เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

มหาสัจจกสูตร สัจจกนิครนถ์ทูลถามปัญหากับพระศาสดา 1835
 


มหาสัจจกสูตร สัจจกนิครนถ์ทูลถามปัญหา

1) กายภาวนา จิตภาวนา (นิครนถ์ถามพระพุทธเจ้า)
- สมณะพราหมณ์บางพวก เจริญ กายภาวนา แต่ไม่เจริญจิตภาวนา เขาย่อมประสบทุกขเวทนา อันเกิดในกาย เป็นบ้าบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง นั่นเพราะอะไร? พ. เป็นเพราะไม่อบรมจิต
- สมณะพราหมณ์บางพวก เจริญ จิตภาวนา แต่ไม่เจริญกายภาวนา เขาย่อมประสบทุกขเวทนา อันเกิดในจิต เป็นบ้าบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง นั่นเป็นเพราะอะไร? พ. เป็นเพราะไม่อบรมจิต

2) กายภาวนาของพวกนิครนถ์
กายภาวนาของพวกนิครนถ์คือ เปลือยกาย ใช้มือเช็ดอุจจาระ ไม่รับอาหารที่เขาเชิญให้รับ ไม่หยุดตามที่เขาเชิญให้หยุด ไม่ยินดีการนิมนต์ ไม่รับอาหารที่เขาให้แต่ปากหม้อ ไม่รับอาหารในที่มีธรณี ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์ ของหญิงที่กำลังให้ลูก ฯลฯ

3) ว่าด้วยกายภาวนาและจิตตภาวนา
แม้สุขเวทนา (ทางกาย) เกิดขึ้นแก่อริยสาวก ก็ไม่ครอบงำจิต เพราะได้อบรมกายแม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็ไม่ครอบงำจิต เพราะได้อบรมจิต ... บุคคลที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว เป็นอย่างนี้แหละ

4)
ทรงชี้แจงเรื่องเวทนาและการเข้าพบอาฬารดาบส อทุกดาบสดาบส
ทุกขเวทนา สุขเวทนา ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ตถาคต... ตถาคตปรารภความเพียรอันไม่ย่อหย่อน
มีสติตั้งมั่น แม้กายจะกระวนกระวาย ทนได้ยาก ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้า ก็มิอาจ ครอบงำจิตได้

5) อุปมา ๓ ข้อ
ข้อ ๑ เหมือนไม้สด มียาง ที่วางไว้ในน้ำ 
ข้อ ๒ เหมือนไม้สด มียาง ที่วางไว้บนบก
ข้อ ๓ เหมือนไม้แห้งสนิท ที่เขาวางไว้บนบก

6) ความต่างกันในการบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ตรัสกับนิครนถ์ เรื่องการทำความเพียรอันไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่น เช่นกลั้นลมหายใจ เมื่อครั้งที่พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยา ก่อนการตรัสรู้

7) ตรัสการบรรลุวิชชาที่ ๒
- เมื่อจิตเป็นสมาธิ ตั้งมั่น ก็โน้มไปเพื่อจุตูปปาตญาณ ด้วยทิพยจักษุ ...
- เราได้บรรลุวิชชาที่ ๒ อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว...
- ก็น้อมจิตไปเพื่อ อาสวักขยญาณ รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกข์ นี้สมุทัย
- เราได้บรรลุวิชาที่ ๓ อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว ความมืดเรากำจัดเสียแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว

8) ตรัสความเป็นผู้หลงและไม่หลง
ผู้หลง เพราะเหตุยังละอาสวะทั้งหลายไม่ได้ อาสวะอันทำให้ เศร้าหมอง ให้เกิดใน ภพใหม่
ผู้ไม่หลง เพราะเหตุละเสียได้ ซึ่ง อาสวะทั้งหลาย
ตถาคต ละเสียได้แล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว เหมือนต้นตาลยอดด้วน ทำไม่ให้เกิด สืบไป

9) สัจจกนิครนถ์ สรรเสริญพระผู้มีพระภาค
สัจจกนิครนถ์ ชื่นชม อนุโมทนา พระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 

           
1)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๑๐-๓๒๔

๖. มหาสัจจกสูตร
สัจจกนิครนถ์ทูลถามปัญหา
นิครนถ์...สมณะพราหมณ์บางพวก หมั่นเจริญ กายภาวนา แต่ไม่ได้เจริญจิตภาวนา เขาย่อม ประสบทุกขเวทนาอันเกิดในกาย นั่นเป็นเพราะอะไร? พ. เป็นเพราะไม่อบรมจิต
นิครนถ์...สมณะพราหมณ์บางพวก หมั่นเจริญ จิตภาวนา แต่ไม่ได้เจริญกายภาวนา เขาย่อม ประสบทุกขเวทนาอันเกิดในจิต นั่นเป็นเพราะอะไร? พ. เป็นเพราะไม่อบรมจิต

           [๔๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี. ก็สมัยนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงนุ่งดีแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร มีพระพุทธประสงค์ จะเสด็จเข้าไปเพื่อบิณฑบาต ในเมืองเวสาลี เวลานั้ สัจจกนิครนถ์ ผู้เป็นนิคันถบุตร เมื่อเที่ยวเดิ เพื่อยืดแข้งขา ได้เข้าไปที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน.

           ท่านพระอานนท์ ได้เห็นสัจจกนิครนถ์ กำลังเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้ว จึงทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัจจกนิครนถ์นี้ เป็นนักโต้ตอบ พูดยกตนว่า เป็นนักปราชญ์ ชนเป็นอันมาก ยอมยกว่า เป็นผู้มีความรู้ดี เขาปรารถนาจะติเตียน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค ทรงพระกรุณาประทับอยู่สักครู่หนึ่งเถิด.

           พระผู้มีพระภาค จึงประทับอยู่บนอาสนะ ที่เขาปูถวาย. ขณะนั้น สัจจกนิครนถ์ เข้าไปถึง ที่พระผู้มีพระภาค ประทับ ครั้นแล้วทูลปราศรัยกับพระองค์ ครั้นผ่านการ ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

           [๔๐๖] สัจจกนิครนถ์ ครั้นนั่งแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า พระโคดมผู้เจริญ มีสมณะและพราหมณ์พวกหนึ่ง หมั่นประกอบกายภาวนา*อยู่ แต่หาได้หมั่นประกอบ จิตภาวนาไม่ สมณะและพราหมณ์พวกนั้น ย่อมประสบทุกขเวทนา อันเกิดในสรีรกาย
(กายภาวนา เช่นรักษากายให้แข็งแรง ฝึกทักษะการใช้กาย การใช้มือ ใช้นิ้วให้คล่อง)

           พระโคดมผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว เมื่อบุคคลอันทุกขเวทนา อันเกิดในสรีรกาย กระทบเข้าแล้ว ความขัดขาจักมีบ้าง หทัยจักแตกบ้าง เลือดอันร้อนจักพลุ่งออกจาก ปากบ้าง (พวกที่บำเพ็ญกายภาวนานั้น) จักถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่านบ้าง จิตอันหันไป ตามกายของผู้นั้น ก็เป็นไปตามอำนาจกาย.

