เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

สันทกสูตร เรื่องสันทกปริพาชก แสดงธรรมโดยพระอานนท์ 1844
 


สันทกสูตร เรื่องสันทกปริพาชก

1. เหล่าปริพาชกสนทนาติรัจฉานกถา
สันทกปริพาชก กับหมู่ปริพาชก กำลังพูดติรัจฉานกถา เรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องภัย เรื่องรบ
เรื่องข้าวน้ำ เรื่องญาติ เรื่องบ้าน เรื่องชนบท ครั้นเห็นพระอานนท์มาแต่ไกล จึงให้สงบเสียง

2. ธรรมีกถา (ความเห็นผิดของบางลัทธิ)
- ศาสดาบางคน มีความเห็นว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล
- ผลวิบากกรรม ที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี ..ไม่มี
- ผู้ดำเนินชอบปฏิบัติชอบ ให้แจ้งด้วยปัญญา และสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง.. ไม่มี
- คนเรานี้เป็นแต่ประชุมมหาภูตสี่ เมื่อทำกาละ อินทรียย่อมเลื่อนลอยไปสู่อากาศ
- คนเราเมื่อตายแล้ว ร่างกายก็อยู่ในป่าช้า กลายเป็นกระดูก มีสีดุจนกพิราบ
- ศาสดาบางพวก เห็นว่ามีผลๆ (แห่งการกระทำ) ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ
- เมื่อกายแตกสลาย ทั้งคนพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญ เบื้องหน้าแต่ตายไป (ภพใหม่) ย่อมไม่มี

3. ว่าด้วยอพรหมจริยวาส (ไม่ใช่วิถีแห่งพรหม)
-ศาสดาบางคน กล่าวว่าการบูชาเซ่นสรวง วิบากกรรม ไม่มีผล ที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี
-ศาสดาบางคน เปลือยกาย ทำความเพียรในการเดินกระโหย่ง อยู่ครองเรือน นอนเบียดกับบุตร
-ศาสดาบางคน กล่าวว่าเมื่อบุคคลทำเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นทำ บาปย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา
-ศาสดาบางคน กล่าวว่าไม่มีเหตุปัจจัย เพื่อความเศร้าหมอง หาเหตุปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมองเอง
.......

4. พรหมจรรย์ที่ควรประพฤติ
-เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เสพเมถุน ละการพูดเท็จ..
-เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม ฉันหนเดียว..
-เว้นขาดจากการนั่งนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่..
-เว้นขาดจากการรับไก่ และสุกร เว้นขาดจากการรับช้าง วัว ม้า
-เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ
-เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว (ฟังเสียงด้วยหู..)ไม่ถือนิมิต...
-เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวมจักขุนทรีย์
-เธอย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ
-ประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะ สันโดษ
-เธอละความโลภในโลก มีใจปราศจากความโลภอยู่
-ละนิวรณ์ 5
-บรรลุ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4

5. วิชชา ๓
- เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
- เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
- เมื่อจิตเป็นสมาธิไม่มีกิเลส ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ

6. พระขีณาสพไม่ล่วงฐานะ ๕
๑) เป็นผู้ไม่สามารถ แกล้งปลงสัตว์ จากชีวิต
๒) เป็นผู้ไม่สามารถถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของ ไม่ได้ให้
๓) เป็นผู้ไม่สามารถเสพเมถุนธรรม
๔) เป็นผู้ไม่สามารถกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่
๕) เป็นผู้ไม่สามารถทำการสั่งสม บริโภคกามทั้งหลาย

7. รู้ว่าเราหมดอาสวะได้อย่างไร
- เมื่อภิกษุนั้นเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี ย่อมรู้ย่อมเห็นว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว
- เมื่อเขาพิจารณา ย่อมรู้ได้ว่ามือและเท้าขาดแล้วฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ

8. สันทกปริพาชกส่งสาวกของตนไปบวชในสำนักพระพุทธเจ้า
พ่อผู้เจริญทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์เถิด การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดมย่อมมีผล

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


1
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๒๒-๒๔๐

๖. สันทกสูตร
เรื่องสันทกปริพาชก (พระอานนท์แสดงธรรม)

           [๒๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตเมืองโกสัมพี. สมัยนั้น สันทก ปริพาชก พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ ประมาณห้าร้อย อาศัยอยู่ ณ ถ้ำปิลัคขคูหา

           ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระอานนท์ออกจากที่เร้น แล้วเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายจะเข้าไปยังบ่อน้ำที่น้ำฝนเซาะเพื่อจะดูถ้ำ. ภิกษุเหล่านั้น รับคำท่านพระอานนท์ว่า อย่างนั้นท่านผู้มีอายุ

           ลำดับนั้นท่านพระอานนท์ พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เข้ายังบ่อน้ำที่น้ำฝนเซาะ.

           สมัยนั้น สันทกปริพาชก นั่งอยู่กับปริพาชก บริษัทหมู่ใหญ่ ซึ่งกำลังพูด ติรัจฉานกถา เป็นอันมาก ด้วยเสียงสูง เสียงใหญ่อึงคะนึง คือพูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอมเรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องคนกล้าหาญเรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องนางกุมภทาสี เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลกเรื่องทะเล เรื่องความเจริญ และความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ

           สันทกปริพาชก ได้เห็นท่านพระอานนท์ กำลังมาแต่ไกล จึงห้ามบริษัท ของตน ให้สงบเสียงว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงเบาเสียงเถิด ท่านผู้เจริญทั้งหลาย อย่าทำเสียงดังต่อไปเลย นี่สาวกของพระสมณโคดม เป็นสมณะชื่ออานนท์กำลังมาอยู่ สมณะชื่ออานนท์นี้ เป็นสาวกองค์หนึ่ง ในบรรดาสาวกของพระโคดม ที่อาศัยอยู่ ณ เมืองโกสัมพี ก็ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น เป็นผู้ใคร่ในความเป็นผู้มีเสียงเบา แนะนำในความ มีเสียงเบา กล่าวสรรเสริญเสียงเบา ถ้ากระไร สมณะชื่ออานนท์นั้น ทราบว่าบริษัท มีเสียงเบาแล้ว พึงสำคัญที่จะเข้ามาใกล้

