เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

จูฬธรรมสมาทานสูตร (ธรรมสมาทาน ๔) ธรรมสมาทานที่มีสุขปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบาก.... 1837
 
ธรรมสมาทานนี้มี ๔ อย่าง เป็นไฉน

๑. ธรรมสมาทาน ที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบาก
คือมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มี ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่มในกามทั้งหลายแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

๒. ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบาก
ปริพาชกบางคนเปลือยกาย ทำร่างกายให้ลำบาก (ทรมานตน) นอนบนหนาม กินหญ้า กินโคมัย
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

๓.ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบาก
บุคคลบางคนเป็นผู้ มีราคะกล้า มีโทสะกล้า โดยปรกติ ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส อันเกิดแต่ราคะ บุคคลนั้นถูกทุกข์บ้าง โทมนัสบ้างถูกต้องแล้ว เป็นผู้มีน้ำตาร้องไห้อยู่ แต่ประพฤติพรหมจรรย์ บริบูรณ์บริสุทธิ์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึง สุคติ โลกสวรรค์

๔. ธรรมสมาทาน ที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบาก
บางคนเป็นผู้ไม่มีราคะกล้า ไม่มีโทสะกล้าโดยปรกติ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัส อันเกิดแต่ราคะ เนืองๆ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัส บุคคลนั้นบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เบื้องหน้า แต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึง สุคติ โลกสวรรค์
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 

           

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๙๕-๓๙๘

๕. จูฬธรรมสมาทานสูตร
ว่าด้วยธรรมสมาทาน ๔

           [๕๑๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่วิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.

           [๕๑๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้มี ๔ อย่าง ๔ อย่างเป็นไฉน
            ๑.ธรรมสมาทาน ที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี
            ๒.ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากต่อไปก็มี
            ๓.ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไปก็มี
            ๔.ธรรมสมาทาน ที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไปก็มี

......................................................................................................................
1)

           [๕๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (1) ก็ธรรมสมาทาน ที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์ เป็นวิบากต่อไปเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลายมิได้มี สมณพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงความเป็น ผู้ดื่มในกามทั้งหลาย. ย่อมบำเรอ กับพวกนางปริพาชิกา ที่เกล้ามวยผม และกล่าว อย่างนี้ว่า ไฉนท่านพระสมณพราหมณ์พวกนั้น เห็นภัยในอนาคต ในกามทั้งหลาย จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย(อันที่จริง) การสัมผัส ที่แขน มีขนอ่อนนุ่ม แห่งนางปริพาชิกานี้ นำให้เกิดสุข ดังนี้แล้ว ก็ถึงความเป็นผู้ดื่ม ในกามทั้งหลาย

           สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่ม ในกามทั้งหลายว่าแล้ว เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. เสวยทุกข เวทนา หยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตนเกิดนั้น และกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านสมณพราหมณ์ พวกนั้น เห็นภัยในอนาคต ในกามทั้งหลายนี่แหละ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลาย พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนลูกสุก แห่งเครือเถามาลุวา (ย่านซายหรือ ย่างซาย) พึงแตกในเดือนท้ายฤดูร้อน. พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น ตกลงที่โคนต้นสาละ ต้นใดต้นหนึ่ง เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น กลัวหวาดเสียวถึงความสะดุ้ง. พวกอาราม วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดา ที่สิงอยู่ที่ต้นไม้ อันเป็นป่าหญ้า และต้นไม้เป็น เจ้าไพร ผู้เป็นมิตรสหาย ญาติสาโลหิต แห่งเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น ต่างก็พากัน มาปลอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถา มาลุวานั้น บางทีนกยูง พึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวก ทำงาน ในป่า พึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป

            แต่พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น นกยูงก็ไม่กลืนกิน เนื้อก็ไม่เคี้ยวกิน ไฟป่าก็ไม่ ไหม้ พวกทำการงานในป่าก็ไม่ถอน ปลวกไม่กัด ยังคงเป็นพืชต่อไป. ถูกเมฆฝนตกรด เข้าแล้ว ก็งอกขึ้นโดยดี.เป็นเครือเถามาลุวาเล็ก อ่อน มีย่านห้อยย้อยเข้าไปอาศัยต้น สาละนั้น

           เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น จึงกล่าวว่า ไฉนพวกท่าน อารามเทวดาวนเทวดา รุกขเทวดา และเทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้ อันเป็นป่าหญ้า และต้นไม้เป็นเจ้าไพร ผู้เป็นมิตร สหาย ญาติสาโลหิต จึงเห็นภัยในอนาคตใน เพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวา พากันมา ปลอบ อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถา มาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการ งานในป่า พึงถอนเสียปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืชต่อไป เครือเถามาลุวานี้ เล็กอ่อน มีย่านห้อมย้อยอยู่ มีสัมผัสนำความสุขมาให้. เครือเถามาลุวานั้นเข้าพันต้นสาละนั้น

           ครั้นเข้าพันแล้ว ทำให้เป็นดังร่มอยู่ข้างบน ให้แตกเถาอยู่ข้างล่าง ทำลายลำต้น ใหญ่ๆ ของต้นสาละนั้นเสีย. เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นสาละนั้น ก็กล่าวอย่างนี้ว่า พวกท่าน อาราม เทวดา วนเทวดา รุกขเทวดา และพวกเทวดา ที่สิงอยู่ที่ต้นไม้อันเป็นป่าหญ้า และต้นไม้เป็นเจ้าไพร เป็นผู้มิตรสหาย ญาติสาโลหิต เห็นภัยในอนาคตในเพราะพืช แห่งเครือเถามาลุวานี้ จึงพากันมาปลอบอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญอย่ากลัวเลย ท่านผู้เจริญ อย่ากลัวเลย พืชแห่งเครือเถามาลุวานั้น บางทีนกยูงพึงกลืนกินเสีย เนื้อพึงเคี้ยวกินเสีย ไฟป่าพึงไหม้เสีย พวกทำการงานในป่าพึงถอนเสีย ปลวกพึงกัดเสีย หรือไม่เป็นพืช ต่อไป เรานั้นเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะพืชแห่งเครือเถามาลุวา เป็นเหตุ ฉันใด

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า โทษในกามทั้งหลาย มิได้มีจึงถึงความเป็นผู้ดื่ม ในกามทั้งหลาย บำเรอกับพวกนาง ปริพาชิกา ที่เกล้ามวยผม. และกล่าวอย่างนี้ว่า ไฉนท่านสมณเหล่านั้น จึงเห็นภัยใน อนาคตในกามทั้งหลาย กล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้ ในกาม ทั้งหลาย ว่า อันที่จริงการสัมผัสที่แขน มีขนอ่อนนุ่มแห่งนางปริพาชิกานี้นำให้เกิดสุข จึงถึงความเป็นผู้ดื่มในการกามทั้งหลาย

           ครั้นถึงความเป็นผู้ดื่ม ในกามทั้งหลายแล้ว เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน ในที่ที่ตน เกิดนั้น และกล่าวในที่นั้นอย่างนี้ว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น เห็นภัยในอนาคต ในกามทั้งหลายนี้ จึงกล่าวการละกามทั้งหลาย บัญญัติความกำหนดรู้กามทั้งหลายว่า พวกเรานี้ ย่อมเสวยทุกขเวทนาหยาบ เผ็ดร้อน เพราะกามเป็นปัจจัย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์ เป็นวิบากต่อไป
......................................................................................................................
2)

           [๕๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (2) ก็ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็น วิบาก ต่อไป เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปริพาชกบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เปลือยกาย ปล่อยมารยาทดีเสีย [ยืนถ่ายอุจาระ ปัสสาวะ แล้วก็กิน] เช็ดอุจจาระ ที่ถ่ายด้วยมือ ไม่รับภิกษาตามที่เขาเชิญให้รับ ไม่หยุดตามที่เขาเชิญให้หยุด ไม่ยินดี ภิกษาที่เขา นำมาให้ ไม่ยินดีภิกษาที่เขาเจาะจงให้ไม่ยินดีการนิมนต์ ไม่รับภิกษา ที่เขาให้ แต่ปากหม้อ ไม่รับภิกษาที่เขาให้แต่ปากกระเช้า ไม่รับภิกษาในที่มีธรณี มีสาก หรือมี ท่อนไม้ คั่นในระหว่าง ไม่รับภิกษาของคน ๒ คนที่กำลังกินอยู่ไม่รับภิกษา ของหญิงมีครรภ์ ของหญิงที่กำลังให้ลูกดื่มนม ของหญิงผู้คลอเคลียบุรุษ

