1)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๒๕-๓๒๙
๗. จูฬตัณหาสังขยสูตร
ว่าด้วยข้อปฏิบัติธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
[๔๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ปราสาท แห่งมิคารมารดา (มหาอุบาสิกาวิสาขา ผู้เป็นดังว่ามารดาแห่งมิคารเศรษฐี) ในวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ(เทพชั้นดาวดึงส์) เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่า น้อมไปแล้วในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่ง จากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ ประเสริฐกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย?
[๔๓๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนี้ ภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่ง ธรรมทั้งปวง
ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง ครั้นทราบชัดธรรม ทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง
ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
เธอย่อมพิจารณา เห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็น ความดับ พิจารณาเห็นความสละคืน ในเวทนาทั้งหลายนั้น
เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไรๆในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น
เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และ ทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มี ดังนี้
ดูกรจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไป ในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลส เป็นเครื่อง ประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่า เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ลำดับนั้นท้าวสักกะจอมเทพ ชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ และหายไปในที่นั้น นั่นเอง
.....................................................................................................................................................................
2)
ท้าวสักกะเข้าไปเยี่ยมพระมหาโมคคัลลานะ
[๔๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ได้มีความดำริว่า ท้าวสักกะนั้น ทราบความพระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงยินดี หรือว่าไม่ทราบก็ยินดี ถ้ากระไร เราพึงรู้เรื่องท้าวสักกะ ทราบความพระภาษิตของ พระผู้มีพระภาคแล้ว จึงยินดี หรือว่าไม่ทราบแล้วก็ยินดี
ลำดับนั้น ท่านพระมหา โมคคัลลาน์ ได้หายไปในปราสาท ของมิคารมารดา ในวิหารบุพพาราม ปรากฏในหมู่ เทวดา ชั้นดาวดึงส์ ประหนึ่งว่าบุรุษ ที่กำลัง เหยียดแขนที่งอ ออกไป หรือ งอแขน ที่เหยียดเข้ามา ฉะนั้น
สมัยนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ กำลังอิ่มเอิบ พร้อมพรั่งบำเรออยู่ ด้วยทิพยดนตรี ห้าร้อย ในสวนดอกบุณฑริกล้วน. ท้าวเธอได้เห็นท่าน พระมหาโมคคัลลาน์ มาอยู่แต่ ที่ไกล จึงให้หยุดเสียงทิพยดนตรีห้าร้อยไว้ แล้วก็เข้าไปหา ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระโมคคัลลาน์ ผู้นฤทุกข์ นิมนต์มาเถิด ท่านมาดีแล้ว นานแล้ว ท่านได้ทำปริยาย เพื่อจะมาในที่นี้ นิมนต์นั่งเถิด อาสนะนี้แต่งตั้งไว้แล้ว
ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ นั่งบนอาสนะที่แต่งไว้แล้ว ส่วนท้าวสักกะจอมเทพ ก็ถืออาสนะ ต่ำแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๔๓๖] ท่านพระโมคคัลลาน์ได้ถาม ท้าวสักกะผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถึงความน้อมไป ในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา โดยย่อแก่ท่านอย่างไร ขอโอกาสเถิด แม้ข้าพเจ้า จักขอมีส่วนเพื่อจะฟังกถานั้น
ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าแต่ท่านโมคคัลลาน์ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระที่จะต้องทำ มาก ทั้งธุระส่วนตัว ทั้งธุระของพวกเทวดา ชั้นดาวดึงส์ พระภาษิตใด ที่ข้าพเจ้า ฟังแล้ว ลืมเสียเร็วพลัน พระภาษิตนั้น ท่านฟังดี เรียนดี ทำไว้ในใจดี ทรงไว้ดีแล้ว
ข้าแต่พระโมคคัลลาน์ เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่างเทวดา และอสูร ได้ประชิดกันแล้ว ในสงครามนั้น พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ข้าพเจ้าชนะ เทวาสุร สงครามเสร็จสิ้นแล้ว กลับจากสงครามนั้นแล้ว ให้สร้างเวชยันตปราสาท เวชยันตปราสาท มีร้อยชั้น ในชั้นหนึ่งๆ มีกูฏาคารเจ็ดร้อยๆ ในกูฏาคารแห่งหนึ่งๆ มีนางอัปสรเจ็ดร้อยๆ นางอัปสร ผู้หนึ่งๆ มีเทพธิดาผู้บำเรอเจ็ดร้อยๆ
ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลาน์ ท่านปรารถนา เพื่อจะชมสถานที่น่ารื่นรมย์ แห่งเวชยันตปราสาท หรือไม่? ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ รับด้วยดุษณีภาพ
.....................................................................................................................................................................