           ลำดับนั้น ปริพาชกเหล่านั้นได้นิ่งอยู่. ท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปหาสันทก ปริพาชก ถึงที่ใกล้. สันทกปริพาชก ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า เชิญมาเถิด ท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์มาดีแล้ว ต่อนานๆ ท่านพระอานนท์ จึงจะได้ทำเหตุ เพื่อจะมาในที่นี้ เชิญนั่งเถิดท่านพระอานนท์ นี้อาสนะปูไว้แล้ว. ท่านพระอานนท์ นั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว แม้สันทกปริพาชก ถือเอาอาสนะอันต่ำแห่งหนึ่ง แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง

2
ธรรมิกกถา
(ความเห็นผิดของบางลัทธิ)

           [๒๙๔] ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวกะสันทก ปริพาชกว่า ดูกรสันทกะ เมื่อกี้นี้ ท่านทั้งหลายประชุมสนทนาอะไรกัน และเรื่องอะไรที่ท่านทั้งหลาย หยุดค้างไว้ ในระหว่าง?

           ส. ท่านพระอานนท์ เรื่องที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ประชุมสนทนาเมื่อกี้นั้น ขอยกไว้ เสียเถิดเรื่องนั้นท่านพระอานนท์ จักได้ฟังแม้ในภายหลังโดยไม่ยาก ดีละหนอ ขอเรื่อง ที่เป็นธรรม ในลัทธิแห่งอาจารย์ของตน จงแจ่มแจ้งแก่ท่านพระอานนท์เถิด

           อา. ดูกรสันทกะ ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง จงมนสิการให้ดี เราจักกล่าว. สันทกปริพาชก รับคำท่านพระอานนท์แล้ว. ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า

           ดูกรสันทกะ ลัทธิสมัยอันไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๔ ประการนี้ และพรหมจรรย์ อันเว้นความยินดี ๔ ประการ ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เลย ถึงเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จ ไม่ได้อันพระผู้มี พระภาค พระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ตรัสไว้แล้ว

           ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ก็ลัทธิสมัย อันไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๔ ประการที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จไม่ได้ อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบตรัสไว้แล้วนั้น เป็นไฉน

           [๒๙๕] ดูกรสันทกะ ศาสดาบางคนในโลกนี้ มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีความเห็น อย่างนี้ว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรม ที่ทำดี ทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี

           สมณพราหมณ์ ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งกระทำโลกนี้ และโลกหน้า ให้แจ้ง ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง และสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งไม่มีในโลก คนเรานี้เป็นแต่ประชุม มหาภูต ทั้งสี่ เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดิน ไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟ ไปตาม ธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมเลื่อนลอยไปสู่อากาศ คนทั้งหลาย มีเตียงเป็นที่ ๕ จะหามเขาไป เมื่อตายแล้ว ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็นกระดูก มีสีดุจนกพิราบ การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานนี้คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวก พูดว่า มีผลๆ ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะกายสลาย ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ย่อมขาดสูญพินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมไม่มี ดังนี้

3
ว่าด้วย อพรหมจริยวาส (สิ่งที่ไม่ใช่พรหมประพฤติปฏิบัติ)

           [๒๙๖] ดูกรสันทกะ ในลัทธิของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมตระหนักดังนี้ว่า

            ท่านศาสดาผู้มีปกติกล่าวอย่างนี้ (1) มีความเห็นอย่างนี้ว่า การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวง ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรม ที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี สัตว์ที่เกิดผุดขึ้น ไม่มีสมณพราหมณ์ ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งทำโลกนี้และโลกหน้า ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งไม่มีในโลก คนเรานี้เป็นแต่ประชุม มหาภูตทั้งสี่ เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดินไปตามธาตุดิน ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟไป ตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม

            อินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมเลื่อนลอยไปสู่อากาศ คนทั้งหลาย มีเตียงเป็นที่ ๕ จะหามเขาไปเมื่อตายแล้ว ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็นกระดูก มีสีดุจนกพิราบ การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานนี้คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวกพูดว่ามีผลๆ ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะกายสลาย ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ย่อมขาดสูญ พินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายไปย่อมไม่มีดังนี้

           ถ้าคำของศาสดาผู้นี้เป็นคำจริง กรรมในลัทธินี้ ที่เราไม่ได้ทำเลย เป็นอันทำแล้ว พรหมจรรย์ในลัทธินี้ที่เราไม่ได้อยู่เลย เป็นอันอยู่แล้ว แม้เราทั้งสองคือเราผู้ไม่ได้ กล่าว ว่า เพราะกายสลาย แม้เราทั้งสองจักขาดสูญพินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายไปจักไม่มี ดังนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้เสมอๆ กัน ถึงความเป็นผู้เสมอๆ กันในลัทธินี้.

            ที่ยิ่งกว่ากันก็คือความที่ท่านศาสดานี้ เป็นผู้ประพฤติเปลือยกาย เป็นคน ศีรษะโล้น ทำความเพียร ในการเดินกระโหย่ง ถอนผมและหนวด เมื่อเราอยู่ครองเรือน นอนเบียดกับบุตร ประพรมแก่นจันทร์เมืองกาสี ทรงดอกไม้ ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยินดี ทอง และเงินอยู่ ก็จักเป็นผู้มีคติเสมอๆ กับท่านศาสดานี้ในภพหน้าได้ เรานั้นรู้อะไร เห็นอะไรอยู่ จึงจักประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานี้ วิญญูชนนั้นครั้นรู้ว่า ลัทธินี้ไม่เป็น โอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ได้ ดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่าย หลีกไปจาก พรหมจรรย์นั้น

           ดูกรสันทกะ ลัทธิอันไม่เป็นโอกาสที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ได้ ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ เป็นประการที่หนึ่ง นี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ตรัสไว้แล้ว
.......................................................................................................................