           นั่นเป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะไม่อบรมจิต

           พระโคดมผู้เจริญ มีสมณะ และพราหมณ์พวกหนึ่ง หมั่นประกอบจิตตภาวนาอยู่ แต่หาได้หมั่นประกอบกายภาวนาไม่. สมณะและพราหมณ์พวกนั้น ย่อมประสพ ทุกขเวทนา อันเกิดขึ้นในจิต.

           พระโคดมผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว เมื่อบุคคล อันทุกขเวทนา อันเกิดขึ้นในจิต กระทบเข้าแล้ว ความขัดขา จักมีบ้าง หทัยจะแตกบ้าง เลือดอันร้อนจัด พลุ่งออกจากปาก (พวกที่บำเพ็ญจิตตภาวนานั้น) จักถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่านบ้าง กายอันหันไปตามจิต ของผู้นั้น ก็เป็นไปตามอำนาจจิต.

           นั่นเป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะไม่อบรมกาย

           พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีความดำริว่า หมู่สาวกของพระโคดม ย่อมหมั่น ประกอบจิตตภาวนาอยู่ โดยแท้ แต่หาหมั่นประกอบกายภาวนาอยู่ไม่


2)
กายภาวนาของพวกนิครนถ์

กายภาวนาของพวกนิครนถ์คือ
 เปลือยกาย ใช้มือเช็ดอุจจาระ ไม่รับอาหารที่เขาเชิญ ให้รับ ไม่หยุดตามที่เขาเชิญให้หยุด ไม่ยินดีการนิมนต์ ไม่รับอาหารที่เขาให้แต่ปากหม้อ ไม่รับอาหารในที่มีธรณี ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์ ของหญิงที่กำลังให้ลูก ฯลฯ

           [๔๐๗] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ กายภาวนาท่านฟังมาแล้ว อย่างไร?

           สัจจกนิครนถ์ทูลว่า พระโคดมผู้เจริญ ท่านนันทะผู้วัจฉโคตร ท่านกิสะ ผู้สังกิจจโคตร ท่านมักขลิผู้โคสาล ก็ท่านเหล่านี้เป็นผู้เปลือยกาย ปล่อยมารยาทดีเสีย เช็ดอุจจาระที่ถ่ายด้วยมือ ไม่ไปรับภิกษา ตามที่เขาเชิญ ให้รับ ไม่หยุดตามที่เขาเชิญ ให้หยุด ไม่ยินดีภิกษา ที่เขานำมาให้ ไม่ยินดีภิกษาที่เขาเจาะจงให้ ไม่ยินดีการ นิมนต์ ไม่รับภิกษาที่เขาให้แต่ ปากหม้อ ไม่รับภิกษาที่เขาให้แต่ปากกระเช้า ไม่รับภิกษาในที่มี ธรณีและมี ท่อนไม้ หรือมีสาก อยู่ในระหว่าง ไม่รับภิกษาของคน ๒ คนที่กำลังกินอยู่ ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ของหญิง ที่กำลังให้ลูกดื่มนม ของหญิงที่มีชู้ ไม่รับภิกษา ที่เขานัดกันทำ ในที่ที่เขาเลี้ยงสุนัขไว้ และในที่มีหมู่ แมลงวันตอม ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มน้ำที่เขาหมักแช่ ด้วยสัมภาระ รับภิกษา ที่เรือนเดียวบ้าง รับเฉพาะคำเดียวบ้าง รับที่เรือนสองหลังบ้าง รับเฉพาะ สองคำบ้าง ฯลฯ รับที่เรือนเจ็ดหลังบ้าง รับเฉพาะเจ็ดคำบ้าง เลี้ยงตนด้วยภิกษาอย่างเดียว บ้าง สองอย่างบ้าง ฯลฯ เจ็ดอย่างบ้าง กลืนอาหาร ที่เก็บไว้ วันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง ฯลฯ เจ็ดวันบ้าง หมั่นประกอบเนืองๆ ในอันกินภัตตามวาระ แม้มีวาระ ครึ่งเดือน เห็นปานนี้ ย่อมอยู่ดังนี้.

           พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลเหล่านั้น เลี้ยงตนด้วยภัตเท่านั้น อย่างเดียวหรือ?
           ส. ไม่เป็นดังนั้น พระโคดมผู้เจริญ บางทีท่านเหล่านั้น เคี้ยวของควรเคี้ยว อย่างดีๆ กินโภชนะอย่างดีๆ ลิ้มของลิ้มอย่างดีๆ ดื่มน้ำอย่างดีๆ ให้ร่างกายนี้มีกำลัง เจริญ อ้วนพีขึ้นๆ

           พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ พวกเหล่านั้น ละทุกกรกิจอย่างก่อนแล้ว บำรุงกายนี้ ภายหลัง เมื่อเป็นอย่างนั้น กายนี้ก็มี ความเจริญและความเสื่อมไป.


3)
ว่าด้วยกายภาวนาและจิตตภาวนา
ดูกรอัคคิเวสสนะ ปุถุชนผู้มิได้สดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น เขาถูกสุขเวทนา กระทบเข้าแล้ว มีความยินดีในสุขเวทนา และถึงความเป็นผู้ยินดีในสุขเวทนา ... เพราะสุขเวทนาดับ ก็มีทุกขเวทนา เกิดขึ้น เขาถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ก็เศร้าโศก แม้สุขเวทนาเกิดขึ้นแล้ว ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้ อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแล้ว ก็ครอบงำจิต ตั้งอยู่ เพราะเหตุที่มิได้อบรมจิต
แม้สุขเวทนา (ทางกาย)เกิดขึ้นแก่อริยสาวก ก็ไม่ครอบงำจิต เพราะได้อบรมกายแม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็ไม่ครอบงำจิต เพราะได้อบรมจิต ... บุคคลที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว เป็นอย่างนี้แหละ

           [๔๐๘] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ จิตตภาวนาท่าน ได้ฟัง มาแล้ว อย่างไร?

           สัจจกนิครนถ์ อันพระผู้มีพระภาค ตรัสถามในจิตตภาวนา ไม่อาจทูลบอกได้.

           ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสกะสัจจกนิครนถ์ดังนี้ว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ กายภาวนา ก่อนนั้น ท่านเจริญแล้ว แม้กายภาวนานั้น ไม่ประกอบด้วยธรรม ในอริยวินัย ท่านยังไม่รู้จัก แม้กาย ภาวนา จักรู้จักจิตตภาวนาแต่ไหน ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลที่มี กาย มิได้อบรมแล้ว มีจิตมิได้ อบรมแล้ว และที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว เป็นได้ ด้วยเหตุอย่างไร ท่านจงฟังเหตุนั้นเถิด จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว.