           ไม่รับภิกษา ที่เขานัดกันทำ ในที่ที่เขาเลี้ยงสุนัข ไม่รับภิกษาใน ที่มีหมู่แมลงวัน ตอม ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มน้ำหมักดองรับภิกษา ที่เรือน แห่งเดียว เฉพาะคำเดียวบ้าง รับที่เรือนสองหลัง เฉพาะสองคำบ้าง ฯลฯ รับที่เรือนเจ็ด หลัง เฉพาะเจ็ดคำบ้าง ให้อัตภาพเป็นไปด้วยภิกษา อย่างเดียวบ้าง สองอย่างบ้าง ฯลฯ เจ็ดอย่างบ้าง กลืนอาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่งบ้างสองวันบ้าง ฯลฯ เจ็ดวันบ้าง เป็นผู้ หมั่น ประกอบเนืองๆ ในการกินภัตที่เวียนมา ตลอดกึ่งเดือนแม้เช่นนี้ ด้วยประการ ฉะนี้อยู่

           ปริพาชกนั้น กินผักดองกินข้าวฟ่าง กินลูกเดือยกินกากข้าว กินสาหร่าย กินรำ กินข้าวตัง กินข้าวไหม้ กินหญ้า กินโคมัย กินเหง้าไม้และผลไม้ในป่า กินผลไม้ ที่หล่นเอง เลี้ยงอัตภาพปริพาชกนั้น ครองผ้าปอ ครองผ้าที่มีวัตถุปนกัน ครองผ้าผี ครองผ้า ที่เขา ทิ้งครองผ้าเปลือกไม้ ครองหนังเสือ ครองหนังเสือที่มีเล็บ ครองผ้าคา กรอง ครองแผ่นผ้าที่กรอง ด้วยเปลือกไม้ ครองผ้ากัมพล ที่ทำด้วยผมมนุษย์ ครองผ้า ที่กรอง ด้วยขนปีกนกเค้า เป็นผู้ถอนผมและหนวด หมั่นประกอบเนืองๆ ในการถอนผม และหนวด ยืนในที่สูง ห้ามอาสนะเป็นผู้เดินกระโหย่ง ประกอบความเพียรในการ กระโหย่ง นอนบนขวาก นอนบนหนาม หมั่นประกอบในการลงน้ำวันละ ๓ ครั้ง ตามประกอบ ความหมั่นอันทำร่างกาย ให้ลำบากเดือดร้อนหลายอย่าง เห็นปานนี้ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์ เป็นวิบากต่อไป
......................................................................................................................
3)

           [๕๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (3) ก็ธรรมสมาทาน ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็น วิบาก ต่อไป เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีราคะกล้า โดยปรกติ ย่อมเสวยกขโทมนัส อันเกิดแต่ราคะเนืองๆ เป็นผู้มีโทสะกล้าโดยปรกติ ย่อมเสวยทุกขโทมนัส อันเกิดแต่โทสะเนืองๆ เป็นผู้มีโมหะกล้าโดยปรกติ ย่อมเสวย ทุกขโทมนัส อันเกิดแต่โมหะเนืองๆบุคคลนั้น ถูกทุกข์บ้าง โทมนัสบ้าง ถูกต้องแล้ว เป็นผู้มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ แต่ประพฤติ พรหมจรรย์บริบูรณ์บริสุทธิ์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกขาย่อมเข้าถึง สุคติ โลกสวรรค์

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็น วิบากต่อไป
......................................................................................................................
4)

           [๕๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (4) ก็ธรรมสมาทานที่มีสุข ในปัจจุบัน และมีสุข เป็นวิบากต่อไป เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีราคะกล้า โดยปรกติ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัส อันเกิดแต่ราคะเนืองๆ เป็นผู้ไม่มีโทสะกล้า โดยปรกติ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัส อันเกิดแต่โทสะเนืองๆ เป็นผู้ไม่มีโมหะกล้า โดยปรกติ ย่อมไม่เสวยทุกขโทมนัส อันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บุคคลนั้น สงัดจาก อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุข อันเกิดแต่ วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ บรรลุตติยฌาน ... แล้ว และอยู่ บรรลุจตุตถฌาน(บรรลุฌาน ๑ ๒ ๓ ๔)... แล้ว และอยู่เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานนี้ เรากล่าวว่า มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็น วิบากต่อไป

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมสมาทานมี ๔ อย่างเหล่านี้แล พระผู้มีพระภาคได้ตรัส พระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล

จบ จูฬธรรมสมาทานสูตร ที่ ๕

 

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์