1)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘๐-๑๑๗
๓. อัมพัฏฐสูตร
[๑๔๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ประมาณ๕๐๐ รูป บรรลุถึงพราหมณคาม แห่งชาวโกศล ชื่ออิจฉานังคลคาม. ได้ยินว่า สมัยนั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน เขตอิจฉานังคลคาม
[๑๔๒] ก็สมัยนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ อยู่ครองนคร อุกกัฏฐะ ซึ่งคับคั่งด้วย ประชาชน และหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติ อันพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทานปูนบำเหน็จ ให้เป็นส่วนพรหมไทย
พราหมณ์โปกขรสาติ ได้สดับข่าวว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจาก ศากยสกุล แล้วเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงอิจฉานังคลคามโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน เขต อิจฉานังคลคาม ก็กิตติศัพท์อันงาม ของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้ว อย่างนี้ว่า
แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อม ด้วยวิชช าและจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่น ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนก พระธรรม พระตถาคต พระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตามพระองค์ ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามใน ท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล
2)
เรื่องอัมพัฏฐมาณพ
[๑๔๓] สมัยนั้นแล อัมพัฏฐมาณพ ศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ เป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำ มนต์ รู้จบไตรเพท พร้อมทั้ง คัมภีร์นิฆัณฑุ ๑- คัมภีร์เกตุภะ ๒- พร้อมทั้งประเภท อักษร มี คัมภีร์อิติหาสเป็นที่ ๕ ๓- เป็นผู้เข้าใจตัวบท เป็นผู้เข้าใจ ไวยากรณ์ ชำนาญใน คัมภีร์โลกายตะ ๔- และมหาปุริสลักษณะ อันอาจารย์ยกย่อง และรับรอง ในลัทธิปาพจน์ คือ ไตรวิทยา อันเป็นของอาจารย์ของตนว่า ฉันรู้สิ่งใด เธอรู้สิ่งนั้น เธอรู้สิ่งใด ฉันรู้สิ่งนั้น
๑. เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยชื่อของสิ่งต่างๆ มีต้นไม้เป็นต้น
๒. เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยกิริยา เป็นประโยชน์แก่กวี
๓. เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงพงศาวดาร มีภารตยุทธเป็นต้น ซึ่งประพันธ์ไว้แต่บุราณกาล นับเป็นคัมภีร์ที่ ๕ คือนับ
คัมภีร์อิรุพเพทเป็นที่ ๑ คัมภีร์ยชุพเพทเป็นที่ ๒ คัมภีร์สามเพทเป็นที่ ๓ คัมภีร์อาถรรพณเพทเป็นที่
คัมภีร์อิติหาสนี้เป็นที่ ๕
๔. เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยเรื่องไม่น่าเชื่อต่างๆ
ครั้งนั้นแล พราหมณ์โปกขรสาติ เรียกอัมพัฏฐมาณพมาเล่าว่า พ่ออัมพัฏฐะ พระสมณโคดม ศากยบุตร พระองค์นี้ ทรงผนวชจากศากยสกุล แล้วเสด็จจาริกไป ในโกศลชนบท พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงอิจฉานังคลคาม โดยลำดับ ประทับอยู่ ณ ราวป่าอิจฉานังคลวัน ใกล้อิจฉานังคลคาม ก็กิตติศัพท์อันงาม ของท่านพระโคดม พระองค์นั้นแล ขจรไปอย่างนี้ว่า
แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อม ด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่น ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอน หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามใน ท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล.
พ่ออัมพัฏฐะ พ่อจงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม ถึงที่ประทับ แล้วจงรู้ว่ากิตติศัพท์ ของท่าน พระโคดม พระองค์นั้น ที่ขจรไป จริงตามนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ทรงคุณเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราทั้งหลาย จะได้รู้จักท่านพระโคดมพระองค์นั้นไว้ โดยประการนั้น.
อัมพัฏฐมาณพถามว่า ท่าน ก็ไฉนเล่า ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่ากิตติศัพท์ ของท่าน พระโคดม พระองค์ นั้นที่ขจรไป จริงอย่างนั้นหรือไม่ ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ทรงคุณ เช่นนั้น จริงหรือไม่?
พราหมณ์โปกขรสาติตอบว่าพ่ออัมพัฏฐะ มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มาแล้ว ในมนต์ ของเรา ซึ่งพระมหาบุรุษประกอบแล้ว ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าครองเรือน จะได้เป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชา โดยธรรม เป็นใหญ่ ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักร มั่นคง สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้วช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์ มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรง สมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยี เสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้ อาชญามิต้องใช้ศาตรา ครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็น บรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้ว ในโลก
พ่ออัมพัฏฐะ เราเป็นผู้สอนมนต์ พ่อเป็นผู้เรียนมนต์.
อัมพัฏฐมาณพ รับคำพราหมณ์โปกขรสาติแล้ว ลุกจากที่นั่ง ไหว้พราหมณ์ โปกขรสาติ กระทำประทักษิณ แล้วขึ้นรถม้า พร้อมด้วยมาณพหลายคน ขับตรงไปยั งราวป่า อิจฉานังคลวัน ตลอดภูมิประเทศเท่าที่รถจะไปได้ ลงจากรถเดินตรงไปยัง พระอาราม.
[๑๔๔] สมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปกำลังจงกรมอยู่กลางแจ้ง.
ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพ เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น ถึงที่จงกรม ครั้นแล้ว ได้กล่าวคำนี้ กะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ เวลานี้ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน พวกข้าพเจ้า พากันเข้ามาที่นี่ เพื่อจะเฝ้าพระองค์ท่าน.
ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น คิดเห็นร่วมกันเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพผู้นี้ เป็นคนเกิด ในสกุลที่มีชื่อเสียง ทั้งเป็นศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ ผู้มีชื่อเสียงอันการสนทนา ปราศรัย กับพวก กุลบุตร เห็นปานนี้ ย่อมไม่เป็นการหนักพระทัยแก่พระผู้มีพระภาคเลย ดังนี้แล้วจึงตอบอัมพัฏฐมาณพ ว่า อัมพัฏฐะ นั่นพระวิหารมีประตูปิดอยู่ ท่านจงสงบเสียง เข้าไป ทางพระวิหารนั้น ค่อยๆ เข้าไปที่เฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะบานประตูเถิด พระผู้มีพระภาค จักทรงเปิดประตูรับท่าน.
ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพ สงบเสียง เข้าไปทางพระวิหาร ซึ่งมีประตูปิดอยู่นั้น ค่อยๆเข้าไปยังเฉลียง กระแอมไอแล้ว เคาะบานประตู พระผู้มีพระภาคทรงเปิดประตู อัมพัฏฐมาณพ เข้าไปแล้ว แม้พวกมาณพก็พากันเข้าไปปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๑๔๕] ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพ เดินปราศรัยบ้าง ยืนปราศรัยบ้าง กับพระผู้มีพระภาค ผู้ประทับนั่ง อยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า อัมพัฏฐะ เธอเคยสนทนาปราศรัยกับพวก พราหมณ์ ผู้เฒ่า ผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์เหมือนดังเธอ เดินบ้าง ยืนบ้าง สนทนา ปราศรัยกับ เราผู้นั่งอยู่ เช่นนี้หรือ?
