1)
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก [ฉบับมหาจุฬาฯ] หน้าที่ ๒๙๔-๓๑๗
๖. ปาสราสิสูตร
ว่าด้วยกองบ่วงดักสัตว์
[๒๗๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-บิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้นในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงครองอันตรวาสก ถือบาตร และ จีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น ภิกษุเป็นจำนวนมาก เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวกับ ท่านพระอานนท์ว่า “ท่านพระอานนท์ เป็นเวลานานมากแล้ว ที่พวกกระผมไม่ได้สดับ ธรรมีกถา ในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ขอโอกาสให้พวกกระผมได้สดับ ธรรมีกถา ในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเถิด”
ท่านพระอานนท์ตอบว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลาย จงไปที่อาศรมของ รัมมกพราหมณ์ ก็จักได้สดับธรรมีกถา ในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค”
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จเที่ยว บิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ได้รับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “มาเถิด อานนท์ เราจะไปพักกลางวัน ที่ปราสาท ของมิคารมาตา ในบุพพาราม”
ท่านพระอานนท์ทู ลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาค จึงเสด็จพร้อมกับ ท่านพระอานนท์ ไปพักกลางวันที่ปราสาทของมิคารมาตา ในบุพพาราม ครั้นในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่หลีกเร้น แล้วตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า
“มาเถิด อานนท์ เราจักไปสรงน้ำที่ท่าบุพพโกฏฐกะ”
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
2)
กิจของภิกษุเมื่อมีการประชุมสนทนากัน (มารยาทในการประชุม)
[๒๗๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค พร้อมกับท่านพระอานนท์ ได้ไปสรงน้ำที่ ท่า บุพพโกฏฐกะแล้ว เสด็จขึ้น(จากท่า) ทรงครองจีวรผืนเดียว ประทับยืน ผึ่งพระวรกายอยู่ ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อาศรมของ รัมมกพราหมณ์ อยู่ไม่ไกล ทั้งเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ และน่าเลื่อมใสขอพระผู้มีพระภาค เสด็จไปยังอาศรมของรัมมกพราหมณ์ เพื่อทรงอนุเคราะห์เถิดพระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ แล้วได้เสด็จเข้าไปยังอาศรมของรัมมก-พราหมณ์ สมัยนั้น ภิกษุจำนวนมาก นั่งสนทนาธรรมีกถาอยู่ ในอาศรมของรัมมกพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคประทับยืนนอกซุ้มประตู ทรงรอคอยให้ภิกษุสนทนากันจบเสียก่อน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า การสนทนาจบลงแล้ว จึงทรงกระแอมแล้วเคาะ บานประตู
ภิกษุเหล่านั้นเปิดประตูรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไป ยังอาศรมของรัมมกพราหมณ์แล้ว ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้ว จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เวลานี้เธอทั้งหลายนั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร พูดเรื่องอะไรค้างไว้ อะไรที่เธอทั้งหลายสนทนากันค้างอยู่”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรารภ พระผู้มีพระภาค แล้วสนทนาธรรมีกถาค้างอยู่ พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธาประชุมสนทนาธรรมีกถากัน นั้นเป็นเรื่อง สมควร เธอทั้งหลายผู้มาประชุมกันมีกิจที่ควรทำ ๒ ประการ คือ
(๑) การสนทนาธรรม
(๒) การเป็นผู้นิ่งอย่างพระอริยะ
3)
การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ
(แสวงหาสิ่งที่ยังมีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย..)
[๒๗๔] ภิกษุทั้งหลาย การแสวงหามี ๒ อย่าง คือ (๑) การแสวงหาที่ประเสริฐ (๒) การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ
การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ เป็นอย่างไร
คือ คนบางคนในโลกนี้ ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้ เป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีความตายเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดาอยู่อีก ตนเองมีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่อีก
ภิกษุทั้งหลาย หากเธอทั้งหลายถามว่า
อะไรเล่า เรียกว่าสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา
คือ บุตร ภรรยา ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงินเรียกว่าสิ่งที่มี ความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดาเหล่านั้น เป็นอุปธิ๑-ผู้ที่ติดพันลุ่มหลง เกี่ยวข้องในอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มี ความเกิดเป็นธรรมดาอยู่อีก
อะไรเล่า เรียกว่าสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา
คือ บุตร ภรรยา ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลาทอง เงิน เรียกว่าสิ่งที่มี ความแก่เป็นธรรมดา สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาเหล่านั้น เป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพันลุ่มหลง เกี่ยวข้องในอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองมีความแก่เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มี ความแก่ เป็นธรรมดาอยู่อีก
อะไรเล่า เรียกว่าสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
คือ บุตร ภรรยา ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงินเรียกว่าสิ่งที่มี ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาเหล่านั้น เป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลงเกี่ยวข้องในอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหา สิ่งที่ มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่อีก
อะไรเล่า เรียกว่าสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา
คือ บุตร ภรรยา ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลาทอง เงิน เรียกว่าสิ่งที่มี ความตายเป็นธรรมดา สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาเหล่านั้น เป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพันลุ่มหลง เกี่ยวข้องในอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองมีความตายเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มี ความตาย เป็นธรรมดาอยู่อีก
อะไรเล่า เรียกว่าสิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา
คือ บุตร ภรรยา ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลาทอง เงิน เรียกว่าสิ่งที่ม ีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา สิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดาเหล่านั้น เป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพันลุ่มหลงเกี่ยวข้อง ในอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าโศก เป็นธรรมดาอยู่อีก
อะไรเล่า เรียกว่าสิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา
คือ บุตร ภรรยา ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลาทอง เงิน เรียกว่าสิ่งที่มี ความ เศร้าหมองเป็นธรรมดา สิ่งที่มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพันลุ่มหลงเกี่ยวข้อง ในอุปธิเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดาอยู่อีก
นี้คือการแสวงหา ที่ไม่ประเสริฐ
4)
การแสวงหาที่ประเสริฐ
(แสวงหานิพพาน คือสิ่งที่ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย..)
