโคตัวเมีย ๕๐๐ ตัว แพะ ๕๐๐ ตัว และ แกะ ๕๐๐ ตัว ถูกนำไปผูกไว้ที่หลัก เพื่อบูชายัญ แม้ชนบางคนของพระเจ้า ปเสนทิโกศลนั้น เป็นทาส คนใช้หรือกรรมกรที่มีอยู่ แม้ชนเหล่านั้นถูกอาชญา ถูกภัยคุกคาม มีหน้านองด้วยน้ำต าร้องไห้พลาง กระทำบริกรรมไปพลาง
[๓๕๐] ครั้งนั้นแล พวกภิกษุหลายรูป ครองผ้าเรียบร้อยแล้วในเวลาเช้า ถือบาตรและจีวรเข้าไปสู่กรุงสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลัง ภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ภิกษุเหล่านั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตระเตรียมการบูชามหายัญ โคผู้ ๕๐๐ ตัว ลูกโคผู้ ๕๐๐ ตัว ลูกโคตัวเมีย ๕๐๐ ตัว แพะ ๕๐๐ ตัว และ แกะ ๕๐๐ ตัว ถูกนำไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ แม้ชนบางคนของพระเจ้า ปเสนทิโกศลนั้น เป็นทาส คนใช้ หรือกรรมกรที่มีอยู่ ชนแม้เหล่านั้นถูกอาชญา ถูกภัยคุกคาม มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้พลาง กระทำบริกรรมไปพลาง
[๓๕๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงได้ ตรัส พระคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า มหายัญที่มีการตระเตรียมมาก มีการฆ่าแพะ แกะ โค และสัตว์ชนิดต่างๆ คือ อัศวเมธ ปุริสเมธ สัมมาปาสะ วาชเปยยะนิรัคคฬะ มหายัญ เหล่านั้น เป็นยัญไม่มีผลมาก (เพราะ)พระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้แสวงหาคุณ อันยิ่งใหญ่ ผู้ดำเนินปฏิปทาอันชอบ ย่อมไม่เข้าไปใกล้ยัญนั้น
ส่วนยัญใด มีการตระเตรียมน้อย ไม่มีการฆ่า แพะ แกะโค และสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งบุคคลบูชาสืบตระกูลทุกเมื่อ พระพุทธเจ้าเป็นต้นผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ดำเนินปฏิปทาอันชอบ ย่อมเข้าไปใกล้ยัญนั้น
ผู้มีปัญญา ควรบูชายัญนั้น ยัญนั้นเป็นยัญมีผลมาก เมื่อบุคคลบูชายัญนั้น นั่นแหละ ย่อมมีแต่ความดี ไม่มีความชั่วช้าเลวทราม ยัญก็เป็นยัญอย่างไพบูลย์ และ เทวดาย่อมเลื่อมใส ฯ
พันธนสูตรที่ ๑๐
[๓๕๒] ก็โดยสมัยนั้นแล หมู่มหาชน ถูกพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้จองจำ ไว้แล้ว บางพวกถูกจองจำด้วยเชือก บางพวกถูกจองจำ ด้วยขื่อคา บางพวกถูก จองจำ ด้วยโซ่ตรวน
ครั้งนั้นแล ภิกษุหลายรูป ครองผ้าเรียบร้อยแล้ว ในเวลาเช้า ถือบาตและจีวร เข้าไปสู่พระนครสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต ครั้นกลับจากบิณฑบาต ในเวลาหลัง ภัตตาหารแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายบังคม พระผู้มีพระภาค แล้วได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พวกภิกษุเหล่านั้นนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้หมู่มหาชน ถูกพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้จองจำไว้แล้ว บางพวกถูกจองจำด้วยเชือก บางพวกถูกจองจำด้วยขื่อคา บางพวก ถูกจองจำ ด้วยโซ่ตรวน
[๓๕๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงได้ ตรัส พระคาถาเหล่านี้ในเวลานั้น ว่านักปราชญ์ทั้งหลายไม่ได้กล่าวเครื่องจองจำ ที่ทำด้วยเหล็ก ทำด้วยไม้และทำด้วยหญ้า (เชือก) ว่าเป็นเครื่องจองจำที่มั่น นักปราชญ์ทั้งหลาย กล่าวความรักใคร่พอใจนัก ในแก้วมณี และกุณฑล และ ความห่วงอาลัย ในบุตรและภรรยาทั้งหลาย ว่าเป็นเครื่องจองจำที่มั่น พาให้ตกต่ำ เป็นเครื่องจำที่หย่อนๆ แต่ปลดเปลื้องได้ยาก นักปราชญ์ทั้งหลาย ตัดเครื่องจองจำ แม้เช่นนั้นออกบวช เป็นผู้ไม่มีความห่วงอาลัย ละกามสุขเสียแล้ว
จบ วรรคที่ ๑
.................................................................................................................................
รวมพระสูตรในปฐมวรรคที่ ๑ นี้ คือ
ทหรสูตรที่ ๑ ปุริสสูตรที่ ๒ ราชสูตรที่ ๓ ปิยสูตรที่ ๔ อัตตรักขิต สูตรที่ ๕
อัปปกสูตรที่ ๖ อรรถกรณสูตรที่ ๗ มัลลิกาสูตรที่ ๘ ยัญญสูตรที่ ๙ และพันธนสูตรที่ ๑๐
.................................................................................................................................
|