1
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๓- ๑๘๓
๑๐. กีฏาคิริสูตร
คุณของการฉันอาหารน้อย
[๒๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในกาสีชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. ณที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรีเสียทีเดียว และเมื่อเราฉันโภชนะ เว้นการฉัน ในราตรีเสีย ย่อมรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญ แม้ท่านทั้งหลาย ก็จงมาฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรีเสียเถิด ก็เมื่อเธอทั้งหลายฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรีเสีย จักรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธ น้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญ
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า
2
พระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะฉันอาหารในเวลาวิกาล
[๒๒๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสร็จเที่ยวจาริกไปใน กาสีชนบท
โดยลำดับ เสด็จถึงนิคมของชนชาวกาสีอันชื่อว่า กีฏาคิรี. ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชนชาวกาสี อันชื่อว่ากีฏาคิรี. ก็โดยสมัยนั้น มีภิกษุชื่ออัสสชิ และภิกษุชื่อปุนัพพสุกะเป็นเจ้าอาวาส อยู่ในกีฏาคิรีนิคม
ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมากเข้าไปหาอัสสชิภิกษุ และปุนัพพสุกภิกษุถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรี ก็เมื่อพระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์ฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรี ย่อมรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่ สำราญ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย แม้ท่านทั้งหลายก็จงมาฉันโภชนะ เว้นการฉัน ในราตรี เสียเถิด เมื่อท่านทั้งหลายฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรี ก็จักรู้คุณคือความ เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญ
เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุอัสสชิและภิกษุปุนัพพสุกะ ได้กล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายฉันโภชนะ ทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวัน เมื่อเราเหล่านั้นฉันโภชนะ ทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวัน ก็ย่อมรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญเราเหล่านั้น จักละคุณที่ตนเห็นเอง แล้ววิ่งไป ตามคุณ อันอ้างกาลทำไม เราทั้งหลายจักฉันทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวัน
[๒๒๔] เมื่อภิกษุเหล่านั้นไม่สามารถจะให้ อัสสชิภิกษุ ปุนัพพสุกภิกษุ ยินยอมได้ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานโอกาส ข้าพระองค์ทั้งหลาย เข้าไปหาอัสสชิภิกษุ และปุนัพพสุกภิกษุถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลายพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฉันโภชนะเว้นการฉัน ในราตรี เมื่อพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฉันโภชนะเว้นการฉันในราตรี ย่อมรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่ามีกำลัง และอยู่สำราญ แม้ท่านทั้งหลายก็จงฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรีเสียเถิด ก็เมื่อท่านทั้งหลาย ฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรี รู้จักคุณคือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญ เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย กล่าวอย่างนี้แล้ว อัสสชิภิกษุ และปุนัพพสุกภิกษุ ได้กล่าวว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายฉันโภชนะทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวัน เมื่อเราทั้งหลายนั้น ฉันโภชนะทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาลในกลางวัน ย่อมรู้คุณคือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลังและสำราญ เราเหล่านั้นจักละคุณที่ตนเห็นเอง แล้ววิ่งไปตาม คุณอันอ้างกาลทำไม เราทั้งหลาย จักฉันโภชนะทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลา วิกาล ในกลางวัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่สามารถจะให้ อัสสชิภิกษุ และปุนัพพสุกภิกษุ ยินยอมได้ จึงกราบทูลเนื้อความนี้ แด่พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาว่า ดูกรภิกษุ เธอจง ไปเรียกอัสสชิภิกษุ และปุนัพพสุกภิกษุ ตามคำของเราว่า พระศาสดาตรัสเรียก ท่านทั้งหลาย ภิกษุนั้นทูลรับต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาอัสสชิภิกษุ และ ปุนัพพสุกภิกษุถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า พระศาสดาตรัสเรียกท่านทั้งหลาย. อัสสชิภิกษุและปุนัพพสุกภิกษุรับ ต่อภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับอัสสชิภิกษุและปุนัพพสุกภิกษุว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ภิกษุเป็นอันมาก เข้าไปหาเธอทั้งสองแล้วกล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฉันโภชนะเว้นการฉันในราตรี เมื่อพระผู้มีพระภาค และภิกษุสงฆ์ฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรี ย่อมรู้คุณคือความ เป็นผู้ มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และสำราญ แม้ท่าน ทั้งหลาย ก็จงมาฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรีเสียเถิด เมื่อท่านทั้งหลายฉันโภชนะ เว้นการฉันในราตรี จักรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญ ดังนี้ได้ยินว่าเมื่อภิกษุเหล่านั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว เธอทั้งสองได้ กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็เราทั้งหลายฉันโภชนะทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวันเมื่อเราทั้งหลายนั้น ฉันโภชนะทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวัน ย่อมรู้คุณ คือความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กระปรี้ กระเปร่า มีกำลัง และอยู่สำราญ เราเหล่านั้นจักละคุณ ที่ตนเห็นเอง แล้ววิ่งไปตามคุณ ที่อ้างกาลทำไม เราทั้งหลายจัก ฉันโภชนะทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ทั้งเวลาวิกาล ในกลางวัน ดังนี้ จริงหรือ?