[๒๗๕] การแสวงหาที่ประเสริฐ เป็นอย่างไร
คือ คนบางคนในโลกนี้
ตนเองมีความเกิด เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความ เกิดเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเกิด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษม จากโยคะ
ตนเองมีความแก่ เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความแก่ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
ตนเองมีความเจ็บไข้ เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเจ็บไข้ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
ตนเองมีความตาย เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความตาย ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
ตนเองมีความเศร้าโศก เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเศร้าโศก เป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
ตนเองมีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความ เศร้าหมอง เป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าหมอง ไม่มีธรรมอื่น ยิ่งกว่า และเกษม จากโยคะ
นี้คือการแสวงหาที่ประเสริฐ
5)
เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้
[๒๗๖] ภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนเราเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา อยู่นั่นแล ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา อยู่นั่นแล ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้ เป็นธรรมดาอยู่นั่นแล ตนเองมีความตายเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา อยู่นั่นแล ตนเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา อยู่นั่นแล ตนเองมีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดาอยู่นั่นแล
เราจึงคิดอย่างนี้ว่า ‘เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไฉนยังแสวงหาสิ่งที่มีความเกิด เป็นธรรมดาอยู่อีก’ เรามีความแก่เป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา... มีความตายเป็นธรรมดา ... มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ... มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ไฉนยังแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดาอยู่อีก’ ทางที่ดีเราเอง มีความเกิดเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา แล้วควรแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเกิด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความแก่เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แล้วควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความแก่ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความเจ็บไข้ เป็นธรรมดาแล้ว ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความเจ็บไข้ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความตายเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความตาย เป็นธรรมดา แล้ว ควรแสวงหานิพพานที่ไม่มีความตาย ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษในสิ่งที่มีความเศร้าโศก เป็นธรรมดาแล้ว ควรแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าและ เกษมจากโยคะ
เราเองมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดาแล้ว ควรแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าหมอง ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
พระองค์เข้าหาอาฬารดาบส และอุทกดาบสถึงสำนัก
6)
การเพ็ญสมาบัติในสำนักของดาบส
[๒๗๗] ภิกษุทั้งหลาย ในกาลต่อมา เรายังหนุ่มแน่น แข็งแรง มีเกศาดำสนิท อยู่ในปฐมวัย เมื่อพระราชมารดา และพระราชบิดา ไม่ทรงปรารถนาจะให้ผนวช มีพระพักตร์ นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ จึงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากวัง ผนวชเป็นบรรพชิต เมื่อผนวชแล้ว ก็แสวงหาว่าอะไร เป็นกุศล ขณะที่แสวงหาทางอันประเสริฐคือความสงบ ซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า ได้เข้าไปหา อาฬารดาบส กาลามโคตร แล้วกล่าวว่า ‘ท่านกาลามะ ข้าพเจ้าปรารถนา จะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้’
เมื่อเรากล่าวอย่างนี้ อาฬารดาบสกาลามโคตรจึงกล่าวกับเราว่า ‘เชิญท่าน อยู่ก่อน ธรรมนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับธรรม ที่วิญญูชนจะพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง ตามแบบอาจารย์ของตน เข้าถึงอยู่ได้ในเวลาไม่นาน’ จากนั้นไม่นาน เราก็เรียนรู้ธรรมนั้น ได้อย่างรวดเร็ว ชั่วขณะปิดปากจบเจรจาปราศรัยเท่านั้น ก็กล่าวญาณวาทะ๒- และ เถรวาทะ ได้ ทั้งเราและผู้อื่นก็ทราบชัดว่า ‘เรารู้ เราเห็น’ เราจึงคิดว่า‘อาฬารดาบส กาลามโคตรประกาศธรรมนี้ ด้วยเหตุเพียงความเชื่ออย่างเดียว ว่า ‘เราทำให้แจ้ง ด้วยปัญญา อันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ ก็หามิได้ แต่อาฬารดาบส กาลามโคตร ยังรู้ ยังเห็นธรรมนี้ อย่างแน่นอน’