อ. ข้อนี้หามิได้ พระโคดมผู้เจริญ เพราะว่าพราหมณ์ ผู้เดินก็ควรเจรจา กับ พราหมณ์ผู้เดิน พราหมณ์ผู้ยืน ก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้ยืน พราหมณ์ผู้นั่ง ก็ควรเจรจา กับพราหมณ์ ผู้นั่งพราหมณ์ผู้นอนก็ควรเจรจากับพราหมณ์ผู้นอน.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แต่ผู้ใดเป็นสมณะโล้น เป็นคฤหบดีเชื้อสายกัณหโคตร เกิดจากพระบาท ของท้าวมหาพรหม ข้าพเจ้าย่อมสนทนาปราศรัยกับผู้นั้น เหมือนกับที่ สนทนา ปราศรัยกับพระโคดมผู้เจริญนี้.
อัมพัฏฐะ ก็เธอมีธุระจึงได้มาที่นี้ ก็พวกเธอมาเพื่อประโยชน์อันใดแล พึงใส่ใจ ถึงประโยชน์นั้นแหละไว้ให้ดี ก็อัมพัฏฐมาณพ ยังไม่ได้รับการศึกษาเลย สำคัญตัวว่า ได้รับการศึกษา ดีแล้ว จะมีอะไรอีกเล่า นอกจากไม่ได้รับการศึกษา.
ลำดับนั้น อัมพัฏฐมาณพ ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสตำหนิด้วยพระวาจาว่า เป็นคน ไม่ได้รับการศึกษา โกรธ ขัดใจ เมื่อจะด่าข่มว่ากล่าวพระผู้มีพระภาค คิดว่าเรา จักต้องให้พระสมณโคดม ได้รับความเสียหาย ได้กล่าวคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
ท่านโคดม พวกชาติศากยะดุร้าย หยาบช้า มีใจเบา พูดพล่าม เป็นแต่พวก คฤหบดีแท้ๆ ยังไม่สักการะพวกพราหมณ์ ไม่เคารพพวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวก พราหมณ์ ไม่บูชา พวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวกพราหมณ์
ท่านโคดม การที่พวกศากยะ เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะ พวกพราหมณ์ ไม่เคารพ พวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อม พวกพราหมณ์นี้ ไม่เหมาะ ไม่สมควรเลย
อัมพัฏฐมาณพ กดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งแรก ด้วยประการฉะนี้
[๑๔๖] อัมพัฏฐะ ก็พวกศากยะได้ทำผิดต่อเธออย่างไร?
ท่านโคดม ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปยังนครกบิลพัสดุ์ ด้วยกรณียกิจบางอย่าง ของพราหม์ โปกขรสาติ ผู้อาจารย์ ได้เดินเข้าไปยังสัณฐาคารของพวกศากยะ เวลานั้น พวกศากยะ และศากยกุมารมากด้วยกัน นั่งเหนืออาสนะสูงๆ ในสัณฐาคารเอานิ้วมือ สะกิดกันและกัน เฮฮาอยู่ เห็นทีจะหัวเราะเยาะข้าพเจ้าเป็นแน่ ไม่มีใครเชื้อเชิญให้ ข้าพเจ้า นั่งเลย.
ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะ เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวก พราหมณ์ ไม่เคารพ พวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมพวก พราหมณ์นี้ ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.
อัมพัฏฐมาณพ กดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งที่สอง ด้วยประการ ฉะนี้.
[๑๔๗] อัมพัฏฐะ แม้นางนกไส้ ก็ยังเป็นสัตว์พูดได้ตามความปรารถนา ในรังของตน ก็พระนครกบิลพัสดุ์ เป็นถิ่นของพวกศากยะ อัมพัฏฐะไม่ควรจะข้องใจ เพราะการหัวเราะ เยาะ เพียงเล็กน้อยนี้เลย.
ท่านโคดม วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ เวสส์ ศูทร บรรดาวรรณะ ๔ เหล่านี้ ๓ วรรณะ คือ กษัตริย์ เวสส์ ศูทร เป็นคนบำเรอของพราหมณ์พวกเดียวโดยแท้.
ท่านโคดม ข้อที่พวกศากยะ เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ แต่ไม่สักการะพวก พราหมณ์ ไม่เคารพ พวกพราหมณ์ ไม่นับถือพวกพราหมณ์ ไม่บูชาพวกพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อม พวกพราหมณ์นี้ ไม่เหมาะไม่สมควรเลย.
อัมพัฏฐมาณพ กดพวกศากยะว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ นี้เป็นครั้งที่สาม ด้วยประการ
ฉะนี้.
[๑๔๘] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงพระดำริเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพ ผู้นี้ กล่าวเหยียบย่ำพวกศากยะอย่างหนัก โดยเรียกว่า เป็นแต่พวกคฤหบดีแท้ๆ ถ้ากระไร เราจะพึงถาม ถึงโคตร เธอ ดูบ้าง
แล้วพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ กับ อัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอมีโคตรว่าอย่างไร?
กัณหายนโคตร ท่านโคดม.
อัมพัฏฐะ ก็เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่ อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะ เป็นลูกเจ้าเธอ เป็นลูกนางทาสี ของพวกศากยะ ก็พวกศากยะเขา พากันอ้างถึงพระเจ้า อุกกากราช ว่าเป็น บรรพบุรุษ.
3)
ว่าด้วยศากยวงศ์
[๑๔๙] อัมพัฏฐะ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าอุกกากราช ทรงพระประสงค์ จะพระราชทาน สมบัติ ให้แก่พระโอรส ของพระมเหสี ผู้ที่ทรงรักใคร่โปรดปราน จึงทรง รับสั่งให้ พระเชฏฐกุมาร คือพระอุกกามุขราชกุมาร พระกรกัณฑุราชกุมาร พระหัตถินีก ราชกุมาร และพระสีนิปุระราชกุมารออกจากพระราชอาณาเขต พระกุมารเหล่านั้น เสด็จออกจาก พระราชอาณาเขตแล้ว จึงไปตั้งสำนักอาศัยอยู่ ณ ราวป่าไม้สากะใหญ่ ริมฝั่ง สระโปกขรณี ข้างภูเขาหิมพานต์ พระราชกุมารเหล่านั้นทรงสำเร็จการอยู่ร่วม กับ พวกพระภคินี ของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน.
อัมพัฏฐะ ต่อมาพระเจ้าอุกกากราช ตรัสถามหมู่อำมาตย์ราชบริษัทว่า บัดนี้ พวกกุมาร อยู่กัน ณ ที่ไหน?.
พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ขอเดชะ มีราวป่าไม้สากะใหญ่ อยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี ข้างภูเขา หิมพานต์ บัดนี้ พระราชกุมารทั้งหลายอยู่ ณ ที่นั้น พระราชกุมารเหล่านั้น ทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกับพวกพระภคินีของพระองค์เอง เพราะกลัวพระชาติจะระคนปนกัน
อัมพัฏฐะ ทีนั้นพระเจ้าอุกกากราช ทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านทั้งหลาย พวกกุมาร สามารถ หนอ พวกกุมารสามารถยอดเยี่ยมหนอ.
อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่าศากยะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้น เป็นต้นมา และพระเจ้า อุกกาก ราชพระองค์นั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกศากยะ และพระเจ้าอุกกากราชมีนาง ทาสี คนหนึ่ง ชื่อทิสา นางคลอดบุตรคนหนึ่ง ชื่อกัณหะกัณหะ พอเกิดมาก็พูดได้ว่า แม่จงชำระฉัน จงให้ฉันอาบน้ำ แม่จ๋า ขอแม่จงปลดเปลื้องฉันจากสิ่งโสโครกนี้ ฉันเกิดมา เพื่อประโยชน์แก่แม่.