           [๒๙๗] ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง (2) ศาสดาบางคนในโลกนี้ มีปกติ กล่าวอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเอง ใช้ผู้อื่นทำเขา ให้เศร้าโศก ทำให้เขาลำบากเอง ใช้ผู้อื่นให้ทำเขาให้ลำบาก ให้ดิ้นรนเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่ ทางเปลี่ยว ทำชู้ภรรยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป

           แม้หากผู้ใดจะใช้จักร ซึ่งมีคมโดยรอบเหมือนมีดโกน สังหารเหล่าสัตว์ในปฐพีนี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน บาปที่มีการทำเช่นนั้น เป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่งแม่น้ำคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน บาปที่มีการทำ เช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา

           แม้หากบุคคล จะไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้เองใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบูชา บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ด้วยการ ให้ทาน การทรมานอินทรีย์ การสำรวมศีล การกล่าวคำสัตย์ บุญย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขาดังนี้

           [๒๙๘] ดูกรสันทกะ ในลัทธิท่านศาสดานี้ วิญญูชน ย่อมเห็นตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดาผู้มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเอง ให้ผู้อื่นทำเขาให้เศร้าโศก ทำเขาให้ลำบากเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ลำบาก ให้ดิ้นรนเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อ ปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรม ในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่ทางเปลี่ยว ทำชู้ภรรยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป แม้หากผู้ใดจะใช้จักร ซึ่งมีคมโดยรอบ เหมือนมีดโกนสังหารเหล่าสัตว์ ในปฐพีนี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน บาปที่มีการทำนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวา แห่งแม่น้ำคงคาฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ให้ผู้อื่นเบียดเบียน บาปที่มีการทำ เช่นนั้น เป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคล จะไปยังฝั่งซ้ายแห่ง แม่น้ำคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบูชา บุญที่มีการทำเช่นนั้น เป็นเหตุย่อมไม่มี แก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ด้วยการให้ทาน การทรมานอินทรีย์ การสำรวมศีล การกล่าวคำสัตย์ บุญย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ดังนี้

           ถ้าคำของศาสดานี้เป็นคำจริง กรรมในลัทธินี้ที่เราไม่ได้ทำเลย เป็นอันทำแล้ว พรหมจรรย์ในลัทธินี้ เราไม่ได้อยู่เลย เป็นอันอยู่แล้วแม้เราทั้งสอง คือเราผู้ไม่ได้กล่าวว่า เราทั้งสองผู้ทำไม่ชื่อว่า ทำบาปก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้เสมอๆกันถึงความ เป็นผู้เสมอกัน ในลัทธินี้. ที่ยิ่งกว่ากันก็คือ ความที่ท่านศาสดานี้ เป็นผู้ประพฤติเปลือยกาย เป็นคนศีรษะ โล้น ทำความเพียรในการเดินกระโหย่ง ถอนผมและหนวด เมื่อเราอยู่ครองเรือน นอนเบียดกับบุตร ประพรมแก่นจันทน์ เมืองกาสี ทรงดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ ก็จักเป็นผู้มีคติเสมอๆ กับท่านศาสดานี้ในภพหน้าได้ เรานั้นรู้อะไร เห็นอะไรอยู่ จึงจักประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานี้ วิญญูชนนั้นครั้นรู้ว่า ลัทธินี้ไม่เป็น โอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ได้ดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายหลีกไป จากพรหมจรรย์นั้น

           ดูกรสันทกะ ลัทธิอันไม่เป็นโอกาสที่จะ อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ได้ ที่วิญญูชนไม่ พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ถึงเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ เป็นประการที่สองนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้พระองค์เองโดยชอบตรัสไว้แล้ว
.......................................................................................................................

           [๒๙๙] ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง (3) ศาสดาบางคนในโลก มีปกติกล่าว อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุหาปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความ บริสุทธิ์ แห่งสัตว์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลาย หาเหตุหาปัจจัยมิได้ ย่อมบริสุทธิ์เอง ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีเรี่ยวแรงของบุรุษ ไม่มีความบากบั่นของบุรุษ สัตว์ทั้งปวง ปาณะ ทั้งปวง ภูตะทั้งปวง ชีวะทั้งปวงล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตาม เคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ตามความประจวบ ตามความเป็นเอง ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ ในอภิชาติทั้งหกเท่านั้น ดังนี้

           [๓๐๐] ดูกรสันทกะ ในลัทธิของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมเห็นตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดาผู้มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความ เศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุหาปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาเหตุหาปัจจัย มิได้ ย่อมบริสุทธิ์เอง ไม่มีกำลังไม่มีความเพียร ไม่มีเรี่ยวแรงของบุรุษ ไม่มีความบากบั่น ของบุรุษ สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวงภูตะทั้งปวง ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ตามความประจวบ ตามความเป็นเอง ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ ในอภิชาติทั้งหกเท่านั้น ดังนี้