อย่างนั้น พระเจ้าข้า
3
พระพุทธเจ้าแสดงเวทนา ๓
[๒๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้ว อย่างนี้ บุรุษบุคคลนี้เสวยเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ สุข ทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์ มิใช่สุข อกุศลธรรมของบุคคลนั้น ย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้หรือหนอ?
ไม่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ว่า
เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยสุขเวทนาเห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม
ส่วน เมื่อ บุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ
เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยทุกข์เวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม
ส่วนบุคคลในโลกนี้ เสวยทุกขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรม ย่อมเจริญ
เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยอทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม
ส่วนเมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยอทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อม เสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้ มิใช่หรือ?
อย่างนั้น พระเจ้าข้า
[๒๒๖] ดีละ ภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยสุข เวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม ดังนี้ นี่จักเป็นข้อที่เรา ไม่ได้รู้แล้ว ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้ทำให้แจ้งแล้ว ไม่ได้ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เมื่อเราไม่รู้อย่างนี้จะพึงกล่าวว่า เธอทั้งหลายจงละสุขเวทนา เห็นปานนี้ เสียเถิด ดังนี้ ข้อนี้จักได้สมควรแก่เราแลหรือ?
ไม่สมควร พระเจ้าข้า
(ไม่สมควรเพราะอกุศลเจริญ กุศลเสื่อม จึงต้องละ สุขเวทนา นั้นเสีย)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยสุข เวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม ดังนี้ นี่เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้วถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า เธอทั้งหลายจงละสุขเวทนา เห็นปานนี้เสียเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อว่า เมื่อบุคคล บางคนในโลกนี้ เสวยสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้ นี่จักเป็นข้อที่เรา ไม่ได้ รู้แล้ว ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้ทำให้แจ้งแล้ว ไม่ได้ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เมื่อเราไม่รู้อย่างนี้ จะพึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงเข้าถึงสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่เถิด ดังนี้ ข้อนี้จักได้สมควรแก่เรา แลหรือ?
ไม่สมควร พระเจ้าข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลก เสวยสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้ นี่เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้วถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงเข้าถึงสุขเวทนาเห็นปานนี้อยู่เถิด
[๒๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวย ทุกขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม ดังนี้ นี่จักเป็นข้อ ที่เราไม่ได้รู้แล้ว ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้ทำให้แจ้งแล้ว ไม่ได้ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เมื่อเราไม่รู้อย่างนี้ จะพึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงละทุกขเวทนา เห็นปานนี้ เสียเถิด ดังนี้ ข้อนี้จักได้สมควรแก่เราแลหรือ?
ไม่สมควร พระเจ้าข้า
(ไม่สมควรเพราะอกุศลเจริญ กุศลเสื่อม จึงต้องละ ทุกุขเวทนา นั้นเสีย)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวย ทุกขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม ดังนี้ นี่เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงละทุกขเวทนา เห็นปานนี้เสียเถิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อว่า เมื่อ บุคคล บางคนในโลกนี้ เสวยทุกขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรม ย่อมเจริญ ดังนี้ นี่จักเป็นข้อที่เราไม่ได้รู้แล้ว ไม่ได้เห็นแล้วไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้ ทำให้แจ้งแล้ว ไม่ได้ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เมื่อเราไม่รู้อย่างนี้ จะพึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงเข้าถึงทุกขเวทนา เห็นปานนี้อยู่เถิด ข้อนี้จักได้สมควรแก่เราแลหรือ?
ไม่สมควร พระเจ้าข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวย ทุกขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้ นี่เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้วถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงเข้าถึงทุกขเวทนาเห็นปานนี้อยู่เถิด
[๒๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวย อทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม ดังนี้ นี่จักเป็นข้อที่เราไม่ได้รู้แล้ว ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้ทำให้แจ้งแล้ว ไม่ได้ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เมื่อเราไม่รู้อย่างนี้จะพึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงละ อทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้เสียเถิด ดังนี้ ข้อนี่จักได้สมควรแก่เราแลหรือ?