อัมพัฏฐะ มนุษย์สมัยนี้เรียกปีศาจว่า ปีศาจ ฉันใด มนุษย์สมัยนั้นก็ฉันนั้น เรียกปีศาจว่า คนดำ มนุษย์เหล่านั้นจึงกล่าวกันเช่นนี้ว่า ทารกนี้พอเกิดมาก็พูดได้ คนดำเกิดแล้ว ปีศาจเกิดแล้ว.
อัมพัฏฐะ ก็พวกที่ชื่อว่ากัณหายนะ ปรากฏตั้งแต่กาลครั้งนั้น เป็นต้นมา และ กัณหะนั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกกัณหายนะ.
อัมพัฏฐะ เธอระลึกถึงโคตรเก่าแก่ อันเป็นของมารดาบิดาดูเถิด พวกศากยะ เป็นลูกเจ้าเธอ เป็นลูกทาสีของพวกศากยะ ด้วยประการฉะนี้แล.
4)
ว่าด้วยวงศ์ของอัมพัฏฐมาณพ
[๑๕๐] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว มาณพเหล่านั้น ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า พระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์ อย่าทรงเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพด้วย พระวาทะว่าเป็นลูกทาสีให้หนักนักเลย
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพมีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูต เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และเธอสามารถจะโต้ตอบ ในคำนี้กับพระโคดมผู้เจริญได้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะมาณพเหล่านั้นว่า ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพ มีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล มีสุตะน้อย เจรจาไม่ไพเราะ มีปัญญาทราม และไม่สามารถจะโต้ตอบในคำนี้ กับพระสมณโคดมได้ อัมพัฏฐมาณพ จงหยุดเสียเถิด พวกเธอจงโต้ตอบกับเราในคำนี้
ก็ถ้าพวกเธอคิดเช่นนี้ว่า อัมพัฏฐมาณพ มีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้ กับพระสมณโคดมได้ พวกเธอ จงหยุดเสียเถิด อัมพัฏฐมาณพ จงโต้ตอบกับเราในคำนี้.
มาณพเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพ มีชาติดี เป็นบุตรผู้มีสกุล เป็นพหูสูตร เจรจาไพเราะ เป็นบัณฑิต และสามารถจะโต้ตอบในคำนี้ กับพระโคดมได้ พวกข้าพเจ้าจักนิ่งละ อัมพัฏฐมาณพ จงโต้ตอบ กับพระโคดม ในคำนี้เถิด
[๑๕๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ ปัญหา ประกอบด้วย เหตุนี้แล มาถึงเธอเข้าแล้ว ถึงแม้จะไม่ปรารถนา เธอก็ต้องแก้ ถ้าเธอ จักไม่แก้ก็ดี จักกลบเกลื่อนด้วยคำอื่นเสียก็ดี จักนิ่งเสียก็ดี หรือจักหลีกไปเสียก็ดี ศีรษะของเธอจักแตก เป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้แหละ
อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็น อาจารย์และปาจารย์ เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะ เกิดมาจากใครก่อน และใครเป็น บรรพบุรุษของพวกกันหายนะ.
เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสเช่นนี้แล้ว อัมพัฏฐมาณพได้นิ่งเสีย
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามอัมพัฏฐมาณพ แม้เป็นครั้งที่สอง ว่า อัมพัฏฐะ เธอจะ สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นอาจารย์และ เป็นปาจารย์ เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะเกิดมาจากใครก่อน และใครเป็น บรรพบุรุษของพวก กัณหายนะ
แม้ครั้งที่สอง อัมพัฏฐมาณพ ก็ได้นิ่งเสีย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสกะอัมพัฏฐมาณพว่า อัมพัฏฐะ เธอจงแก้เดี๋ยวนี้ บัดนี้ไม่ใช่ เวลาของเธอจะนิ่ง อัมพัฏฐะ เพราะผู้ใดถูกตถาคต ถามปัญหาอันประกอบ ด้วยเหตุถึงสามครั้ง แล้วไม่แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี่แหละ.
[๑๕๒] สมัยนั้น ยักษ์วชิรปาณี ถือค้อนเหล็กใหญ่ ลุกโพลงโชติ ช่วงยืนอยู่ใน อากาศ เบื้องบนอัมพัฏฐมาณพ คิดว่า ถ้าอัมพัฏฐมาณพนี้ ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถาม ปัญหา ที่ประกอบด้วยเหตุถึงสามครั้งแล้ว แต่ไม่แก้ เราจักต่อยศีรษะของเขา ให้แตก เป็นเจ็ดเสี่ยง ณ ที่นี้แหละ.
พระผู้มีพระภาค และอัมพัฏฐมาณพเท่านั้น เห็นยักษ์วชิรปาณีนั้น
ครั้งนั้นอัมพัฏฐมาณพ ตกใจกลัวขนพองสยองเกล้า ทูลขอให้พระผู้มีพระภาค นั่นเองเป็นที่ต้านทาน ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคนั่นเองเป็นที่เร้น ทูลขอให้พระผู้มี พระภาคนั่นเอง เป็นที่พึ่งกระเถิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วกราบทูลว่า
พระโคดมผู้เจริญ ได้ตรัสคำอะไรนั่น ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดตรัสอีกครั้งเถิด.
อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ยินพวกพราหมณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็น อาจารย์ และปาจารย์เล่ากันมาว่าอย่างไร พวกกัณหายนะ เกิดมาจากใครก่อน และใครเป็น บรรพบุรุษ ของพวกกัณหายนะ?.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ยินมาเหมือนอย่างที่ พระโคดมผู้เจริญ ตรัส นั่นแหละ พวกกัณหายนะเกิดมาจากกัณหะนั้นก่อน และก็กัณหะนั้นเป็นบรรพบุรุษ ของพวกกัณหายนะ.
[๑๕๓] เมื่ออัมพัฏฐมาณพ กล่าวเช่นนี้แล้ว มาณพเหล่านั้น ส่งเสียงอื้ออึง เกรียวกราว ว่าท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าอัมพัฏฐมาณพ มีชาติทราม มิใช่บุตรผู้มีสกุล เป็นลูกทาสี ของพวก ศากยะ ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่าพวกศากยะ เป็นโอรสของเจ้านาย อัมพัฏฐมาณพ พวกเราไพล่ ไปสำคัญเสียว่าพระสมณโคดม ผู้ธรรมวาทีพระองค์เดียว ควรจะถูกรุกรานเสียได้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริเช่นนี้ว่า มาณพเหล่านี้ พากันเหยียดหยาม อัมพัฏฐมาณพ ด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสีหนักนัก ถ้ากระไร เราพึงช่วยปลดเปลื้องให้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ กะมาณพเหล่านั้นว่า ดูกรมาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยามอัมพัฏฐมาณพ ด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสี ให้หนักนัก เพราะกัณหะนั้น ได้เป็นฤาษีคนสำคัญ เธอไปยังทักษิณาชนบท เรียนมนต์ อันประเสริฐ แล้วเข้าไปเฝ้า พระอุกกากราชทูลขอพระราชธิดาพระนามว่ามัททรูปี พระเจ้าอุกกากราชทรงพระพิโรธ ขัดพระทัยแก่พระฤาษีนั้นว่าบังอาจอย่างนี้เจียวหนอ ฤาษีเป็นลูกทาสีของเราแท้ๆ ยังมาขอธิดาชื่อว่ามัททรูปี แล้วทรงขึ้นพระแสงศร ท้าวเธอไม่อาจจะทรงแผลง และไม่อาจจะทรงลดลง.