           ถ้าคำของท่านศาสดา นี้เป็นคำจริง กรรมในลัทธินี้ ที่เราไม่ได้ทำเลย เป็นอัน ทำแล้ว พรหมจรรย์ในลัทธินี้ที่เราไม่ได้อยู่เลย เป็นอันอยู่แล้ว แม้เราทั้งสองคือเรา ผู้ไม่ได้กล่าวว่า เราทั้งสองหาเหตุหาปัจจัยมิได้ จักบริสุทธิ์เอง ดังนี้ก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้ เสมอๆ กัน ถึงความเป็นผู้เสมอกันในลัทธินี้. ที่ยังยิ่งกว่านั้นก็คือ ความที่ท่านศาสดานี้ เป็นผู้ประพฤติเปลือยกาย เป็นคนศีรษะโล้น ทำความเพียรในการเดินกระโหย่ง ถอนผม และหนวด เมื่อเราอยู่ครองเรือน นอนเบียดกับบุตร ประพรมแก่นจันทน์เมืองกาสี ทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ ก็จักเป็นผู้มีคติเสมอๆ กันกับท่านศาสดานี้ในภพหน้าได้ เรานั้นรู้อะไร เห็นอะไรอยู่ จึงจักประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานี้ วิญญูชนนั้นครั้นรู้ว่า ลัทธินี้ไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ได้ดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่าย หลีกไปจากพรหมจรรย์นั้น

           ดูกรสันทกะ ลัทธิอันไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ที่วิญญูชน ไม่พึง อยู่ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ เป็นประการที่สามนี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบตรัสไว้แล้ว
.......................................................................................................................

           [๓๐๑] ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีความเห็นว่าอย่างนี้ว่า สภาวะ ๗ กองเหล่านี้ ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำ ไม่มีใครนิรมิต ไม่มีใครให้นิรมิต เป็นสภาวะอันยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด สภาวะ ๗ กองเหล่านั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขห รือทุกข์หรือทั้งสุข และทุกข์แก่กันและกัน สภาวะ ๗ กองเป็นไฉน คือ กองดิน กองน้ำ กองไฟ กองลมสุข ทุกข์ ชีวะเป็นที่ ๗ สภาวะ ๗ กองนี้ ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่าง อันใครทำ ไม่มีใครนิรมิต ไม่มีใครให้นิรมิต เป็นสภาวะยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นคงดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มันคง ดุจเสาระเนียดสภาวะ ๗ กองเหล่านั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกัน และกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือทุกข์ หรือทั้งสุข ทั้งทุกข์แก่กันและกัน

           ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้ฆ่าก็ดี ผู้ได้ยินก็ดี ผู้กล่าวให้ได้ยินก็ดี ผู้เข้าใจความก็ดี ผู้ทำให้เข้าใจความก็ดี ไม่มีในสภาวะ ๗ กองนั้น เพราะแม้บุคคลจะเอาศาตรา อย่างคม ตัดศีรษะกัน ก็ไม่ชื่อว่าใครๆ ปลงชีวิตใครๆ เป็นแต่ศาตราสอดไปในช่องแห่งสภาวะ ๗ กองเท่านั้น ก็แต่กำเนิดที่เป็นประธาน ๑,๔๐๖,๖๐๐ กรรม ๕๐๐ กรรม ๕ กรรม๓ กรรม ๑ กรรมกึ่ง ปฏิปทา ๖๒ อันตรกัป ๖๒ อภิชาติ ๖ ปุริสภูมิ ๘ อาชีวก ๔,๙๐๐ ปริพาชก ๔,๙๐๐ นาคาวาส ๔,๙๐๐ อินทรีย์ ๒,๐๐๐ นรก ๓,๐๐๐ ราโชธาตุ ๓๖ สัญญีครรภ์ ๗ อสัญญีครรภ์ ๗ นิคันถครรภ์ ๗ เทวดา ๗ มนุษย์ ๗ ปีศาจ ๗ สระ ๗ ปวุฏะ ๗ หิน ๗ เหวใหญ่ ๗ เหวน้อย๗๐๐ มหาสุบิน ๗ สุบิน ๗๐๐ มหากัป ๘,๔๐๐,๐๐๐ เหล่านี้.

           ที่พาลและบัณฑิตเร่ร่อน ท่องเที่ยวไปแล้ว จักทำที่สุดทุกข์ได้ ความสมหวังว่า เราจักบ่มกรรม ที่ยังไม่อำนวยผลให้อำนวยผล หรือเราสัมผัสถูกต้องกรรม ที่อำนวยผล แล้ว จักทำให้สุดสิ้นด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ ไม่มีในที่นั้น สุขทุกข์ที่ทำให้มีที่สิ้นสุดได้ เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนานย่อมไม่มีในสงสาร ด้วยอาการอย่างนี้เลย ไม่มีความเสื่อม ความเจริญ ไม่มีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลง.

            พาลและบัณฑิต เร่ร่อนท่องเที่ยวไป จักทำที่สุดทุกข์ได้เอง เหมือนกลุ่มด้าย ที่บุคคล ขว้างไป ย่อมคลี่หมดไปเองฉะนั้น ดังนี้

           [๓๐๒] ดูกรสันทกะ ในลัทธิของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมเห็นตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดาผู้มีปกติ กล่าวอย่างนี้ว่า มีความเห็นอย่างนี้ว่า ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่าง อันใครทำ ไม่มีใครนิรมิต ไม่มีใครให้นิรมิต เป็นสภาวะยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นคงดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นคงดุจเสาระเนียด สภาวะ ๗ กองเหล่านั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกัน และกันไม่อาจให้เกิดสุข หรือ ทุกข์ หรือทั้งสุข ทั้งทุกข์แก่กันและกัน

            สภาวะ ๗ กองเป็นไฉน คือ กองดินกองน้ำ กองไฟ กองลม สุข ทุกข์ ชีวะเป็นที่ ๗ สภาวะ ๗ กองนี้ ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำ ไม่มีใครนิรมิต ไม่มีใครให้นิรมิต เป็นสภาวะยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นคง ดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นคง ดุจเสาระเนียด สภาวะ ๗ กอง เหล่านั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุข หรือทุกข์ หรือทั้งสุขทั้งทุกข์ แก่กันและกัน

           ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้ฆ่าก็ดีผู้ได้ยินก็ดี ผู้กล่าวให้ได้ยินก็ดี ผู้เข้าใจความก็ดี ผู้ทำให้ เข้าใจความก็ดี ไม่มีในสภาวะ ๗ กองนั้นเพราะแม้ว่าบุคคล จะเอาศาตรา อย่างคม ตัดศีรษะกัน ก็ไม่ชื่อว่าใครๆ ปลงชีวิตใครๆ เป็นแต่ศาตราสอดไปตามช่องแห่ง สภาวะ ๗ กองเท่านั้น.