ไม่สมควร พระเจ้าข้า
(ไม่สมควรเพราะอกุศลเจริญ กุศลเสื่อม จึงต้องละ อทุกขมสุขเวทนา นั้นเสีย)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวย อทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเจริญ กุศลธรรมย่อมเสื่อม ดังนี้ นี่เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้วทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ฉะนั้นเรา จึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงละอทุกมสุขเวทนา เห็นปานนี้เสียเถิด ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยอทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้ นี่จักเป็นข้อที่เราไม่ได้ รู้แล้ว ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้ทำให้แจ้งแล้ว ไม่ได้ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เมื่อเราไม่รู้อย่างนี้ จะพึงกล่าวว่า เธอทั้งหลายจงเข้าถึง อทุกมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่เถิด ดังนี้ข้อนี้จักได้สมควร แก่เราแลหรือ?
ไม่สมควร พระเจ้าข้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะข้อว่า เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ เสวยอทุกขม สุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญ ดังนี้ นี่เรารู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้วทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า เธอทั้งหลาย จงเข้าถึงอทุกขมสุขเวทนา เห็นปานนี้อยู่เถิด
(เสขะ กับ อเสขะ)
[๒๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราหากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความ ไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุทั้งปวง ดังนี้ไม่ อนึ่ง เราหากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความ ไม่ประมาท ไม่มีแก่ภิกษุทั้งปวงดังนี้ไม่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบ พรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว มีประโยชน์ตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้โดยชอบ เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำ ด้วยความไม่ประมาท ไม่มีแก่ภิกษุเห็นปานนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุเหล่านั้น ได้ทำกรณียกิจเสร็จแล้ว ด้วยความไม่ประมาท และภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ควร เพื่อจะประมาท
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด ยังเป็นพระเสขะ ยังไม่บรรลุ ถึงความเต็ม ปรารถนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันตขีณาสพ ยังปรารถนาธรรมเป็นแดน เกษม จาก โยคะ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่าอยู่ เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความ ไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุเห็นปานนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่ง ความไม่ประมาท ของภิกษุเหล่านี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านเหล่านี้ เมื่อเสพเสนาสนะ อันสมควร คบหา กัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่น ยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ดังนี้ จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำ ด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุเห็นปานนั้น
4
บุคคล ๗ จำพวก
[๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๗ จำพวกเป็นไฉน คือ
อุภโตภาควิมุตบุคคล ๑
ปัญญาวิมุตบุคคล ๑
กายสักขีบุคคล ๑
ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑
สัทธาวิมุตบุคคล ๑
ธัมมานุสารีบุคคล ๑
สัทธานุสารีบุคคล ๑.
[๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุภโตภาควิมุตบุคคลเป็นไฉน (๑)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติ ล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ และอาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่า อุภโตภาควิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปัญญาวิมุตบุคคลเป็นไฉน (๒)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูป สมบัติ ล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่แต่อาสวะทั้งหลายของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรากล่าวว่าปัญญาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาทย่อมไม่มี แก่ ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จ แล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท.
[๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายสักขีบุคคลเป็นไฉน (๓)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมบัติ ล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ และอาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา บุคคลนี้เรากล่าวว่ากายสักขีบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้ เมื่อเสพเสนาสนะ ที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุด พรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่าที่กุลบุตรทั้งหลาย ออกจากเรือน บวชเป็น บรรพชิตโดยชอบต้องการ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองได้ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้
[๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฏฐิปัตตบุคคลเป็นไฉน (๔)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติ ล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่ตถาคตประกาศแล้ว เป็นธรรมอันผู้นั้น เห็นแจ้ง ด้วยปัญญา ประพฤติ ดีแล้ว บุคคลนี้เรากล่าวว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควร ทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่ง ความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควร คบหา กัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้
[๒๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธาวิมุตบุคคลเป็นไฉน (๕)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมบัติ ล่วงรูปสมาบัติ ด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ความเชื่อในพระตถาคตของผู้นั้นตั้งมั่นแล้ว มีราก หยั่งลงมั่นแล้ว บุคคลนี้เรากล่าวว่าสัทธาวิมุตบุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่ากิจ ที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็น ผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะอันสมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.
[๒๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธัมมานุสารีบุคคลเป็นไฉน (๖)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูป สมาบัติ ล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ย่อมควรซึ่งความ พินิจ โดยประมาณด้วยปัญญาของผู้นั้น อีกประการหนึ่งธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น บุคคลนี้เรากล่าวว่า ธัมมานุสารีบุคคล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนี้เพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาท ของภิกษุนี้ เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรคบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ ให้เสมออยู่พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.