[๑๕๔] ดูกรมาณพ ครั้งนั้น หมู่อำมาตย์ราชบริษัท พากันเข้าไปหากัณหฤาษี แล้วได้กล่าว คำ นี้ กะกัณหฤาษีว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสุขสวัสดี จงมีแต่ พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา แต่ว่าท้าวเธอจักทรงแผลง พระแสง ศรลงไปเบื้องต่ำ แผ่นดินจักทรุดตลอด พระราช อาณาเขต อำมาตย์กล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสวัสดี จงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมีแก่ชนบท ฤาษีตอบว่า ความสวัสดี จักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมีแก่ชนบท แต่ถ้าท้าวเธอจั กทรงแผลงพระแสงศร ขึ้นไปเบื้องบนฝน จักไม่ตกทั่วพระราชอาณาเขตถึงเจ็ดปี อำมาตย์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความสวัสดีจงมีแด่พระราชา ขอความสวัสดีจงมี แก่ชนบท ขอฝนจงตกเถิด ฤาษีตอบว่า ความสวัสดีจักมีแด่พระราชา ความสวัสดีจักมี แก่ชนบท ฝนจักตก แต่พระราชาต้องทรงวางพระแสงศรไว้ที่พระราชกุมารพระองค์ใหญ่ ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมารจักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยองดังนี้.
ดูกรมาณพ ลำดับนั้นพระเจ้าอุกกากราช ได้ทรงวางพระแสงศรไว้ ที่พระราช กุมาร พระองค์ ใหญ่ ด้วยทรงพระดำริว่า พระราชกุมาร จักเป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง ดังนี้ ครั้นท้าวเธอ ทรงวางพระแสงศรไว้ ที่พระราชกุมาร พระองค์ใหญ่ แล้ว พระราชกุมาร ก็เป็นผู้มีความสวัสดี หายสยดสยอง พระเจ้าอุกกากราช ทรงกลัว ถูกขู่ ด้วยพรหมทัณฑ์ จึงได้พระราชทานพระนางมัททรูปีราชธิดาแก่ฤาษีนั้น.
ดูกรมาณพ พวกเธออย่าเหยียดหยาม อัมพัฏฐมาณพ ด้วยวาทะว่า เป็นลูกทาสี ให้หนัก นักเลย กัณหะนั้นได้เป็นฤาษีสำคัญแล้ว.
[๑๕๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค รับสั่งกะอัมพัฏฐมาณพว่า ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญ ความ ข้อนั้นเป็นไฉน ขัตติยกุมารในโลกนี้ พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับ นาง พราหมณกัญญา เพราะอาศัยการอยู่ร่วมกัน ของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น บุตรผู้เกิด แต่นางพราหมณ กัญญากับขัตติยกุมารนั้นจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์ บ้างหรือไม่?
ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ จะควรเชิญเขาให้บริโภค ในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยง เพื่อการมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขก บ้างหรือไม่?
ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์จะควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?
ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรจะถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?
เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ได้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.
เพราะเหตุอะไร?
เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ข้างฝ่ายมารดา.
[๑๕๖] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน พราหมณกุมารในโลกนี้ พึงสำเร็จการอยู่ร่วม กับนางขัตติยกัญญา เพราะอาศัย การอยู่ร่วมของคนทั้งสองนั้น พึงเกิดบุตรขึ้น
บุตรผู้เกิดแต่ขัตติยกัญญา กับพราหมณกุมาร จะควรได้ที่นั่ง หรือน้ำ ในหมู่ พราหมณ์บ้าง หรือไม่?
ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์จะควรเชิญเขาให้บริโภค ในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อ การมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยง เพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?
ควรเชิญเขาให้บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขา หรือไม่?
ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลาย หรือไม่?
เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรจะได้รับอภิเษกเป็นกษัตริย์ ได้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ.
เพราะเหตุอะไร?
เพราะเขาไม่บริสุทธิ์ฝ่ายบิดา.
[๑๕๗] ดูกรอัมพัฏฐะ เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวก เดียว ประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความ ข้อนั้น เป็นไฉน พราหมณ์ทั้งหลาย ในโลกนี้ พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจาก แว่นแคว้น หรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่ง หรือ น้ำ ในหมู่ พราหมณ์ บ้าง หรือไม่?
ไม่ควรได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ ควรเชิญเขาให้บริโภค ในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อ การมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?
ไม่ควรเชิญเขา ให้บริโภคเลย พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?
ไม่ควรบอกให้เลย พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรถูกห้าม ในหญิงทั้งหลายหรือไม่?
เขาควรถูกห้ามทีเดียว พระโคดมผู้เจริญ.
[๑๕๘] อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้ พึงปลง เกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้น หรือจาก เมือง เพราะโทษ บางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?
ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ ควรเชิญเขาให้บริโภค ในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อ การมงคล ในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยง เพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?
ควรเชิญให้เขา บริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.
พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?
ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.
เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?
เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ ด้วยกันปลง พระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้น หรือจากเมือง
ดูกรอัมพัฏฐะ แม้ในเมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลวด้วยประการฉะนี้.
สมจริงดังคาถา ที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ ดังนี้คาถาสนังกุมารพรหม
[๑๕๙] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อม ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.
[๑๖๐] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหม ขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิด ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า
[๑๖๑] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อม ด้วยวิชชา และจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.
5)
วิชชาจรณสัมปทา
[๑๖๒] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติ อ้างโคตร หรืออ้างมานะ ว่า ท่านควรแก่เรา หรือ ท่านไม่ควรแก่เรา อาวาหมงคล(พาหญิงเข้าบ้าน) วิวาหมงคล(พาชายเข้าบ้าน) หรือ อาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้าง อ้างโคตรบ้าง หรือ อ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้อง ด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการ อ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยัง เกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้ เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้อง ด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการ อ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วย อาวาหวิวาหมงคล.
[๑๖๓] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า
ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคต เสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อม ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่น ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ จำแนก พระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว
ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะ ในตระกูลใด ตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธา ในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่ง ธุลี บรรพชา เป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไรเราพึงปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต
สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วสำรวมระวัง ในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วย ศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติ สัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
6)
จุลศีล
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?
๑. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง.
๒. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของ ที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๓. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาด จากเมถุน อันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๔. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำ เป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๕. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้ว ไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้น แตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๖. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๗. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจาก คำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิง อรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วย ประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๘. เธอเว้นขาดจาก การพรากพืชคามและภูตคาม.
๙. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.
๑๐. เธอเว้นขาดจาก การฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึก แก่กุศล
๑๑. เธอเว้นขาดจาก การทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอม และ เครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
๑๒. เธอเว้นขาดจาก การนั่งนอนบนที่นั่งที่นอน อันสูงใหญ่.
๑๓. เธอเว้นขาดจาก การรับทองและเงิน.
๑๔. เธอเว้นขาดจาก การรับธัญญาหารดิบ.
๑๕. เธอเว้นขาดจาก การรับเนื้อดิบ.