           ก็แต่กำเนิดที่เป็นประธาน ๑,๔๐๖,๖๐๐ กรรม ๕๐๐ กรรม ๕ กรรม ๓ กรรม ๑ กรรมกึ่ง ปฏิปทา ๖๒ อันตรกัป ๖๒ อภิชาติ ๖ ปุริสภูมิ ๘ อาชีวก ๔,๙๐๐ ปริพาชก ๔,๙๐๐ นาคาวาส ๔,๙๐๐ อินทรีย์ ๒,๐๐๐ นรก ๓๐๐ ราโชธาตุ ๓๖ สัญญีครรภ์ ๗ อสัญญีครรภ์ ๗ นิคันถครรภ์ ๗ เทวดา ๗ มนุษย์ ๗ ปีศาจ ๗ สระ ๗ ปวุฏะ ๗ หิน ๗ เหวใหญ่ ๗ เหวน้อย ๗๐๐ มหาสุบิน ๗ สุบิน ๗๐๐ มหากัป ๘,๔๐๐,๐๐๐ เหล่านี้.

           ที่พาลและบัณฑิต เร่ร่อนท่องเที่ยวไปแล้ว จักทำที่สุดทุกข์ได้ ความสมหวังว่า เราจักบ่มกรรมที่ยังไม่อำนวยผล ให้อำนวยผล หรือเราสัมผัสถูกต้อง กรรมที่อำนวยผล แล้ว จักทำให้สุดสิ้นด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ ไม่มีในที่นั้น สุขทุกข์ ที่ทำให้มีที่สิ้นสุดได้เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนาน ย่อมไม่มีในสงสาร ด้วยอาการอย่างนี้เลย ไม่มีความเสื่อมความเจริญ ไม่มีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลง พาลและ บัณฑิต เร่ร่อนท่องเที่ยวไป จักทำที่สุดทุกข์ได้เอง เหมือนกลุ่มด้าย ที่บุคคลขว้างไป ย่อมคลี่หมดไปเอง ฉะนั้น ดังนี้

           ถ้าคำของท่านศาสดานี้เป็นคำจริง กรรมในลัทธินี้ ที่เราไม่ได้ทำเลยเป็นอัน ทำแล้ว พรหมจรรย์ในลัทธินี้ ที่เรามิได้อยู่เลยเป็นอันอยู่แล้ว แม้เราทั้งสองคือเราผู้มิได้ กล่าวว่า เราทั้งสองเร่ร่อน ท่องเที่ยวไปแล้ว จักทำที่สุดทุกข์ได้ก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้เสมอๆ กันถึงความเป็นผู้เสมอกันในลัทธินี้ ที่ยิ่งกว่ากันก็คือความที่ท่านศาสดานี้ เป็นผู้ประพฤติ เปลือยกาย เป็นคนศีรษะโล้น ทำความเพียรในการเดินกระโหย่ง ถอนผมและหนวด เมื่อเราอยู่ครองเรือน นอนเบียดกับบุตร ประพรมแก่นจันทน์เมืองกาสี ทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ยินดีทองและเงินอยู่ ก็จักเป็นผู้มีคติเสมอๆ กันกับท่าน ศาสดา นี้ ในภพหน้าได้ เรานั้นรู้อะไรเห็นอะไรอยู่ จึงจักประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานี้ วิญญูชนนั้น ครั้นรู้ว่า ลัทธินี้ไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ได้ดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายหลีกไป จากพรหมจรรย์นั้น.

           ดูกรสันทกะ ลัทธิอันไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ที่วิญญูชน ไม่พึง อยู่ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็ยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จ ไม่ได้ เป็นประการที่สี่นี้แล อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ตรัสไว้แล้ว

           ดูกรสันทกะ ลัทธิสมัย อันไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ ก็ยังกุศลธรรมเครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ สี่ประการนี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วย พระองค์เอง โดยชอบพระองค์นั้น ตรัสไว้แล้ว

           [๓๐๓] ส. ท่านพระอานนท์ ข้อที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ตรัสลัทธิอันไม่เป็นโอกาส ที่จะอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ สี่ประการ ที่วิญญูชนไม่พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยัง กุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จไม่ได้นี้ น่าอัศจรรย์ ท่านพระอานนท์ ไม่เคยมี. ท่านพระอานนท์ก็พรหมจรรย์ อันเว้นความยินดีสี่ประการ ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จ ไม่ได้ เหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบพระองค์นั้น ตรัสไว้แล้ว เป็นไฉน?

           [๓๐๔] ดูกรสันทกะ ศาสดาบางคนในโลกนี้ ตั้งตนเป็นสัพพัญญู รู้เห็นธรรม ทั้งปวง ปฏิญาณความรู้ความเห็น อันไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดีตื่นอยู่ก็ดี ความรู้ความเห็นปรากฏเสมอเป็นนิจ. ศาสดานั้นเข้าไปเรือนว่าง บ้าง ไม่ได้ก้อนข้าวบ้าง สุนัขกัดเอาบ้าง พบม้าดุบ้าง พบโคดุบ้าง ถามถึงชื่อบ้าง โคตรบ้าง ของหญิงบ้างของชายบ้าง ถามถึงชื่อบ้าง หนทางบ้าง ของบ้านบ้าง ของนิคมบ้าง.