           สัจจกนิครนถ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว

           [๔๐๙] พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ ก็บุคคลที่มีกาย มิได้อบรม มีจิตมิได้อบรม เป็นอย่างไร? ดูกรอัคคิเวสสนะ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้มิได้สดับ มีสุขเวทนา เกิดขึ้น เขาถูกสุขเวทนา กระทบเข้าแล้ว มีความยินดีนักในสุขเวทนา และถึงความเป็นผู้ ยินดีนัก ในสุขเวทนาสุขเวทนา ของเขานั้น ย่อมดับไปเพราะสุขเวทนาดับ ก็มีทุกขเวทนา เกิดขึ้น เขาถูกทุกขเวทนา กระทบเข้า แล้ว ก็เศร้าโศก ลำบากใจ รำพัน คร่ำครวญ ตบอก ถึงความหลงไหล แม้สุขเวทนานั้น เกิดขึ้นแก่เขาแล้ว ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุ ที่มิได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแล้ว ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหุที่มิได้อบรมจิต ดูกรอัคคิเวสสนะ แม้สุขเวทนาเกิดขึ้น แก่ปุถุชน คนใดคนหนึ่ง ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ มิได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนา เกิดขึ้น ก็ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุ ที่มิได้ อบรมจิตทั้งสอง อย่างดังนี้ ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลที่มีกาย มิได้อบรม มีจิต มิได้อบรม เป็นอย่างนี้แหละ.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ ก็บุคคลที่มีกายอบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้วเป็นอย่างไร? ดูกรอัคคิเวสสนะ อริยสาวก ในธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับ มีสุขเวทนาเกิดขึ้น เขาถูกสุขเวทนา กระทบเข้าแล้ว ไม่มีความยินดีนัก ในสุขเวทนา และไม่ถึงความเป็นผู้ยินดีนัก ในสุขเวทนา สุขเวทนาของเขา นั้น ย่อมดับไป เพราะสุขเวทนาดับ ก็มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เขาถูกทุกขเวทนา กระทบเข้าแล้ว ก็ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่รำพัน คร่ำครวญ ตบอก ไม่ถึงความหลงไหล แม้สุขเวทนานั้น เกิดขึ้นแก่อริยสาวกแล้ว ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้ อบรมจิต ดูกรอัคคิเวสสนะ แม้สุขเวทนาเกิดขึ้น แก่อริยสาวก ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็ไม่ครอบงำจิต ตั้งอยู่ เพราะเหตุที่ได้อบรมกาย แม้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็ไม่ครอบงำจิต ตั้งอยู่ เพราะเหตุ ที่ได้อบรมจิต ทั้งสองอย่างนี้ ดังนี้ ดูกรอัคคิเวสสนะ บุคคลที่มี กายอบรมแล้ว มีจิตอบรม แล้วเป็นอย่างนี้แหละ.

           สัจจกนิครนถ์ทูลว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสต่อพระโคดม เพราะ พระโคดม มีกาย อบรมแล้ว มีจิตอบรมแล้ว.


4)
ทรงชี้แจงเรื่องเวทนาและการเข้าพบอาฬารดาบส และอทุกดาบสดาบส
(ทุกขเวทนา สุขเวทนา ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ตถาคต เพราะ)

           [๔๑๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ วาจานี้ท่านนำมาพูดเทียบ กับเราโดยแท้ แต่ว่าเราจะบอกแก่ท่าน ดูกรอัคคิเวสสนะ เมื่อใดแลเราปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อนั้น จิตของเรานั้นถูกสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น ครอบงำ ตั้งอยู่ หรือถูกทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้น ครอบงำ ตั้งอยู่ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ ที่จะมีได้เลย.

           ส. สุขเวทนาอันเกิดขึ้น ที่พอจะครอบงำจิตตั้งอยู่ หรือทุกขเวทนาอันเกิดขึ้น ที่พอจะครอบงำ จิต ตั้งอยู่ เวทนาเช่นนั้น ย่อมไม่เกิดขึ้น แก่พระโคดมผู้เจริญโดยแท้.

           [๔๑๑] พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ทำไมเวทนาทั้ง ๒ นั้น จะไม่พึงมีแก่เรา

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เราจะเล่าให้ฟัง เมื่อเรายังเป็นโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ ก่อนตรัสรู้ ได้มีความดำริดังนี้ว่า ฆราวาส เป็นที่คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง การที่เราอยู่ครองเรือน จะประพฤติ พรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์ดุจสังข์ที่เขาขัดแล้ว ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็น บรรพชิต สมัยต่อมา เรากำลังเป็นหนุ่มมีเกศา ดำสนิท ยังหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย เมื่อพระมารดาและพระบิดาไม่ปรารถนา จะให้บวชมี พระพักตร์ อาบด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ได้ปลงผมและหนวดแล้ว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต.

           เมื่อบวชแล้ว ก็เสาะหาว่า อะไรเป็นกุศล เมื่อแสวงหาทางอันสงบอย่าง ประเสริฐ เยี่ยม จึงเข้าไปถึงสำนักท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร แล้วกล่าวกะอาฬารดาบส ดังนี้ว่า ท่านกาลามะ ข้าพเจ้า ปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้.

           เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร จึงกล่าวกะเราว่า เชิญท่านอยู่เถิด ธรรมที่วิญญูชนพึงบรรลุอยู่ เพราะทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งเอง ตามแบบ อาจารย์ของตน ต่อกาลไม่นานนี้ ก็เช่นเดียวกัน. เราก็ศึกษาธรรมนั้นเร็วไว มิได้ช้า.

           ชั่วขณะหุบปากเจรจาปราศรัยเท่านั้น ก็กล่าวได้ซึ่งญาณวาทและเถรวาท และทั้งเราทั้งผู้อื่น ก็ทราบชัดว่า เรารู้เราเห็น. เราจึงดำริต่อไปว่า ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร ไม่บอกธรรมนี้ว่า เราทำให้แจ้ง ด้วยความรู้ ยิ่งเอง แล้วเข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุสักว่า ความเชื่ออย่างเดียว โดยที่แท้ ทานอาฬารดาบส กาลามโคตร ก็รู้เห็นธรรมนี้อยู่.

           ครั้งนั้นเราเข้าไปหาท่านอาฬารดาบส กาลามโคตรแล้วถามว่า ท่านกาลามะ ท่านทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมนี้ ด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วจึงบอกด้วยเหตุเท่าไร? เมื่อเรา ถามอย่างนี้แล้ว ท่านอาฬารดาบสก็บอกสมาบัติชั้นอากิญจัญญาตนะ.

           เราจึงดำริว่า มิใช่มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาแต่ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร เท่านั้น แม้เราก็มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาเหมือนกัน ถ้ากระไร เราพึงพากเพียร เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตรบอกว่า เราทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งเอง แล้วเข้าถึงอยู่. เราก็ทำให้แจ้งซึ่งธรรมนั้น ด้วยความรู้ ยิ่งเอง เข้าถึงอยู่เร็วไว มิได้เนิ่นช้า.

           ครั้งนั้นเราเข้าไปหาท่าน อาฬารดาบสกาลามโคตรแล้ว ถามว่า ท่านกาลามะ ท่านทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมนี้ ด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วจึงบอก ด้วยเหตุเท่านี้หรือ?