๑๖. เธอเว้นขาดจาก การรับสตรีและกุมารี.
๑๗. เธอเว้นขาดจาก การรับทาสีและทาส.
๑๘. เธอเว้นขาดจาก การรับแพะและแกะ.
๑๙. เธอเว้นขาดจาก การรับไก่และสุกร.
๒๐. เธอเว้นขาดจาก การรับช้าง โค ม้า และลา.
๒๑. เธอเว้นขาดจาก การรับไร่นาและที่ดิน.
๒๒. เธอเว้นขาดจาก การประกอบทูตกรรมและการรับใช้.
๒๓. เธอเว้นขาดจาก การซื้อการขาย.
๒๔. เธอเว้นขาดจาก การโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่อง ตวงวัด.
๒๕. เธอเว้นขาดจาก การรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง.
๒๖. เธอเว้นขาดจาก การตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิงการปล้น และกรรโชกแม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
จบจุลศีล.
7)
มัชฌิมศีล
๑. ภิกษุเว้นขาดจาก การพรากพืชคาม และภูตคาม เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคาม และภูตคาม เห็นปานนี้คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่ เมล็ด เป็นที่ครบห้าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๒. ภิกษุเว้นขาดจาก การบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่นอย่างที่ สมณ พราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการ บริโภคของ ที่ทำการสะสม ไว้ปานนี้คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสม ที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.
๓. ภิกษุเว้นขาดจาก การดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่นอย่างที่สมณ พราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำ เป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมือง ที่สวยงาม การเล่นของ คนจัณฑาลการเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัด กระบวนทัพ กองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๔. ภิกษุเว้นขาดจาก การขวนขวาย เล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เช่นอย่าง ที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายเล่น การพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุก แถวละแปดตา แถวละ สิบตาเล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง เล่นกำทาย เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเรียนคนพิการ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.
๕. ภิกษุเว้นขาดจาก การนั่งนอน บนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอน บนที่นั่ง ที่นอน อันสูงใหญ่ เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูป สัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตร ด้วยลวดลาย เครื่องลาด ที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตร ด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะ และเสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหม เครื่องลาดไหม ขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน ๑๖ คน เครื่องลาดหลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะ อันมีขนอ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดี ทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาด มีหมอนข้าง แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๖. ภิกษุเว้นขาดจาก การประกอบ การประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่ง การแต่งตัว เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วย ศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เห็นปานนี้ คือ อบตัว ไคลอวัยวะอาบน้ำหอม นวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว ผัดหน้า ทาปากประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม สวมรองเท้า ประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๗. ภิกษุเว้นขาดจาก ติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชน ะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถา เห็นปานนี้ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษเรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ ล่วงลับ ไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญ และความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง.
๘. ภิกษุเว้นขาดจาก การกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวกฉันโภชนะ ที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เห็นปานนี้ เช่นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิดข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำ ของข้าพเจ้า เป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็น ประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะ กล่าว ภายหลัง ท่านกลับ กล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคย ช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้า จับผิดวาทะของท่าน ได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้น จงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.
๙. ภิกษุเว้นขาดจาก การประกอบทูตกรรม และการรับใช้ เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวาย ประกอบทูตกรรม และการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชมหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี และกุมารว่าท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจง นำเอา สิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ในที่โน้นมา ดังนี้แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๑๐. ภิกษุเว้นขาด จากการพูดหลอกลวง และการพูดเลียบเคียง เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูดเลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.
จบมัชฌิมศีล.
8)
มหาศีล
๑. ภิกษุเว้นขาดจาก การเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดย ทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำ บูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรม ด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้านดูลักษณะที่นา เป็นหมอ ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองูเป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมงป่อง เป็นหมอ รักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทาย เสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสก กันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
๒. ภิกษุเว้นขาดจาก การเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดย ทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้าทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง.
๓. ภิกษุเว้นขาดจาก การเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพ โดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจัก ไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอก จักยกเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอก จักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาองค์นี้จักมีชัย พระราชาองค์นี้จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง.
๔. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญ บางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดย ทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่าจักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนัก ษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ จักเดินผิดทาง
ดาวนักษัตร จักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมี ดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และ ดาวนักษัตร จักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผล เป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เดินถูกทาง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทาง จักมีผล เป็นอย่างนี้
ดาวนักษัตรเดินถูกทาง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทาง จักมีผล เป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาต จักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหว จักมีผล เป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรขึ้น จักมีผล เป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมอง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรกระจ่าง จักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง
๕. ภิกษุเว้นขาด จากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วย ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษาหาได้ยากจักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนน คำนวณนับประมวลแต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง
๖. ภิกษุเว้นขาดจาก การเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่าง ที่สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะ ที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพ โดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้น กระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็งร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอ ทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาวเป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวง ท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญแม้ข้อนี้ก็เป็นศีล ของเธอ ประการหนึ่ง.
๗. ภิกษุเว้นขาด จากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพ โดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษ เบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมัน หยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตาทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีล สังวรนั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษก กำจัดราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัย แต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัย แต่ไหนๆเพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้ เสวยสุข อันปราศจาก โทษ ในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อม ด้วยศีล
จบมหาศีล
9)
อินทรียสังวร
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรม อันลามกคืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความ สำรวม ในจักขุนทรีย์ ภิกษุฟังเสียง ด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้นรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถือ อนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้วจะเป็นเหตุ ให้อกุศลธรรม อันลามก คืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วย อินทรียสังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคน ด้วยกิเลส ในภายใน ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าว มานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย.
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบ ด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยวการลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าว มานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.
ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ สันโดษ ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่อง บริหารท้อง เธอจะไปทาง ทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง
ดูกรอัมพัฏฐะ นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัว เป็นภาระ บินไป ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่อง บริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง
ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการ ดังกล่าว มานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.
ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษ อันเป็น อริยะ เช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏที่แจ้ง ลอมฟาง ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติ ไว้เฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความ เพ่งเล็งอยู่
ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้าย คือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือ พยาบาท ได้ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่
ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์ จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายใน อยู่
ย่อมชำระจิต ให้บริสุทธิ์ จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้าม วิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลง ในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก วิจิกิจฉาได้.
10)
ว่าด้วยอุปมานิวรณ์ ๕
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงานของเขา จะพึงสำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไร ของเขา จะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรา กู้หนี้ ไปประกอบการงานบัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ ที่เป็น ต้นทุนเดิม ให้หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงเป็นผู้มีอาพาธ ถึงความลำบาก เจ็บหนัก บริโภค อาหาร ไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภค อาหารได้ และมีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธ ถึง ความลำบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย บัดนี้เราหายจากอาพาธ นั้นแล้ว บริโภคอาหารได้ และมีกำลังกายเป็นปรกติ ดังนี้เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุฉันใด.