           เมื่อถูกถามว่านี่อะไรก็ตอบเขาว่า เราเข้าไปยังเรือนว่า งด้วยกิจที่เราจำต้อง เข้าไป เราไม่ได้ก้อนข้าว ด้วยเหตุที่เราไม่ควรได้ เราเป็นผู้ถูกสุนัขกัด ด้วยเหตุที่ควร ถูกกัด เราพบช้างดุด้วยเหตุที่ควรพบ เราถามถึงชื่อบ้าง โคตรบ้าง ของหญิงบ้าง ของชายบ้าง ด้วยเหตุที่ควรถาม เราถามถึงชื่อบ้าง ทางบ้างของบ้านบ้าง ของนิคมบ้าง ด้วยเหตุที่ควรถาม.

           ดูกรสันทกะ ในพรหมจรรย์ ของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมทราบตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดาซึ่งตั้งตัวเป็นสัพพัญญู รู้เห็นธรรมทั้งปวง ปฏิญาณความรู้ความเห็น อันไม่มี ส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดีตื่นอยู่ก็ดี ความรู้ความเห็น ปรากฏ เสมอเป็นนิจ ศาสดานั้นเข้าไปยังเรือนว่างบ้าง ไม่ได้ก้อนข้าวบ้าง สุนัขกัดบ้าง พบช้างดุบ้าง พบม้าดุบ้าง พบโคดุบ้าง ถามชื่อบ้าง โคตรบ้าง ของหญิงบ้าง ของชาย บ้าง ถามถึงชื่อบ้าง หนทางบ้าง ของบ้านบ้าง ของนิคมบ้าง.

           ศาสดานั้นเมื่อถูกถามว่า นี่อะไร ก็ตอบเขาว่า เราเข้าไปยังเรือนว่าง ด้วยกิจ ที่เรา จำต้องเข้าไป เราไม่ได้ก้อนข้าวด้วยเหตุที่เราไม่ควรได้ เราเป็นผู้ถูกสุนัขกัด ด้วยเหตุที่ควรถูกกัด เราพบช้างดุด้วยเหตุ ที่ควรพบเราพบม้าดุ ด้วยเหตุที่ควรพบ เราพบโคดุด้วยเหตุที่ควรพบ เราถามถึงชื่อบ้าง โคตรบ้าง ของหญิงบ้าง ของชายบ้าง ด้วยเหตุที่ควรถาม เราถามถึงชื่อบ้าง หนทางบ้าง ของบ้านบ้างของนิคมบ้าง ด้วยเหต ุที่ควรถาม ดังนี้ วิญญูชนครั้นรู้ว่า พรหมจรรย์นี้ เว้นจากความยินดีดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่าย หลีกไปเสียจากพรหมจรรย์นั้น.

           ดูกรสันทกะ พรหมจรรย์อันเว้นจากความยินดี ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จไม่ได้ ประการที่หนึ่งนี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบพระองค์นั้น ตรัสไว้แล้ว
.......................................................................................................................

           [๓๐๕] ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เชื่อถือ การฟังตามกัน เป็นผู้เชื่อว่าจริงด้วยการฟังตามกัน ศาสดานั้นจึงแสดงธรรม โดยฟัง ตามกัน โดยสืบๆ กันมาว่าอย่างนั้นๆ โดยอ้างตำรา.

           ดูกรสันทกะ ก็เมื่อศาสดาเชื่อถือ การฟังตามกันเชื่อว่าจริง ด้วยการฟัง ตามกัน แล้ว ย่อมมีการฟังดีบ้าง มีการฟังชั่วบ้าง เป็นอย่างนั้นบ้างเป็นอย่างอื่นบ้าง.

           ดูกรสันทกะ ในพรหมจรรย์ของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมทราบตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดานี้ เป็นผู้เชื่อถือการฟังตามกัน เชื่อว่าจริงด้วยการฟังตามกัน. ท่านศาสดา ผู้นั้น แสดงธรรมโดยการฟังตามกัน โดยสืบๆ กันมาว่าอย่างนั้นๆ โดยอ้างตำรา. ก็เมื่อ ศาสดาเชื่อถือ การฟังตามกัน เชื่อว่าจริงด้วยการฟังตามกันแล้ว ย่อมมีการฟังดีบ้าง การฟังชั่วบ้างเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง. วิญญูชนนั้น ครั้นรู้ว่าพรหมจรรย์นี้ เว้นจากความยินดีดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่าย หลีกไปเสียจากพรหมจรรย์นั้น.

           ดูกรสันทกะ พรหมจรรย์ อันเว้นจากความยินดีที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จไม่ได้ ประการที่สองนี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโ ดยชอบพระองค์นั้น ตรัสไว้แล้ว
.......................................................................................................................

           [๓๐๖] ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ใช้ความตรึก เป็นผู้ใช้ความพิจารณา. ศาสดานั้น จึงแสดงธรรมตามปฏิภาณของตน เทียบเหตุตาม ความที่ตน ตรึกคล้อยตามความที่ตนพิจารณา

           ดูกรสันทกะ ก็เมื่อศาสดาใช้ความตรึก ใช้ความพิจารณาแล้ว ก็ย่อมมีความตรึก ดีบ้าง ความตรึกชั่วบ้าง เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง.

           ดูกรสันทกะในพรหมจรรย์ ของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมทราบตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดาจารย์นี้ เป็นผู้ใช้ความตรึก เป็นผู้ใช้ความพิจารณา. ท่านศาสดาจารย์นั้น ย่อมแสดงธรรมตามปฏิภาณของตน เทียบเหตุตามความที่ตนตรึก คล้อยตามความที่ตน พิจารณา. ก็เมื่อศาสดาเป็นผู้ใช้ความตรึก ใช้ความพิจารณาแล้ว ก็ย่อมมีความตรึกดีบ้าง ความตรึกชั่วบ้าง เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง.วิญญูชนนั้น ครั้นรู้ว่าพรหมจรรย์นี้ เว้นจากความยินดีดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายหลีกไปเสียจากพรหมจรรย์นั้น.