           ท่านอาฬารดาบสก็บอกว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราทำให้แจ้งซึ่งธรรมนี้ ด้วยความรู้ ยิ่งเอง บรรลุแล้วจึงบอก ด้วยเหตุเท่านี้แหละ. เราจึงบอกว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ แม้ข้าพเจ้า ก็ทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมนี้ด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วอยู่ ด้วยเหตุเท่านี้.

           ท่านอาฬารดาบสกล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุ เป็นลาภของพวกเรา พวกเราได้ดีแล้ว ที่ได้เห็น สพรหมจารี เช่นท่าน เราทำให้แจ้งซึ่งธรรมใด ด้วยความรู้ยิ่งเองบรรลุแล้ว จึงบอกได้ ท่านก็ทำ ให้แจ้งซึ่งธรรมนั้น ด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วอยู่ท่านทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมใดด้วย ความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วอยู่ เราก็ทำให้แจ้งซึ่งธรรมนั้นด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วจึงบอก ด้วยประการดังนี้ เรารู้ธรรมใด ท่านก็รู้ธรรมนั้น ท่านรู้ธรรมใด เราก็รู้ ธรรมนั้น เป็นอันว่าเราเช่นใด ท่านก็รู้เช่นนั้น ท่านเช่นใด เราก็เช่นนั้น ด้วยประการดังนี้ มาเถิด บัดนี้ เราทั้งสองจะอยู่ร่วมกันปกครองคณะนี้.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร ทั้งที่เป็นอาจารย์เรา ก็ยกย่อง เรา ผู้เป็นศิษย์ เสมอ ด้วยตนด้วย บูชาเราด้วยการบูชาอย่างดีด้วย. เราจึงมีความแน่ใจว่า ธรรมนี้ไม่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความ สงบ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อ ความตรัสรู้พร้อม เพื่อนิพพาน เพียงแต่เป็นไปเพื่อความเข้าถึง อากิญจัญญายตนภพ เท่านั้น.เราไม่พอใจธรรมนั้นระอาธรรมนั้น จึงหลีกไป.

           [๔๑๒] ดูกรอัคคิเวสสนะ เราเสาะหาว่า อะไรเป็นกุศล เมื่อแสวงหาทางอันสงบ อย่างประเสริฐ เยี่ยม จึงเข้าไปถึงสำนักท่านอุททกดาบสรามบุตร แล้วกล่าวว่า ท่านรามะ ข้าพเจ้าปรารถนา จะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้.

           เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านอุททกดาบส รามบุตรจึงกล่าวกะเราว่า เชิญท่านอยู่เถิด ธรรมที่ วิญญูชน พึงบรรลุเพราะทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งเอง ตามแบบอาจารย์ของตนอยู่ต่อกาลไม่นาน นี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน.

           เราก็ศึกษาธรรมนั้นเร็วไวมิได้ช้า.ชั่วขณะหุบปากเจรจาปราศรัยเท่านั้น ก็กล่าวได้ ซึ่งญาณวาท และเถรวาท และทั้งเรา ทั้งผู้อื่นก็ทราบชัดว่า เรารู้เราเห็น. เราจึงดำริต่อไป ว่า ท่านรามะ ไม่บอก ว่า ธรรมนี้เราทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งเอง แล้วเข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุ สักว่าความเชื่อ อย่างเดียว โดยที่แท้ ท่านรามะก็รู้เห็นธรรมนี้อยู่.

           ครั้งนั้น เราเข้าไปหาท่านอุททกดาบส รามบุตร แล้วถามว่า ท่านรามะ ท่านทำ ให้แจ้งซึ่งธรรมนี้ ด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วจึงบอก ด้วยเหตุเท่าไร? เมื่อเราถามอย่า

           ท่านอุททกดาบสกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เป็นลาภของพวกเรา พวกเราได้ดี แล้ว ที่ได้เห็น สพรหมจารีเช่นท่าน เราทำให้แจ้งซึ่งธรรมใด ด้วยความรู้ยิ่งเองบรรลุแล้ว จึงบอก ท่านก็ทำ ให้แจ้ง ซึ่งธรรมนั้น ด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วอยู่ ท่านทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมใด ด้วยความรู้ ยิ่งเอง บรรลุแล้วอยู่ เราก็ทำให้แจ้งซึ่งธรรมนั้นด้วยความรู้ยิ่งเอง บรรลุแล้วจึงบอก ด้วยประการ ดังนี้ เรารู้ธรรมใด ท่านก็รู้ธรรมนั้น ท่านรู้ธรรมใด เราก็รู้ ธรรมนั้น เป็นอันว่า เราเช่นใด ท่านก็เช่นนั้น ท่านเช่นใด เราก็เช่นนั้น ด้วยประการ ดังนี้ มาเถิด บัดนี้ เราทั้ง ๒ จะอยู่ร่วมกันปกครองคณะนี้

           ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านอุททกดาบส รามบุตรทั้งที่เป็นอาจารย์เรา ก็ยกย่องเรา ผู้เป็นศิษย์ เสมอด้วยตนด้วย บูชาเราด้วยการบูชาอย่างดีด้วย. เราจึงมีความแน่ใจว่า ธรรม (สมาบัติ ๘) นี้ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้พร้อม เพื่อนิพพาน เพียงแต่ เป็นไปเพื่อความ เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนภพเท่านั้น. เราไม่พอใจธรรมนั้น ระอาธรรมนั้น จึงได้หลีกไป

           [๔๑๓] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรานั้นแล เสาะหาว่าอะไรเป็นกุศล เมื่อแสวงหาทาง อันสงบ อย่างประเสริฐเยี่ยม จึงเที่ยวจาริกไปในมคธชนบท โดยลำดับ ก็ลุถึงตำบล อุรุเวลาเสนานิคมได้เห็นภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ แนวป่าเขียวสดเป็นที่เบิกบานใจ แม่น้ำไหล มีน้ำใสสะอาด มีท่าน้ำสะอาดดี น่ารื่นรมย์ โคจรคามก็ตั้งอยู่โดยรอบ จึงดำริว่า ภูมิภาคน่า รื่นรมย์ แนวป่าเขียวสดเป็นที่เบิกบานใจ แม่น้ำไหล มีน้ำใสสะอาด มีท่าน้ำสะอาดดี น่ารื่นรมย์ โคจรคามก็ตั้งอยู่โดยรอบ สถานที่เช่นนี้ เป็นที่สมควรบำเพ็ญเพียรแห่งกุลบุตร ผู้ต้องการจะบำเพ็ญเพียร จึงนั่งลงณ ที่นั้น ด้วยคิดว่า ที่นี้เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร.