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้น จากเรือนจำ นั้น โดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ ว่า เมื่อก่อนเราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดี ไม่มีภัย แล้ว และเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความ โสมนัส มีการพ้นจากเรือนจำนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหน ตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่าเมื่อก่อนเราเป็นทาส พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้อง พึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจดังนี้ เขาจะพึงได้ความ ปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดาร หาอาหาร ได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้าม พ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็น อย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรา มีทรัพย์ มีโภคสมบัติเดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทาง กันดารนั้น บรรลุถึงหมู่บ้าน อันเกษม ปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความ ปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีภูมิสถาน อันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
11)
รูปฌาน ๔
ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้ ที่ยังละไม่ได้ในตน เหมือนหนี้ เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอ พิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือน ความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถาน อันเกษม ฉันนั้นแล
เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปิติ เมื่อมีปิติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้ว ย่อมได้ เสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะ ของเธอประการหนึ่ง.
ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุข เกิดแต่สมาธิอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง.
ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย เพราะปิติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะของเธอประการหนึ่ง
ดูกรอัมพัฏฐะ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะ ละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นจรณะ ของเธอประการหนึ่ง
ดูกรอัมพัฏฐะ แม้นี้แลคือจรณะนั้น.
12)
วิชชา ๘
วิปัสสนาญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิต ไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรา นี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุก และขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และ วิญญาณ ของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาว หรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้น วางไว้ในมือแล้ว พิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไน ดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลือง แดง ขาวหรือ นวลร้อยอยู่ใน แก้วไพฑูรย์นั้น ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมน้อมโน้มจิตไปเพื่อญาณทัสนะ เธอย่อมรู้ชัด อย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้น ด้วยข้าวสุก และขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลาย และกระจัดกระจาย เป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้
แม้ข้อนี้ ก็เป็นวิชชาของเธอ ประการหนึ่ง.
13)
มโนมยิทธิญาณ
ภิกษุนั้น ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือ นิรมิตกายอื่น จากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือน บุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิด เห็นอย่างนี้ว่า นี้หญ้าปล้อง นี้ไส้หญ้าปล้อง อย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจาก หญ้าปล้องนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่งก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่ง ก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเองฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูป อันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่น จากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
แม้ข้อนี้ ก็เป็น วิชชาของเธอประการหนึ่ง
14)
อิทธิวิธญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธี หลายประการ คือ คนเดียวเป็น หลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไป ก็ได้ ทะลุฝา กำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ใน แผ่นดิน เหมือนในน้ำ ก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปใน อากาศ เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือ ก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไป ตลอดพรหมโลกก็ได้
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนช่างหม้อ หรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวด ดิน ดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือน ช่างงา หรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงา ชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้
อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทอง หรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อ หลอมทอง ดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จ ได้ ฉันใด ภิกษุ ก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธี หลายประการ คือคนเดียว เป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏ ก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุ ฝากำแพง ภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้
ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดิน เหมือนในน้ำ ก็ได้เดินบนน้ำ ไม่แตกเหมือนเดิน บนแผ่นดิน ก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมาก ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลกก็ได้
แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.
15)
ทิพยโสตญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสต อันบริสุทธิ์ ล่วงโสต ของมนุษย์
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เขาจะพึงได้ยินเสียงกลองบ้าง เสียงตะโพนบ้าง เสียงสังข์บ้าง เสียงบัณเฑาะว์บ้าง เสียงเปิงมางบ้าง เขาพึงเข้าใจว่า เสียงกลอง ดังนี้บ้าง เสียงตะโพนดังนี้บ้าง เสียงสังข์ดังนี้บ้าง เสียงบัณเฑาะว์ดังนี้บ้าง เสียงเปิงมางดังนี้บ้าง ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง ๒ ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกล และใกล้ ด้วยทิพยโสต อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์
แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.
16)
เจโตปริยญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของ สัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิต ไม่เป็น มหรรคตจิต มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิต ไม่มี จิตอื่น ยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่า จิตไม่เป็น สมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่ม ที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงา หน้าของตน ในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใส หน้ามีไฝก็จะพึงรู้ว่า หน้ามีไฝ หรือหน้า ไม่มีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแลย่อมโน้ม น้อมจิตไป เพื่อเจโตปริยญาณ
เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะก็รู้ว่าจิต มีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิต ปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจาก โมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็น มหรรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิต ไม่มีจิตอื่น ยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิต ไม่เป็น สมาธิ จิตหลุดพ้นก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น
แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชา ของเธอประการหนึ่
17)
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึก ชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้างสิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้างพันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัป เป็นอันมาก บ้างตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมาก บ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหาร อย่างนั้น เสวยสุข เสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึง ชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่นแล้วจากบ้าน แม้นั้น ไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้น กลับมาสู่บ้านของตนตามเดิม เขาจะพึงระลึกได้ อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้นเราได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูด อย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้น เราก็ได้ยืน อย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจาก บ้านนั้น มาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เธอย่อมระลึก ชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร อย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุ เพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึง ชาติก่อนได้ เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
แม้ข้อนี้ก็เป็น วิชชาของเธอ ประการหนึ่ง.
18)
จุตูปปาตญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติและอุปบัติ ของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็น หมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้า แต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้
เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตาม กรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง๓ แพร่งท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชน กำลังเข้าไป สู่เรือนบ้าง กำลัง ออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่งท่ามกลาง พระนคร บ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจาก เรือน เหล่านี้สัญจร เป็นแถวในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่ง ท่ามกลาง พระนคร ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติและ อุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย ทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไป ตามกรรม ว่าสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริตมโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระ อริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้
เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ ที่กำลังจุติ กำลัง อุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้
แม้ข้อนี้ก็เป็นวิชชาของเธอประการหนึ่ง.
19)
อาสวักขยญาณ
ภิกษุนั้นย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้ ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธนี้ อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จาก กามาสวะ แม้จากภวาสวะแม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้น แล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดูกรอัมพัฏฐะ เปรียบเหมือนสระน้ำ บนยอดเขาใสสะอาดไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุ ยืนอยู่บน ขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่ง และหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวด และ ก้อนหิน บ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้างหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น เขาจะพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและ ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระนั้น ดังนี้ ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็น จริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้ อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้จิต ย่อม หลุดพ้น แม้จาก กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มี แม้ข้อนี้ ก็เป็นวิชชาของเธอ ประการหนึ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ นี้แลคือวิชชานั้น.
ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติเช่นนี้ เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาบ้าง ผู้ถึงพร้อม ด้วยจรณะบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทั้งวิชชา และจรณะบ้าง อันวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อย่างอื่น ซึ่งดียิ่งกว่าหรือประณีตกว่านี้ไม่มี.
20)
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ ๔
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อม อยู่ ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน?
๑. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคน ในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และ จรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบส เข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภค ผลไม้ ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึง พร้อมด้วยวิชชา และจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.
[๑๖๔] ๒. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่ บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ ที่หล่นบริโภค ได้ ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้ รากไม้ และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ ท่านที่ถึง พร้อมด้วยวิชชา และ จรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อม ข้อที่สอง.
[๑๖๕] ๓. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์ บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่ บรรลุวิชชา สมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้าง เรือนไฟ ไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคน บำเรอท่าน ที่ถึง พร้อมด้วยวิชชา และจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม
[๑๖๖] ๔. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่ บรรลุวิชชา สมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ ที่หล่น บริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถ จะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วพำนักอยู่ ด้วยตั้งใจ ว่าผู้ใด ที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ ก็ตาม เราจักบูชา ท่านผู้นั้น ตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อม ด้วยวิชชา และจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.
ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ มีอยู่ ๔ ประการดังนี้.
[๑๖๗] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ ย่อม ปรากฏในวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่? ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม เป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจาก วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบบริขารดาบสเข้าไป สู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ และไม่สามารถจะหาผลไม้ ที่หล่น บริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภค เหง้าไม้รากไม้ และผลไม้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่น บริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟ ไว้ใกล้ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน เธอกับอาจารย์ เมื่อไม่บรรลุ วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ ที่หล่น บริโภคได้ ไม่สามารถ จะหาเหง้าไม้รากไม้ และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถ จะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟ ที่มีประตูสี่ด้าน ไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วพำนัก อยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะ หรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชา ท่านผู้นั้น ตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์ เสื่อมจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติ อันเป็นคุณ ยอดเยี่ยม นี้ด้วย และคลาดจากทาง เสื่อมของวิชชาสมบัติแ ละจรณสมบัติอันเป็นคุณ ยอดเยี่ยม ๔ ประการนี้ด้วย.
[๑๖๘] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็พราหมณ์โปกขรสาติ อาจารย์ของเธอได้พูดว่า สมณะ โล้น บางเหล่า เป็นเชื้อสายคฤหบดี กัณหโคตร เกิดแต่บาทของพรหม ประโยชน์อะไร ที่พวกพราหมณ์ ผู้ทรงไตรวิชา จะสนทนาด้วย ดังนี้ แม้แต่ทางเสื่อม ตนก็ยังไม่ได้ บำเพ็ญ
ดูกรอัมพัฏฐะ ความผิดของพราหมณ์โปกขรสาติ อาจารย์ของเธอนี้เพียงใด ถึงพราหมณ์โปกขรสาติ กินเมืองที่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชทาน พระองค์ยังไม่ทรง พระราชทานพระวโรกาส ให้เข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่ง เวลาจะทรงปรึกษาด้วย ก็ทรงปรึกษา นอกพระวิสูตร ดูกรอัมพัฏฐะ ไฉนเล่าจึงไม่พระราชทานการเข้าเฝ้า ต่อหน้าพระที่นั่ง แก่เขา ผู้รับภิกษาที่ชอบธรรม ซึ่งพระราชทานให้ ดูเถิดอัมพัฏฐะ ความคิดของพราหมณ์ โปกขรสาติ อาจารย์ของเธอนี้เพียงใด.
[๑๖๙] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงช้าง พระที่นั่ง หรือรถพระที่นั่ง จะทรงปรึกษาราชกิจบางเรื่องกับมหาอำมาตย์ หรือพระราช วงศานุวงศ์ แล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งจากที่นั้น ภายหลัง คนชั้นศูทร หรือ ทาส ของศูทรพึงมา ณที่นั้นแล้วพูดอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสอย่างนี้ๆ เพียงเขาพูด ได้เหมือน พระราชาตรัส หรือปรึกษาได้เหมือน พระราชา ทรงปรึกษา จะจัดว่าเป็นพระราชา หรือราชมหาอำมาตย์ได้หรือไม่?
ข้อนี้เป็นไม่ได้ พระโคดมผู้เจริญ.
21)
บุรพฤาษี ๑๐ ตน
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอก็เช่นนั้นเหมือนกัน บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ ของพวก พราหมณ์ คือฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรสฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่าน กล่าวไว้ บอกไว้ เพียงคิดว่าเรา กับอาจารย์ เรียนมนต์ของท่านเหล่านั้น เธอจักเป็น ฤาษีหรือปฏิบัติเพื่อเป็นฤาษีได้ ดังนี้
นั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอได้ฟังพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็น อาจารย์ และเป็นปาจารย์ เล่ากันมาว่าอย่างไร บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ ของพวก พราหมณ์ คือฤาษีอัฏฐะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทวะ ฤาษีเวสสามิตร ฤาษียมตัคคี ฤาษีอังคีรส ฤาษีภารทวาชะฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ ผูกมนต์ บอกมนต์ ในปัจจุบันนี้ พวกพราหมณ์ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่าน กล่าวไว้ บอกไว้ ฤาษีเหล่านั้น อาบน้ำ ทาตัวเรียบร้อยแต่งผม แต่งหนวด สวมพวง ดอกไม้และเครื่องอาภรณ์ นุ่งผ้าขาว อิ่มเอิบ พรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยกามคุณห้า เหมือนเธอกับอาจารย์ในบัดนี้หรือไม่?
ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฤาษีเหล่านั้นบริโภค ข้าวสาลี ที่เก็บ กากแล้ว มีแกงและกับหลายอย่าง เหมือนเธอกับอาจารย์ ในบัดนี้หรือไม่?
ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...
ดูกรอัมพัฏฐะ ... ฤาษีเหล่านั้น บำเรออยู่ด้วยเหล่านารี ผู้มีร่างกระชดกระช้อย เหมือนเธอ กับ อาจารย์ ในบัดนี้หรือไม่?
ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...
ดูกรอัมพัฏฐะ ... ฤาษีเหล่านั้น ใช้รถเทียมม้าหางตัด แทงด้วยปฏักด้ามยาว เหมือนเธอกับ อาจารย์ ในบัดนี้หรือไม่?
ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...
ฤาษีเหล่านั้นใช้บุรุษขัดกระบี่ให้รักษาเชิงเทินแห่งนคร ที่มีคูล้อมรอบลงลิ่ม เหมือนเธอกับ อาจารย์ ในบัดนี้หรือไม่?
ไม่เหมือน พระโคดมผู้เจริญ ...
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์มิได้เป็นฤาษีเลย ทั้งมิได้ปฏิบัติ เพื่อเป็นฤาษี ด้วยประการฉะนี้ แล ดูกรอัมพัฏฐะ ผู้ใดมีความเคลือบแคลง สงสัยในเรา ผู้นั้นจงถามเรา ด้วยปัญหา เราจักชำระให้ด้วยการพยากรณ์.
[๑๗๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากพระวิหารจงกรมแล้ว.
แม้อัมพัฏฐมาณพ ก็ออกจากพระวิหาร เดินจงกรมแล้ว.
ขณะที่อัมพัฏฐมาณพ เดินจงกรมตามพระผู้มีพระภาค อยู่นั้น ได้พิจารณาดู มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาค ก็ได้เห็น มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า อัมพัฏฐมาณพนี้ เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อไม่เลื่อมใสอยู่
ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้อัมพัฏฐมาณพได้เห็นพระคุยหะ เร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหา สอดเข้าช่อง พระกรรณทั้ง ๒ กลับไปมา สอดเข้าช่อง พระนาสิกทั้ง ๒ กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑล พระนลาต
[๑๗๑] ครั้งนั้น อัมพัฏฐมาณพคิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการบริบูรณ์ไม่บกพร่อง ดังนี้แล้วจึงได้ทูลลาพระผู้มีพระภาค ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอทูลลาไป ณ บัดนี้ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระมาก.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจงสำคัญกาลอันควรบัดนี้ แล้วอัมพัฏฐมาณพ ก็ขึ้นรถม้ากลับไป
22)
โปกขรสาติพราหมณ์สอบถาม อัมพัฏฐมาณพ
[๑๗๒] สมัยนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ ลุกออกมานั่งคอยรับ อัมพัฏฐมาณพอยู่ ณ อารามของตน พร้อมด้วยพราหมณ์หมู่ใหญ่ ฝ่ายอัมพัฏฐมาณพ ขับรถไปอาราม ของตน จนสุดทางที่รถไปได้ แล้วลงเดินเข้าไปหาพราหมณ์โปกขรสาติ ไหว้แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พราหมณ์โปกขรสาติถามว่า พ่ออัมพัฏฐะ พ่อได้เห็นพระโคดมผู้เจริญ พระองค์ นั้น แล้วหรือ?