3)
พระโมคคัลลาน์ยกย่องเวชยันตปราสาท
[๔๓๗] ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสวัณมหาราช นิมนต์ท่าน พระมหาโมคคัลลาน์ ออกหน้าแล้ว ก็เข้าไปยังเวชยันตปราสาท. พวกเทพธิดา ผู้บำเรอ ของท้าวสักกะ เห็นท่านพระมหาโมคคัลลาน์ มาอยู่แต่ที่ไกล เกรงกลัว ละอายอยู่ ก็เข้าสู่ห้องเล็กของตนๆ คล้ายกะว่าหญิงสะใภ้ เห็นพ่อผัวเข้า ก็เกรงกลัว ละอายอยู่ ฉะนั้น
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสวัณมหาราช เมื่อให้ท่านพระมหา โมคคัลลาน์ เที่ยวเดินไปในเวชยันตปราสาท ได้ตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลาน์ ขอท่านจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์ แห่งเวชยันตปราสาทแม้นี้ ขอท่านจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์ แห่งเวชยันตปราสาทแม้นี้
ท่านพระมหาโมคคัลลาน์กล่าวว่า สถานที่น่ารื่นรมย์ ของท่านท้าวโกสีย์นี้ ย่อมงดงาม เหมือนสถานที่ของผู้ที่ได้ทำบุญ ไว้ในปางก่อน แม้มนุษย์ทั้งหลาย เห็นสถานที่ น่ารื่นรมย์ไหนๆ เข้าแล้วกล่าวกันว่างามจริง ดุจสถานที่น่ารื่นรมย์ของพวก เทวดาชั้นดาวดึงส์
ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ ได้มีความดำริว่า ท้าวสักกะนี้ เป็นผู้ประมาทอยู่มากนัก ถ้ากระไร เราพึงให้ท้าวสักกะนี้ สังเวชเถิด จึงบันดาล อิทธาภิสังขาร เอาหัวแม่เท้ากดเวชยันตปราสาท เขย่าให้สั่น สะท้าน หวั่นไหว
ทันใดนั้นท้าวสักกะจอมเทพ ท้าวเวสวัณมหาราช และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีความประหลาดมหัศจรรย์จิต กล่าวกันว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี่เป็นความประหลาด อัศจรรย์ พระสมณะมีฤทธิ์มาก อานุภาพมาก เอาหัวแม่เท้ากดทิพยพิภพ เขย่าให้สั่น สะท้าน หวั่นไหวได้
.....................................................................................................................................................................
4)
ตรัสความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
[๔๓๘] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ ทราบว่า ท้าวสักกะจอมเทพ มีความ สลดจิตขนลุกแล้ว จึงถามว่า ดูกรท้าวโกสีย์ (ท้าวสักกะ) พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสความ น้อมไป ในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา โดยย่นย่ออย่างไร ขอโอกาสเถิด แม้ข้าพเจ้าจักขอมีส่วน เพื่อฟังกถานั้น.
ท้าวสักกะจึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลาน์ ผู้นฤทุกข์ ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว จึงได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความ ปลอดโปร่ง จากกิเลส เป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุด ล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนั้น ภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ดังนั้นแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็น ความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนใ นเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ก็ไม่ยึดมั่นสิ่งอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้ง หวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้
ดูกรจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้ว ในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลส เป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่า เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลาน์ พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสความ น้อมไปในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา โดยย่อแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้แล
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ ชื่นชมยินดีภาษิตของท้าวสักกะ แล้ว ได้หายไปในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏที่ปราสาทของมิคารมารดา ในวิหาร บุพพาราม ประหนึ่งว่าบุรุษที่กำลังเหยียดแขนที่งอออกไป หรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา ฉะนั้น
ครั้งนั้น พวกเทพธิดา ผู้บำเรอของท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อท่านพระมหา โมคคัลลาน์ หลีกไปแล้วไม่นาน ได้ทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ พระสมณะนั้น เป็นพระผู้มีพระภาค ผู้พระศาสดาของพระองค์หรือหนอ?
ท้าวสักกะตรัสบอกว่า ดูกรเหล่าเทพธิดาผู้นฤทุกข์ พระสมณะนั้น ไม่ใช่พระผู้มี พระภาค ผู้พระศาสดาของเรา เป็นท่านพระมหาโมคคัลลาน์ ผู้เป็นสพรหมจารีของเรา
พวกเทพธิดานั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ เป็นลาภของพระองค์ๆ ได้ดีแล้ว ที่ได้พระสมณะ ผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ เป็นสพรหมจารีของพระองค์ พระผู้มีพระภาค ผู้ศาสดาของพระองค์ คงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเป็นอัศจรรย์ เป็นแน่
[๔๓๙] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค ย่อมทรงทราบว่าพระองค์ เป็นผู้ตรัสความน้อมไป ในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา โดยย่อ แก่เทพผู้มีศักดิ์มากผู้ใดผู้หนึ่ง บ้างหรือหนอ?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมคคัลลาน์ เรารู้เฉพาะอยู่ จะเล่าให้ฟัง ท้าวสักกะจอมเทพ เข้ามาหาเรา อภิวาทแล้ว ได้ไปยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความ ปลอดโปร่ง จากกิเลส เป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุด ล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ดูกรโมคคัลลาน์ เมื่อท้าวสักกะ นั้น ถามอย่างนี้แล้ว เราบอกว่า ดูกรจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนั้น ภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมทราบชัด ธรรมทั้งปวง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวยเวทนา อย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณา เห็นความสละคืน ในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่น สิ่งอะไรๆในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับ กิเลส ให้สงบได้ เฉพาะตน ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้
ดูกรจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้ว ในธรรม เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลส เป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่า เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรโมคคัลลาน์ เราจำได้อยู่ว่า เราเป็นผู้กล่าวความน้อมไป ในธรรม เป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อ แก่ท้าวสักกะจอมเทพ อย่างนี้แล
พระผู้มีพระภาค ตรัสพระพุทธพจน์นี้จบแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลาน์ ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล
จบ จูฬตัณหาสังขยสูตร ที่ ๗
|