5)
อุปมา ๓ ข้อ

ข้อ ๑ เหมือนไม้สด มียาง ที่วางไว้ในน้ำ บุรุษถือเอาไม้มาสีกัน หวังให้ไฟปรากฎ ได้หรือ หนอ? สัจจกนิครนถ์ .. ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย ...
สมณะ หรือพราหมณ์แม้หลีกออกจากกาม ด้วยกายแล้ว แต่ยังมีความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหายและความ กระวนกระวาย เพราะกามในกามทั้งหลายยังมิได้ละ

ข้อ ๒ เหมือนไม้สด มียาง ที่วางไว้บนบก ห่างจากน้ำ บุรุษเอาไม้มาสีกัน หวังให้ไฟ ปรากฏ ได้หรือหนอ? สัจจกนิครนถ์ทูลว่า...ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย ...
สมณะหรือพราหมณ์ แม้หลีกออก จากกาม ด้วยกายแล้ว แต่ยังมีความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหายและความ กระวน กระวาย เพราะกามในกามทั้งหลายยังมิได้ละ

ข้อ ๓ เหมือนไม้แห้งสนิท ที่เขาวางไว้บนบก ห่างจากน้ำ บุรุษเอาไม้มาสีกัน หวังให้ไฟ ปรากฏขึ้น …ได้หรือหนอ? สัจจกนิครนถ์ทูลว่า...ข้อนี้เป็นไปได้เลย
สมณะหรือพราหมณ์ หลีกออกจากกามด้วยกายแล้ว ทั้งละและระงับความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความระหาย และความกระวนกระวาย เพราะกามในกามทั้งหลายเสียด้วยดี ใน ภายในแล้ว

(ไม้แห้ง อุปมาเหมือนละกามได้แล้ว ไม่รู้สึกพอใจในกามทางกาย ไม้ย่อมติดไฟ)

           [๔๑๔] ดูกรอัคคิเวสสนะ ครั้งนั้น อุปมา ๓ ข้อ อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักเรา ไม่เคย ได้ยินมาในกาลก่อน มาปรากฏแจ่มแจ้งแก่เรา.

           อุปมาข้อ ๑ ว่า เปรียบเหมือนไม้สด มียางที่เขาวางไว้ในน้ำ. บุรุษถือเอาไม้สีไฟ มาสีเข้าด้วยหวังว่า เราจักให้ไฟ เกิดปรากฏขึ้น. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความ ข้อนั้น เป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้สีไฟสี ลงที่ไม้สดมียางที่เขาวางไว้ในน้ำ พึงให้ไฟเกิด ปรากฏขึ้นได้บ้างหรือหนอ?

           สัจจกนิครนถ์ทูลว่า ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะไม้สดนั้น มียาง ทั้งเขาวางไว้ในน้ำ บุรุษนั้นก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อย ลำบากเปล่า

           พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ยังไม่หลีกออกจากกาม ด้วยกาย ยังมีความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหาย และความกระวนกระวาย เพราะกาม ในกามทั้งหลาย ยังมิได้ละ และมิได้ระงับคืนเสียด้วยดีในภายใน.

           สมณะหรือพราหมณ์ ผู้เจริญเหล่านั้น แม้เสวยทุกขเวทนา ที่กล้า หยาบ เผ็ดร้อน อันเกิดขึ้น เพราะความเพียรก็ดี หรือไม่ได้เสวยทุกขเวทนา เช่นนั้นก็ดี ก็เป็นผู้ไม่ควรเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อความตรัสรู้ดีอันประเสริฐ.

           นี้แลอุปมาข้อที่ ๑ อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เราไม่เคยฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏ แจ่มแจ้งแล้วแก่เรา.

           [๔๑๕] อุปมาข้อที่ ๒ ว่า เปรียบเหมือนไม้สด มียางที่เขาวางไว้บนบก ห่างจาก น้ำ. บุรุษถือเอาไม้สีไฟมาสี เข้าด้วยหวังว่า เราจักให้ไฟเกิดปรากฏขึ้น.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้สีไฟสีลงที่ไม้สด มียาง ที่เขาวางไว้บนบก ห่างจากน้ำ พึงให้ไฟเกิดปรากฏขึ้นได้บ้าง หรือหนอ?

           สัจจกนิครนถ์ทูลว่า ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะไม้สดอันมียาง ถึงเขาวางไว้บนบกห่างจากน้ำ บุรุษนั้นก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อย ลำบากเปล่า.

           พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง แม้หลีกออกจากกาม ด้วยกายแล้ว แต่ยังมีความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความกระหาย และความกระวนกระวาย เพราะกาม ในกามทั้งหลาย ยังมิได้ละ และมิได้ ระงับคืนเสียด้วยดีภายใน.

           สมณะ หรือ พราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น แม้เสวยทุกขเวทนาที่กล้า หยาบ เผ็ดร้อน อันเกิดขึ้น เพราะความเพียร ก็ดี หรือไม่ได้เสวยทุกขเวทนา เช่นนั้นก็ดี ก็เป็นผู้ไม่ควร เพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อความตรัสรู้ดีอันประเสริฐ. นี้แลอุปมาข้อที่ ๒ อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ที่เราไม่เคยฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏแจ่มแจ้งแล้วแก่เรา.

           [๔๑๖] อุปมาข้อที่ ๓ อื่นอีกว่า เปรียบเหมือนไม้อันแห้งสนิท ที่เขาวางไว้บนบก ห่างจากน้ำ. บุรุษถือเอาไม้ สีไฟ มาสีเข้าด้วยหวังว่า เราจักให้ไฟเกิดปรากฏขึ้น. ดูกรอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเอาไม้สีไฟ สีลงที่ไม้อัน แห้งสนิท ที่เขาวางไว้บนบกห่างจากน้ำ พึงให้ไฟเกิด ปรากฏขึ้นได้บ้าง หรือหนอ?

           สัจจกนิครนถ์ทูลว่า เป็นอย่างนั้น พระโคดมผู้เจริญ นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะ ไม้แห้งสนิท ทั้งเขาวางไว้ บนบกห่างจากน้ำ

            ดูกรอัคคิเวสสนะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง หลีกออกจากกาม ด้วยกายแล้ว ทั้งละและระงับความพอใจ ความรักใคร่ ความหลง ความระหายและความกระวนกระวายเพราะกาม ในกามทั้งหลายเสียด้วยดีในภายในแล้ว. สมณะหรือพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น แม้เสวยทุกขเวทนาที่กล้า หยาบ เผ็ดร้อน อันเกิดขึ้น เพราะความเพียรก็ดีหรือไม่ได้เสวยทุกขเวทนาเช่นนั้นก็ดี ก็เป็นผู้ควรเพื่อรู้ เพื่อเห็น และเพื่อความตรัสรู้ดีอันประเสริฐ.

           นี้แลอุปมาข้อที่ ๓ อันน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เราไม่เคยฟังมาในกาลก่อน มาปรากฏ แจ่มแจ้งแล้วแก่เรา. อุปมาทั้ง ๓ ข้ออันไม่น่าอัศจรรย์ เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อน เหล่านี้แหละ มาปรากฏแจ่มแจ้งแล้วแก่เรา.