           ดูกรสันทกะ พรหมจรรย์ อันเว้นจากความยินดีที่วิญญูชน ไม่พึงประพฤติ พรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ ประการที่สามนี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบพระองค์นั้นตรัสไว้แล้ว

           [๓๐๗] ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นคนเขลางมงา ยเพราะเป็นคนเขลา. เพราะเป็นคนงมงาย ศาสดานั้น เมื่อถูกถามปัญหาอย่างนั้นๆ ย่อมถึงความส่ายวาจา คือตอบดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ดังนี้.

           ดูกรสันทกะ ในพรหมจรรย์ของศาสดานั้น วิญญูชนย่อมทราบตระหนักดังนี้ว่า ท่านศาสดานี้ เป็นคนเขลางมงาย เพราะเป็นคนเขลา เพราะเป็นคนงมงาย. ศาสดานั้น เมื่อถูกถามปัญหาอย่างนั้นๆ ย่อมถึงความส่ายวาจา คือตอบดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ ไม่ใช่ ก็มิใช่ ดังนี้. วิญญูชนนั้น ครั้นรู้ว่าพรหมจรรย์นี้ เว้นจากความยินดีดังนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่าย หลีกไปเสียจากพรหมจรรย์นั้น.

           ดูกรสันทกะ พรหมจรรย์ อันเว้นจากความยินดี ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ ก็ยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ ประการที่สี่นี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบพระองค์นั้น ตรัสไว้แล้ว.

           ดูกรสันทกะ พรหมจรรย์ อันเว้นจากความยินดี ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ ให้สำเร็จไม่ได้ สี่ประการนี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์ เองโดยชอบพระองค์นั้น ตรัสไว้แล้ว

           [๓๐๘] ท่านพระอานนท์ ข้อที่พรหมจรรย์ อันเว้นจากความยินดี สี่ประการ นั้นแหละ อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ พระองค์นั้นตรัสว่าเป็นพรหมจรรย์ เว้นจากความยินดี ที่วิญญูชน ไม่พึงอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์เลย ถึงเมื่ออยู่ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกจากทุกข์ให้สำเร็จไม่ได้นี้ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี. ท่านพระอานนท์ ก็ศาสดานั้นมีปกติกล่าวอย่างไร บอกอย่างไร ในพรหมจรรย์ที่วิญญูชน พึงอยู่โดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็ยังกุศลธรรม เครื่องออกไป จากทุกข์ให้สำเร็จได้

4
พรหมจรรย์ที่ควรประพฤติ

           [๓๐๙] ดูกรสันทกะ พระตถาคต เสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน แล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญา อันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอน หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามใน เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง พยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง (คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี) หรือผู้เกิดเฉพาะ ในตระกูลใด ตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น

           ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เขาประกอบด้วย การได้ศรัทธานั้น ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชา เป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต

           สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติ น้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผม และ หนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วเป็นผู้ถึงพร้อม ด้วย สิกขา และสาชีพของภิกษุทั้งหลาย

            ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาสตราแล้ว มีความ ละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

           ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของ ที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาด ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล

           เว้นจากเมถุน อันเป็นกิจของชาวบ้าน

            ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่ความจริง ดำรงสัตย์ พูดเป็น หลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก
            ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้ว ไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้น แตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้ว บ้างส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คน พร้อมเพรียงกัน
            ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ
            ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิง อรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนด ประกอบด้วย ประโยชน์โดยกาลอันควร

           เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล เว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้อง การประโคมดนตรี และ ดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล เว้นขาดจากการทัด ทรงประดับและตกแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว

           เว้นขาดจากการนั่งนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจาก การรับทอง และเงิน เว้นขาดจาก การรับธัญญาชาติดิบ เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ เว้นขาดจากการ รับสตรี และกุมารีเว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ

           เว้นขาดจากการรับไก่ และสุกร เว้นขาดจากการรับช้าง วัว ม้า และ ลา เว้นขาด จากการรับไร่นา และที่ดิน เว้นขาดจากการประกอบ ทูตกรรม และการรับใช้ เว้นขาด จากการ ซื้อ และการขาย เว้นขาดจากการฉ้อโกง ด้วยตาชั่งการโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง

           เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้นและกรรโชกเธอ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวร เป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีก ของตัวเอง เป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เป็นผู้สันโดษ ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหาร กาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง

           เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิตไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรม อันลามก คือ อภิชฌา และโทมนัสครอบงำ ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ เธอฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมมารมณ์ด้วยใจ แล้วไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ

           เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้ อกุศลธรรม อันลามก คืออภิชฌาและโทมนัส ครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวม ในจักขุนทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวร อันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุข อันบริสุทธิ์ ไม่ระคนด้วยกิเลสเฉพาะตน

           เธอย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ ย่อมทำความ รู้สึกตัว ในการแล ในการเหลียวย่อมทำความรู้สึกตัว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการทรงสังฆาฏิบาตร และจีวร ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ย่อมทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ย่อมทำ ความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง

           ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็น อริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขาถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า

           เธอละความโลภในโลก มีใจปราศจากความโลภอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความโลภ ละความประทุษร้าย คือ พยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความประทุษร้าย คือ พยาบาท ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมาย อยู่ที่ แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์จาก อุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัย ในกุศลธรรม ทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์ จากวิจิกิจฉา)

           ภิกษุนั้น ครั้นละนิวรณ์ทั้งห้าเหล่านี้ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทำปัญญา ให้ถอยกำลังแล้ว เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษ อันโอฬาร เห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชนพึง อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในศาสดานั้น โดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้

           ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติ และสุข เกิดแต่สมาธิอยู่. ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุ คุณวิเศษอันโอหาร เห็นปานนั้น ในศาสดาใด วิญญูชนพึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานั้นส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้

           ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข. ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชนพึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานั้น โดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปทุกข์ให้สำเร็จได้

           ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะ ละทุกข์ ละสุข และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขา เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่. ดูกรสันทกะก็สาวก ย่อมบรรลุคุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชน พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานั้น โดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยังกุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้

5
วิชชา ๓

           [๓๑๐] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก อุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ.