ได้เห็นแล้ว ท่าน
ก็กิตติศัพท์ของท่านพระโคดม พระองค์นั้น ที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น หรือท่าน พระโคดมพระองค์นั้น ทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นหรือ.
กิตติศัพท์ของท่านพระโคดม พระองค์นั้น ที่ขจรไป จริงตามนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เลย ท่านพระโคดม พระองค์นั้น ทรงคุณเช่นนั้นจริง ไม่เป็นอย่างอื่นเลย และประกอบ ด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ บริบูรณ์ไม่บกพร่อง.
พ่อได้สนทนาปราศรัยอะไร ด้วยหรือไม่?
ได้สนทนาปราศรัยด้วยทีเดียว.
พ่อได้สนทนาปราศรัยอย่างไรบ้าง?
ทันใดนั้นอัมพัฏฐมาณพ ได้เล่าเรื่องเท่าที่ตน ได้สนทนาปราศรัย กับพระผู้มีพระภาค ให้พราหมณ์โปกขรสาติ ทราบทุกประการ
[๑๗๓] เมื่ออัมพัฏฐมาณพ กล่าวอย่างนี้ พราหมณ์โปกขรสาติได้กล่าวว่า พุทโธ่เอ๋ย พ่อบัณฑิตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อพหูสูตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อทรงไตรวิชา ของเรา ได้ยินว่าคนเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่านผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้ เจ้าได้พูดกระทบกระเทียบพระโคดม อย่างนี้ๆ แต่พระโคดมกลับยกเอาพวกเรา ขึ้นเป็นตัวเปรียบเทียบอย่างนี้ๆ พุทโธ่เอ๋ย พ่อบัณฑิต ของเรา พุทโธ่เอ๋ยพ่อพหูสูตของเรา พุทโธ่เอ๋ย พ่อทรงไตรวิชาของเรา ได้ยินว่า คน เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก จะพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกเสีย เพราะท่านผู้ประพฤติประโยชน์เช่นนี้.
พราหมณ์โปกขรสาติโกรธ ขัดใจ เอาเท้าปัดอัมพัฏฐมาณพ ให้ล้มลงแล้ว ใคร่จะ ไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค เสียในขณะนั้นทีเดียว. พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้พูดห้ามว่า ท่าน วันนี้เกินเวลาที่จะไปเฝ้าพระสมณโคดมเสียแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด.
23)
พราหมณ์โปกขรสาติเดินทางเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
[๑๗๔] ครั้งนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ ให้จัดแจงของเคี้ยวของบริโภค อย่าง ประณีต ในนิเวศน์ของตนแล้วเอาใส่รถ เมื่อคบเพลิงยังตามอยู่ ได้ออกจากอุกกัฏฐนคร ขับรถตรงไป ยังราวป่าอิจฉานังคลวัน ครั้นไปสุดทางรถ ลงเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึก ถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพ ศิษย์ของข้าพเจ้า ได้มาที่นี้หรือ?
ได้มา พราหมณ์.
พระองค์ได้สนทนาปราศรัยอะไรๆ กับเขาหรือไม่?
ได้สนทนา พราหมณ์
พระองค์ได้สนทนาปราศรัยกับเขา อย่างไร?
ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัส เล่าเรื่องเท่าที่พระองค์ได้สนทนา ปราศรัยกับ อัมพัฏฐมาณพ ให้พราหมณ์โปกขรสาติ ทราบทุกประการ.
[๑๗๕] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสเช่นนี้แล้ว พราหมณ์โปกขรสาติได้ทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อัมพัฏฐมาณพเป็นคนโง่ ได้โปรดอดโทษ ให้เขาเถิด
ภ. อัมพัฏฐมาณพ จงมีความสุขเถิด พราหมณ์.
ครั้งนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ ได้พิจารณาดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระกาย ของพระผู้มีพระภาค ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ โดยมากเว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส อยู่ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า พราหมณ์โปกขรสาตินี้
เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหะ เร้นอยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัย ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสอยู่
ทันใดนั้น จึงทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้พราหมณ์โปกขรสาติ ได้เห็น พระคุยหะเร้น อยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหา สอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง ๒ กลับไปมา สอดเข้าช่อง พระนาสิกทั้ง ๒ กลับไปมา แผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต พราหมณ์ โปกขรสาติ คิดว่า พระสมณโคดมประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการบริบูรณ์ ไม่บกพร่อง ดังนี้แล้ว ทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วย พระภิกษุสงฆ์ จงรับภัตตาหารในวันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วย อาการนิ่งอยู่ พราหมณ์โปกขรสาติทราบว่า พระผู้มีพระภาค ทรงรับนิมนต์แล้ว จึงทูลภัตตกาลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญได้เวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
[๑๗๖] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จ เข้าไปยังนิเวศน์ ของพราหมณ์โปกขรสาติ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ประทับนั่งบนอาสนะ ที่จัดถวาย.
พราหมณ์โปกขรสาติ ได้อังคาสพระผู้มีพระภาค ให้ทรงอิ่มหนำเพียงพอด้วย ของเคี้ยว ของฉัน อันประณีต ด้วยมือของตน และพวกมาณพ ก็ได้อังคาส พระภิกษุสงฆ์. ครั้นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จวางพระหัตถ์ จากบาตรแล้ว พราหมณ์โปกขรสาติ ถืออาสนะต่ำ นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสอนุบุพพิกถา แก่พราหมณ์โปกขรสาติ คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถาสัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ ในการออกจากกาม
เมื่อทรงทราบว่า พราหมณ์โปกขรสาติ มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจาก นิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงยกขึ้นแสดง ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค โปรดพราหมณ์ โปกขรสาติ ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแล้ว แก่พราหมณ์โปกขรสาติ ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับ ไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้า ที่สะอาด ปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น
24)
พราหมณ์โปกขรสาติแสดงตนเป็นอุบาสก
[๑๗๗] ลำดับนั้น พราหมณ์โปกขรสาติ เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในสัตถุศาสนา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศ ธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของ ที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด
พระโคดมผู้เจริญ ทรงประกาศ พระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ พร้อมทั้งบุตรภริยา บริษัทและอำมาตย์ ขอถึงพระองค์ และพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระสมณโคดมผู้เจริญจ งทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และ ขอพระองค์ จงเสด็จเข้าไปสู่ สกุลโปกขรสาติ เหมือนเข้าไปสู่สกุลแห่งอุบาสกอื่นๆ ในนครอุกกัฏฐะ เหล่ามาณพ มาณวิกา ในสกุลโปกขรสาตินั้น จักไหว้ จักลุกรับ จักถวายอาสนะ หรือน้ำ จักเลื่อมใสในพระองค์ ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มาณพมาณวิกา เหล่านั้น สิ้นกาลนานพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านกล่าวชอบ ดังนี้แล
จบอัมพัฏฐสูตร ที่ ๓.
|