พระผู้มีพระภาค ปรารภความเพียรอันไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่น แม้กายจะกระวนกระวาย ทนได้ยาก ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างแรงกล้า ก็มิอาจครอบงำจิตได้

          [๔๑๗] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรานั้นมีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงกดฟันด้วยฟัน เอาลิ้นดันเพดานไว้ให้แน่น เอาจิตข่มคั้นจิตให้เร่าร้อน. เรานั้นก็กดฟันด้วยฟัน เอาลิ้นดัน เพดานไว้แน่น เอาจิตข่มคั้นจิตให้เร่าร้อน เมื่อเราทำดังนั้นเหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง. เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง จับบุรุษที่มีกำลังน้อยกว่า ที่ศีรษะหรือที่คอ แล้วบีบคั้นรัดไว้ให้แน่น ฉะนั้น.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เราปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่น มิได้ฟั่นเฟือน แต่มีกายกระวนกระวาย ไม่สงบระงับ เพราะความเพียร ที่ทนได้ยากเสียดแทงอยู่. แต่ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเห็นปานนี้มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.


6)
ความต่างกันในการบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ตรัสกับนิครนถ์ เรื่องการทำความเพียรอันไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่น เช่นกลั้นลมหายใจ เมื่อครั้งที่พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยา ก่อนการตรัสรู้

           [๔๑๘] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงเจริญฌาน อันไม่มี ลมปราณเถิด เราก็กลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปาก และทางจมูก. เมื่อเรา กลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปาก และทางจมูก ลมก็ออกทางช่องหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ๆ เหมือนเสียงสูบ ช่างทองที่เขาสูบอยู่ ฉะนั้น.

ดูกรอัคคิเวสสนะ เราปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน แต่มีกาย กระวนกระวาย ไม่สงบระงับ เพราะความเพียร ที่ทนได้ยาก เสียดแทงอยู่ แต่ทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นเห็นปานนี้ มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.

           [๔๑๙] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงเจริญฌาน อันไม่มี ลมปราณเถิด. เรากลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปาก ทางจมูก. และทาง ช่องหู. เมื่อเรากลั้นลมหายใจออก และลมหายใจเข้าทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู ลมเป็นอันมาก ก็เสียดแทงศีรษะ เหมือนบุรุษที่มีกำลัง เอามีดโกนที่คมเชือดศีรษะ ฉะนั้น.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อนมีสติตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน แต่มีกายกระวนกระวาย ไม่สงบระงับ เพราะความเพียร ที่ทนได้ยากเสียดแทงอยู่. แต่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เห็นปานนี้ มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.

           [๔๒๐] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงเจริญฌาน อันไม่มี ลมปราณเถิด. เราก็กลั้นลมหายใจออก และลมหายใจเข้าทางปาก ทางจมูก และทาง ช่องหู. เมื่อกลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู ก็มีทุกขเวทนาในศีรษะ เป็นอันมาก เหมือนบุรุษที่มีกำลังเ อาเชือกหนังอันมั่น รัดเข้า ที่ศีรษะ ฉะนั้น.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เราปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อนมีสติตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน แต่มี กายกระวนกระวาย ไม่สงบระงับ เพราะความเพียรที่ทนได้ยาก เสียดแทงอยู่. แต่ทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นเห็นปานนี้ มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.

           [๔๒๑] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงเจริญฌาน อันไม่มีลม ปราณเถิด. เราก็กลั้นลมหายใจออก และลมหายใจเ ข้าทางปาก ทางจมูก และทาง ช่องหู. เมื่อกลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปากทางจมูก และทางช่องหู ก็มีลมเป็นอันมากบาดท้อง เหมือนนายโคฆาต หรือลูกมือ ของนายโคฆาตผู้ฉลาด เอามีดสำหรับแล่โคที่คม เถือแล่ท้อง ฉะนั้น.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เราปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน แต่มีกายกระวนกระวาย ไม่สงบระงับ เพราะความเพียร ที่ทนได้ยากเสียดแทงอยู่. แต่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเห็นปานนี้ มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.

           [๔๒๒] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงเจริญฌาน อันไม่มี ลมปราณเถิด. เราก็กลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปาก ทางจมูก และทาง ช่องหู เมื่อเรากลั้นลมหายใจออก และลมหายใจ เข้าทางปาก ทางจมูก และทางช่องหู ก็มีความเร่าร้อน ในร่างกายเป็นอันมาก เหมือนบุรุษที่มีกำลัง ๒ คนช่วยกันจับบุรุษ คนหนึ่ง ที่มีกำลังน้อยกว่า ที่แขนทั้ง ๒ ข้างแล้ว ให้เร่าร้อน อบอ้าวอยู่ ใกล้หลุม ถ่านเพลิง ฉะนั้น.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เราปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน มีสติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน แต่มีกายกระวนกระวาย ไม่สงบระงับ เพราะความเพียร ที่ทนได้ยากเสียดแทงอยู่. แต่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เห็นปานนี้ มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ เทวดาทั้งหลาย เห็นเราเข้าแล้ว พากันกล่าวว่า พระสมณโคดม ทำกาละแล้ว. บางพวกกล่าวว่า พระสมณโคดม ยังมิได้ทำกาละ แต่ก็จะทำกาละ บางพวก กล่าวว่า พระสมณโคดมไม่ทำกาละ ทั้งจะไม่ทำกาละ พระสมณโคดม จะเป็น พระอรหันต์ การอยู่เห็นปานนี้นั้น เป็นวิหารธรรมของท่าน ผู้เป็นพระอรหันต์.

           [๔๒๓] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงปฏิบัติอดอาหารเสีย โดยประการทั้งปวงเถิด. ขณะนั้น พวกเทวดาเข้ามาหาเรา แล้วกล่าวว่าข้าแต่ท่านผู้ นิรทุกข์ ท่านอย่าปฏิบัติอดอาหาร โดยประการทั้งปวงเลย ถ้าท่านจักปฏิบัติอดอาหาร โดยประการทั้งปวง พวกข้าพเจ้าจะแทรกโอชาหาร อันเป็นทิพย์ ตามขุมขนแห่งท่าน ท่านจะได้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยโอชาหารนั้น.

            เรามีความดำริว่า เราปฏิญญา ว่าจะตัดอาหาร โดยประการทั้งปวง แต่เทวดา เหล่านี้ จะแทรกโอชาหาร อันเป็นทิพย์ ตามขุมขนแห่งเรา เราจะยังมีอัตภาพให้เป็นไป ด้วยโอชาหารนั้น การปฏิญญาไว้นั้น ก็เป็นมุสาแก่เราเอง. เราจึงกล่าวห้ามเทวดา เหล่านั้นว่า ข้อนั้นไม่ควร.

           [๔๒๔] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงกินอาหารให้น้อย ลงๆเพียงซองมือหนึ่งๆ บ้าง เท่าเยื่อในเม็ดถั่วเขียวบ้าง เท่าเยื่อในเม็ดถั่วพูบ้าง เท่าเยื่อในเม็ดถั่วดำบ้าง เท่าเยื่อในเม็ดบัวบ้าง.