          (1) เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบ ชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัป เป็นอันมากบ้าง

           ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหาร อย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
            ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
            ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้ เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้

           ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชน พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานั้นโดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยัง กุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้

           ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อจุติ และ อุปบัติ ของสัตว์ทั้งหลาย.

           (2) เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยะเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ส่วนสัตว์เหล่านั้นประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วย อำนาจ สัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติ โลก สวรรค์ดังนี้

           เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้.

            ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุ คุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชน พึงอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานั้น โดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยัง กุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้

           ดูกรสันทกะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มี กิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อ (3)  อาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธนี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

           เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จาก อวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

           ดูกรสันทกะ ก็สาวกย่อมบรรลุคุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้ ในศาสดาใด วิญญูชน พึงอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์ ในศาสดานั้นโดยส่วนเดียว และเมื่ออยู่ ก็พึงยัง กุศลธรรม เครื่องออกไปจากทุกข์ให้สำเร็จได้.

6
พระขีณาสพไม่ล่วงฐานะ ๕

           [๓๑๑] ท่านพระอานนท์ ก็ภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ในภพ สิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นยังบริโภคกามทั้งหลายหรือ?

           ดูกรสันทกะ ภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่พรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลสเครื่องประกอบ สัตว์ ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ

           ภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่สามารถประพฤติล่วงฐานะทั้งห้า คือ ภิกษุขีณาสพ
๑) เป็นผู้ไม่สามารถ แกล้งปลงสัตว์ จากชีวิต ๑
๒) เป็นผู้ไม่สามารถถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของ ไม่ได้ให้ อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย
๓) เป็นผู้ไม่สามารถเสพเมถุนธรรม
๔) เป็นผู้ไม่สามารถกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่
๕) เป็นผู้ไม่สามารถทำการสั่งสม บริโภคกามทั้งหลาย เหมือนเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ในกาลก่อน

           ดูกรสันทกะ ภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตน อันถึงแล้วมีกิเลส เครื่องประกอบ สัตว์ ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่สามารถ ประพฤต วงฐาน ะทั้งห้าเหล่านี้

7
รู้ว่าเราหมดอาสวะได้อย่างไร

           [๓๑๒] ท่านพระอานนท์ ก็ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลส เครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ เมื่อภิกษุนั้นเดินไป อยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี ความรู้ความเห็นว่า อาสวะทั้งหลาย ของเราสิ้นแล้ว ดังนี้ ปรากฏเสมอเป็นนิจหรือ?

           ดูกรสันทกะ ถ้าเช่นนั้น เราจักทำอุปมาแก่ท่าน วิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมรู้ทั่วถึงอรรถแห่งภาษิต ได้ด้วยอุปมา เปรียบเหมือนมือและเท้า ของบุรุษขาดไป เมื่อบุรุษนั้นเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี มือและเท้าก็เป็น อันขาด อยู่เสมอเป็นนิจนั่นเอง

           อนึ่ง เมื่อเขาพิจารณาย่อมรู้ได้ว่า มือและเท้าของเราขาดแล้ว ดังนี้ฉันใด ภิกษุ ก็ฉันนั้น เป็นพระอรหันต์ ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระ อันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันถึงแล้ว มีกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพ สิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ เมื่อเธอเดินไปอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี อาสวะทั้งหลาย ก็เป็นอันสิ้นไปเสมอเป็นนิจนั่นเอง อนึ่ง เมื่อเธอพิจารณา ย่อมรู้ได้ว่า อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้ว

           [๓๑๓] ท่านพระอานนท์ ก็ในธรรมวินัยนี้ มีภิกษุผู้นำ (ตน) ออกไปจากกิเลส และกองทุกข์มากเพียงไร?

           ดูกรสันทกะ ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุผู้นำ (ตน) ออกไปได้จากกิเลส และกองทุกข์ นั้น มีไม่ใช่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย ไม่ใช่สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย ความจริง มีอยู่มากทีเดียว

           ท่านพระอานนท์ น่าอัศจรรย์ ท่านพระอานนท์ ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้มีการ ยกย่อง แต่ธรรมของตน และมีคำติเตียนธรรมของผู้อื่น มีแต่การแสดงธรรม ตามเหตุ เท่านั้น แต่ก็ปรากฏว่า มีผู้นำ (ตน) ออกไปจากกิเลส และกองทุกข์ ได้มากมาย ถึงเพียงนั้น

            ส่วนอาชีวกเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นบุตรของมารดา ผู้มีบุตรตายแล้ว ยกย่องแต่ตน และติเตียนคนอื่นเท่านั้น ทั้งตั้งศาสดาไว้สามคน คือ นันทวัจฉะ ๑ กิสสังกิจจะ ๑ มักขลิโคสาล ๑ ว่าเป็นผู้นำ (ตน) ออกจากกิเลส และกองทุกข์ได้

8
สันทกปริพาชกส่งบริษัทของตนไปบวชในสำนักพระพุทธเจ้า

            ลำดับนั้น สันทกปริพาชก เรียกบริษัทของตนมาว่า พ่อผู้เจริญทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์เถิด การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระสมณโคดมย่อมมีผล แต่ว่าบัดนี้เราทั้งหลาย สละลาภสักการะ ความสรรเสริญเสียนั้น ไม่ใช่ทำได้ง่าย

           สันทกปริพาชก ส่งบริษัทของตนไปในการประพฤติพรหมจรรย์ (ส่งไปบวช) ในพระผู้มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้แล

จบ สันทกสูตรที่ ๖

 

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์