[๒๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธานุสารีบุคคลเป็นไฉน (๗)ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คือ อรูปสมาบัติ ล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่ แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา อนึ่ง ผู้นั้นมีแต่เพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต อีกประการหนึ่ง ธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ย่อมมีแก่ผู้นั้น บุคคลนี้เรากล่าวว่า สัทธานุสารีบุคคล.ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุแม้นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้เสพเสนาสนะ ที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำให้แจ้ง ซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ ดังนี้ จึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้
5
การตั้งอยู่ในอรหัตตผล
(ย่อมมีได้ด้วยการศึกษาตามลำดับ ทำตามลำดับ ปฏิบัติตามลำดับ)
[๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรกเท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการ ศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการศึกษา โดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้
- เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้
-
เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้
- เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลง
- เมื่อเงี่ยโสตลงแล้ว ย่อมฟังธรรม
- ครั้นฟังธรรม ย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรม ที่ทรงไว้แล้ว
- เมื่อพิจารณา เนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลาย ย่อมทนได้ซึ่งความพินิจ
- เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด
- เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ
- ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง
- ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้วย่อมทำให้แจ้งชัด ซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอด เห็นแจ้งบรมสัจจะนั้น ด้วยปัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงก็ดี การฟังธรรมก็ดี การทรงธรรมไว้ก็ดี ความพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันทนได้ ซึ่งความพินิจก็ดี ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดีการไตร่ตรองก็ดี การตั้ง ความเพียร ก็ดี นั้นๆ ไม่ได้มีแล้ว เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติ ผิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ ไกลเพียงไร
6
บท ๔ (สัจจะ ๔ ประการ คืออริยสัจสี่)
[๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทสี่อันยืนยันได้ ที่เรายกขึ้นแสดงแล้ว อัน วิญญูบุรุษจะพึงรู้เนื้อความได้ ด้วยปัญญาไม่นานเลย มีอยู่ เราจักแสดงแก่เธอ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจักรู้ทั่วถึงเนื้อความ แห่งบทสี่ อันยืนยันได้ ที่เรายกขึ้นแสดงแล้ว นั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกไหนเป็นข้าพระองค์ทั้งหลาย และพวกไหน จะเป็นผู้รู้ทั่วถึงธรรมได้?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศาสดาใดเป็นผู้หนักในอามิส รับมรดกแต่ส่วนที่เป็น อามิส ข้องอยู่ด้วยอามิส แม้ศาสดานั้น ย่อมไม่มีคุณสมบัติเหมือนดังของตลาด ซึ่งมีราคาขึ้นๆ ลงๆเห็นปานนี้ว่า ก็เมื่อเหตุอย่างนี้พึงมีแก่เรา เราพึงทำเหตุนั้น ก็เมื่อเหตุอย่างนี้ ไม่พึงมีแก่เรา เราไม่พึงทำเหตุนั้น ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทำไมเล่า ตถาคตจึงไม่ข้องด้วยอามิส โดยประการ ทั้งปวงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สภาพนี้ย่อมมีแก่สาวก ผู้มีศรัทธา ผู้หยั่งลง ในคำสอน ของพระศาสดา แล้วประพฤติด้วยตั้งใจว่า พระผู้มีพระภาคเป็น พระศาสดา เราเป็น สาวก พระผู้มีพระภาคย่อมทรงรู้ เราไม่รู้
คำสอนของพระศาสดา ย่อมงอกงาม มีโอชาแก่สาวกผู้มีศรัทธา ผู้หยั่งลง ในคำสอนของพระศาสดา แล้วประพฤติ. สภาพนี้ ย่อมมีแก่สาวก ผู้มีศรัทธาผู้หยั่งลง ในคำสอนของพระศาสดา แล้วประพฤติ ด้วยตั้งใจว่า
(ความเพียรอันสูงสุด)
เนื้อและเลือดในสรีระของเรา จงเหือดแห้งไป จะเหลืออยู่แต่หนังเอ็น และกระดูกก็ตามที เมื่อเรายังไม่บรรลุถึงอิฐผลที่จะพึงบรรลุ ด้วยเรี่ยวแรง ของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักคลายความเพียรนั้นเสีย จักไม่มีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผลสองอย่างคือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อ ขันธบัญจกที่กรรมกิเลสเข้าไปยึดถือ เป็นส่วนเหลือยังมีอยู่ ความเป็นพระอนาคา มีอย่างใดอย่างหนึ่ง อันสาวกผู้มีศรัทธา ผู้หยั่งลงในคำสอน ของพระศาสดา แล้วประพฤติพึงหวังได้
(สำนวนแปลฉบับมหาจุฬา ภิกษุทั้งหลาย สาวกผู้มีศรัทธา ผู้ทำตามคำสั่งสอนของศาสดา จะพึงหวังได้ ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ (๑) อรหัตตผลในปัจจุบัน (๒) เมื่อมีอุปาทาน เหลืออยู่ ก็จะเป็นอนาคามี)
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้นยินดี ชื่นชม พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล
จบ กีฏาคิริสูตร ที่ ๑๐.
|