           เราก็กินอาหารให้น้อยลงๆ ดังนั้นจนมีร่างกายซูบผอมยิ่งนัก เพราะเป็นผู้มีอาหาร น้อยนั้น เหลือแต่อวัยวะใหญ่น้อย เหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก หรือเถาวัลย์ที่มีข้อดำ เนื้อตะโพกก็ลีบ เหมือนกีบอูฐ กระดูกสันหลังก็ผุดเป็นหนาม เหมือนเถาวัลย์ [หนามรอบข้อ] ซี่โครงทั้ง ๒ ข้าง ขึ้นสะพรั่ง เหมือนกลอนศาลาเก่าที่สะพรั่งอยู่ ดวงตาทั้ง ๒ ก็ลึก เข้าไป ในเบ้าตา เหมือนดวงดาวในบ่อน้ำอันลึก ปรากฏอยู่ หนังศีรษะบนศีรษะ ก็เหี่ยว หดหู่ เหมือนลูกน้ำเต้าที่เขาตัดมายังดิบ ต้องลมและแดดเข้าก็เหี่ยวไป.

           เรานึกว่าจะลูบพื้นท้อง ก็จับถึงกระดูกสันหลัง เมื่อนึกว่า จะลูบกระดูกสันหลัง ก็จับถึงพื้นท้อง เพราะพื้นท้องของเรา ติดแนบถึงกระดูกสันหลัง เมื่อนึกว่า จะถ่าย อุจจาระ หรือปัสสาวะ ก็ซวนแซล้มลง ณ ที่นั้น. เมื่อจะให้กายสบายบ้าง เอาฝ่ามือ ลูบตัวเข้า ขนทั้งหลายที่มีรากเน่า ก็หลุดร่วงจากกาย เพราะเป็นผู้มีอาหารน้อย. มนุษย์ทั้งหลาย เห็นเราเข้าแล้วก็กล่าวว่า พระสมณโคดมดำไป บางพวกก็พูดว่า พระสมณโคดมไม่ดำ เป็นแต่คล้ำไป บางพวกก็พูดว่า ไม่ดำ ไม่คล้ำ เป็นแต่พร้อยไป. เรามีผิวพรรณบริสุทธิ์เปล่งปลั่ง แต่เสียผิวไป ก็เพราะเป็นผู้มีอาหารน้อยเท่านั้น.

           [๔๒๕] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า สมณะหรือพราหมณ์ เหล่าใด เหล่าหนึ่ง ในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบันนี้ ที่เสวยทุกขเวทนากล้า หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียงเท่านี้ ไม่เกินกว่านี้ขึ้นไป. แต่เราก็ยังมิได้บรรลุญาณทัสสนะ อันวิเศษที่พอแก่พระอริยะ ซึ่งยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยา อันเผ็ดร้อนนี้. ชะรอยทางแห่งความตรัสรู้ พึงเป็นทางอื่นกระมัง. เราจึงมีความดำริว่า เราจำได้อยู่ เมื่อคราวงาน ของท้าวสักกาธิบดี ซึ่งเป็นพระบิดา เรานั่งอยู่ใต้ร่มต้นหว้าอันเย็น ได้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจาก อกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนั้นพึงเป็นทางแห่ง ความตรัสรู้กระมัง. เรามีวิญญาณตามระลึก ด้วยสติว่า ทางนั้นเป็นทางแห่งความตรัสรู้. เราจึงมีความดำริว่า เรากลัวความสุข ที่เว้นจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายหรือ แล้วเราก็ดำริต่อไปว่า เราไม่กลัวสุขเช่นนั้นเลย.

           [๔๒๖] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริต่อไปว่า ความสุขนั้น เราผู้มีกาย ถึงความ ซูบผอมมาก ไม่ทำได้ง่ายเพื่อจะบรรลุ ถ้ากระไร เราพึงกินอาหารหยาบ คือข้าวสุก และกุมมาสเถิด. เราก็กินอาหารหยาบ คือข้าวสุกและกุมมาส. ครั้งนั้น ภิกษุทั้ง ๕ ที่เฝ้าบำรุงเราด้วยหวังว่า พระสมณะโคดมบรรลุธรรมใด จักบอกธรรมนั้น แก่เรา ทั้งหลาย. เมื่อใด เรากินอาหารหยาบคือข้าวสุกและ กุมมาส เมื่อนั้นภิกษุทั้ง ๕ นั้นก็ระอา หลีกไปด้วยเข้าใจว่า พระสมณโคดมมักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้ มักมาก เสียแล้ว.

           [๔๒๗] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรากินอาหารหยาบ ให้กายมีกำลังแล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่. แม้สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้. เราบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่สมาธิอยู่. เรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข. เราบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส และโทมนัสในก่อนเสียได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุ ให้สติบริสุทธิ์อยู่.

           แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้น เห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้. เราเมื่อจิตเป็น สมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ก็โน้มน้อมจิตไปเพื่อ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ. เราย่อมระลึกชาติ ที่เคยอยู่อาศัย ในก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ระลึกชาติที่เคยอยู่อาศัยได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ ทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ ในปฐมยามแห่งราตรี เราได้บรรลุวิชชาที่ ๑ อันนี้ เมื่อเรา ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่อวิชชา เรากำจัดเสียแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืด เรากำจัดเสียแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว.แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้


7)
ตรัสการบรรลุวิชชาที่ ๒
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ตั้งมั่น ก็โน้มไปเพื่อจุตูปปาตญาณ ด้วยทิพยจักษุ เราเห็นหมู่สัตว์ที่กำลัง จุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต รู้ชัดว่า สัตว์เป็นไปตามกรรม
ตรัสการบรรลุ วิชชาที่๒ อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว
เราเมื่อมีจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ตั้งมั่น ก็น้อมจิตไปเพื่อ อาสวักขยญาณ รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จิตหลุดพ้นแล้วจาก เหล่าอาสวะ จากกามาสวะ ภวาสวะ และ อวิชชาสวะ รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
บรรลุวิชาที่ ๓ อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว ความมืดเรากำจัดเสียแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว

           [๔๒๘] เราเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ก็โน้มน้อมจิตไป เพื่อจุตูปปาตญาณ. เราเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ

            ดูกรอัคคิเวสสนะ ในมัชฌิมยามแห่งราตรี เราได้บรรลุวิชชาที่ ๒ อันนี้ เมื่อเรา ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่ อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดเรากำจัดเสียแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว.แม้สุขเวทนาที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นปานนี้ ก็มิได้ครอบงำจิตเราตั้งอยู่ได้.

           [๔๒๙] เราเมื่อมีจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ก็น้อมจิตไป เพื่ออาสวักขยญาณ. ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเรารู้เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้น แล้ว ก็มีญาณว่า พ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำๆ เสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ ในปัจฉิมยามแห่งราตรี เราได้บรรลุวิชชาที่ ๓ อันนี้ เมื่อเราไม่ ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่ อวิชชาเรากำจัดเสียแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืด เรากำจัดเสียแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว. แม้สุขเวทนา ที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นปานนี้ ก็มิได้ ครอบงำ จิตเรา ตั้งอยู่ได้.

           [๔๓๐] ดูกรอัคคิเวสสนะ เรารู้เฉพาะอยู่ว่า เป็นผู้แสดงธรรมแก่บริษัทหลายร้อย. ถึงแม้บุคคลคนหนึ่งๆ สำคัญเราอย่างนี้บ้างว่า พระสมณโคดม แสดงธรรมปรารภเรา เท่านั้น. ท่านอย่าพึงเห็นอย่างนั้น พระตถาคต ย่อมแสดงธรรม แก่บุคคลเหล่านั้น โดยชอบ เพื่อประโยชน์ให้รู้แจ้งอย่างเดียว. เราประคองจิต สงบตั้งมั่น ทำให้เป็นสมาธิ ณ ภายใน ในสมาธินิมิตเบื้องต้น จนจบคาถา นั้นทีเดียว เราอยู่ด้วยผลสมาธิ เป็นสุญญะ ตลอดนิตยกาล.

           ส. ข้อนี้ ควรเชื่อต่อพระโคดม ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แต่พระโคดม ย่อมรู้เฉพาะว่า พระองค์เป็นผู้หลับในกลางวันบ้างหรือ?

           พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ เรารู้เฉพาะอยู่ว่า ในเดือนท้ายฤดูร้อน เรากลับจาก บิณฑบาต ในกาลภายหลังภัต ปูสังฆาฏิให้เป็น ๔ ชั้น แล้วเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ความหลับโดยข้างเบื้องขวา.

           ส. พระโคดมผู้เจริญ สมณะและพราหมณ์เหล่าหนึ่ง ย่อมกล่าวข้อนั้น ในความอยู่ ด้วยความหลง.

           พ. บุคคลเป็นผู้หลง หรือเป็นผู้ไม่หลง ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น หามิได้ ก็บุคคลเป็น ผู้หลงหรือเป็นผู้ไม่หลง ด้วยเหตุใด ท่านจงฟังเหตุนั้น จงทำในใจให้ดีเราจักกล่าว บัดนี้.

           สัจจกนิครนถ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว


8)
ตรัสความเป็นผู้หลงและไม่หลง
ผู้หลง เพราะเหตุยังละอาสวะทั้งหลายไม่ได้ อาสวะทั้งหลายอันทำให้ เศร้าหมอง ให้เกิดใน ภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะ ต่อไป
ผู้ไม่หลง เพราะเหตุละเสียได้ ซึ่ง อาสวะทั้งหลาย
ตถาคต ละเสียได้แล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว เหมือนต้นตาลยอดด้วน ทำไม่ให้เกิด สืบไป ไม่มีความเกิดต่อไปเป็นธรรมดา (ละภพละชาติได้แล้ว-ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป)

           [๔๓๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอัคคิเวสสนะ ก็อย่างไร บุคคลเป็นผู้หลง อาสวะทั้งหลาย อันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ ให้เกิดความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ให้มี ชาติ ชรา มรณะต่อไป บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ยังละไม่ได้แล้ว เรากล่าว บุคคล ผู้นั้นว่า เป็นผู้หลงบุคคลนั้นเป็นผู้หลง เพราะเหตุยังละอาสวะ ทั้งหลายไม่ได้ อาสวะทั้งหลาย อันทำให้เศร้าหมองให้เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติชรามรณะต่อไป บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งละเสียแล้ว เรากล่าวบุคคล ผู้นั้น ว่า เป็นผู้ไม่หลง บุคคลนั้นนับว่า เป็นผู้ไม่หลงเพราะเหตุละเสียได้ ซึ่งอาสวะ ทั้งหลาย.

           ดูกรอัคคิเวสสนะ อาสวะทั้งหลาย อันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติชรามรณะต่อไป ตถาคตละเสียได้แล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่า ต้นตาลยอดด้วน ทำไม่ให้เกิดสืบไป ไม่มีความเกิดต่อไป เป็นธรรมดา ดุจเดียวกันกับต้นตาล ที่เขาตัดยอดเสียแล้ว ไม่อาจงอกงามได้ต่อไป


9)
สัจจกนิครนถ์ สรรเสริญพระผู้มีพระภาค
สัจจกนิครนถ์ เล่าว่า เคยโตวาทะกับ ท่านปูรณะกัสสป ท่านมักขลิโคศาล ท่านอชิตะ เกสกัมพล ...ท่านปกุธะกัจจายนะ ...ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร .. ท่านนิครนถ์นาฏบุตร จนคน เหล่านั้นโกรธแค้น และพ่ายแพ้

ส่วนพระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าสนทนา กระทบกระทั่ง ทั้งไต่ถามด้วยถ้อยคำ ที่ปรุงแต่ง มาอย่างนี้ ก็มีผิวพรรณสดใส ทั้งมีสีหน้าเปล่งปลั่ง ครั้งนั้น สัจจกนิครนถ์ผู้นิคันถบุตร ชื่นชม อนุโมทนา พระภาษิตของพระผู้มี พระภาค ลุกจาก อาสนะแล้วหลีกไป

           [๔๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์ ทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า พระโคดมผู้เจริญ เรื่องที่ท่านกล่าวมานั้น น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี พระโคดมผู้เจริญ อันข้าพเจ้ามาสนทนากระทบกระทั่ง ทั้งไต่ถามด้วยถ้อยคำ ที่ปรุงแต่งมาอย่างนี้ ก็มีผิวพรรณสดใส ทั้งมีสีหน้าเปล่งปลั่ง เพราะท่านเป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ปรารภ โต้ตอบวาทะกะท่านปูรณะ กัสสป แม้ท่านปูรณะ กัสสปนั้น ปรารภโต้ตอบวาทะกับข้าพเจ้า ก็เอาเรื่องอื่นมาพูด กลบเกลื่อนเสีย และชักนำให้พูดนอกเรื่อง ทั้งทำความโกรธเคืองขัดแค้น ให้ปรากฏ

           พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ปรารภ โต้ตอบวาทะกะท่าน มักขลิ โคศาล ... ท่านอชิตะ เกสกัมพล ... ท่านปกุธะกัจจายนะ ... ท่านสัญชัย เวลัฏฐบุตร ... ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร แม้ท่านนิครนถ์ นาฏบุตรนั้น ปรารภโต้ตอบวาทะ กับข้าพเจ้า ก็เอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนเสีย และชักนำให้พูดนอกเรื่อง ทั้งทำความ โกรธเคือง ขัดแค้นใ ห้ปรากฏ ส่วนพระโคดมผู้เจริญ อันข้าพเจ้ามาสนทนา กระทบกระทั่ง ทั้งไต่ถามด้วยถ้อยคำ ที่ปรุงแต่งมาอย่างนี้ ก็มีผิวพรรณสดใส ทั้งมีสีหน้าเปล่งปลั่ง เพราะท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโคดมผู้เจริญมิฉะนั้น ข้าพเจ้าขอลาไป ในบัดนี้ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระที่ต้องทำมาก.

           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ท่านจงสำคัญกาลที่ควรในบัดนี้เถิด.

           ครั้งนั้น สัจจกนิครนถ์ ผู้นิคันถบุตร ชื่นชม อนุโมทนา พระภาษิตของพระผู้มี พระภาค ลุกจากอาสนะ แล้วหลีกไป ดังนี้แล.

จบ มหาสัจจกสูตร ที่ ๖



 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์