จากนั้น เราจึงเข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรแล้วถามว่า ‘ท่านกาลามะท่าน ประกาศธรรมนี้ว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งด้วยปัญญา อันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ ด้วยเหตุเพียงท่าไร’
เมื่อเราถามอย่างนี้ อาฬารดาบส กาลามโคตร จึงประกาศ อากิญจัญญายตน สมาบัติ แก่เรา เราจึงคิดว่า ‘มิใช่แต่อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้น ที่มีศรัทธาแม้เรา ก็มีศรัทธา มิใช่แต่อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้นที่มีวิริยะ แม้เราก็มีวิริยะมิใช่แต่ อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้นที่มีสติ แม้เราก็มีสติ มิใช่แต่อาฬารดาบสกาลามโคตร เท่านั้น ที่มีสมาธิ แม้เราก็มีสมาธิ มิใช่แต่อาฬารดาบส กาลามโคตรเท่านั้นที่มีปัญญา แม้เราก็มีปัญญา ทางที่ดีเราควรบำเพ็ญเพียร เพื่อทำให้แจ้งธรรม ที่อาฬารดาบส กาลามโคตรประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งด้วยปัญญา อันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ จากนั้น ไม่นาน เราก็ทำให้แจ้งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่
จากนั้น เราจึงเข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตรแล้วถามว่า ‘ท่านกาลามะ ท่านประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนี้ ด้วยปัญญา อันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ ด้วยเหตุ เพียงเท่านี้หรือ’
อาฬารดาบส กาลามโคตรตอบว่า ‘ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าประกาศด้วยเหตุ เพียงเท่านี้แล’
(เราจึงกล่าวว่า) ‘ท่านกาลามะ แม้ข้าพเจ้าก็ทำให้แจ้งธรรมนี้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ด้วยเหตุเพียงเท่านี้’
(อาฬารดาบส กาลามโคตรกล่าวว่า) ‘ท่านผู้มีอายุ เป็นลาภของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้า ได้ดีแล้ว ที่ได้พบเพื่อนพรหมจารีเช่นท่าน เพราะข้าพเจ้าประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมใด ท่านก็ทำให้แจ้งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ท่านทำให้แจ้งธรรมใด ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่
ข้าพเจ้าก็ประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ข้าพเจ้าทราบธรรมใด ท่านก็ทราบธรรมนั้น ท่านทราบธรรมใด ข้าพเจ้าก็ทราบธรรมนั้น เป็นอันว่าข้าพเจ้า เป็นเช่นใดท่านก็เป็นเช่นนั้น ท่านเป็นเช่นใด ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นนั้น มาเถิด บัดนี้ เราทั้งสองจะอยู่ร่วมกันบริหารคณะนี้’
ภิกษุทั้งหลาย อาฬารดาบส กาลามโคตร ทั้งที่เป็นอาจารย์ของเรา ก็ยกย่องเรา ผู้เป็นศิษย์ให้เสมอกับตน และบูชาเราด้วยการบูชาอย่างดี ด้วยประการอย่างนี้ แต่เรา คิดว่า ‘ธรรมนี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงเพื่อเข้าถึง อากิญจัญญายตนสมาบัติ เท่านั้น’ เราไม่พอใจ เบื่อหน่ายธรรมนั้น จึงลาจากไปในสำนักอุทกดาบส
[๒๗๘] ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ขณะที่แสวงหาทาง อันประเสริฐ คือความสงบซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า ได้เข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้ว กล่าวว่า ‘ท่านรามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้’
เมื่อเรากล่าวอย่างนี้ อุทกดาบส รามบุตรจึงกล่าวกับเราว่า ‘เชิญท่านอยู่ก่อน ธรรมนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับธรรม ที่วิญญูชนจะพึงทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ตามแบบอาจารย์ของตนเข้าถึงอยู่ ได้ในเวลาไม่นาน’ จากนั้นไม่นาน เราก็เรียนรู้ธรรมนั้น ได้อย่างรวดเร็ว ชั่วขณะปิดปาก จบเจรจาปราศรัยเท่านั้น ก็กล่าวญาณวาทะ และ เถรวาทะได้ ทั้งเราและผู้อื่นก็ทราบชัดว่า ‘เรารู้ เราเห็น’ เราจึงคิดว่า‘อุทกดาบส รามบุตร ประกาศธรรมนี้ ด้วยเหตุเพียงความเชื่ออย่างเดียวว่า ‘เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่’ ก็หามิได้ แต่อุทกดาบส รามบุตรยังรู้ยังเห็นธรรมนี้ ด้วยอย่างแน่นอน’
7)
ในสำนักอุทกดาบส
จากนั้น เราจึงเข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้วถามว่า ‘ท่านรามะ ท่านประกาศ ว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนี้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร’
เมื่อเราถามอย่างนี้ อุทกดาบส รามบุตรจึงประกาศ เนวสัญญานาสัญญายตน สมาบัติแก่เรา เราจึงคิดว่า ‘มิใช่แต่อุทกดาบส รามบุตรเท่านั้นที่มีศรัทธา แม้เราก็มี ศรัทธา มิใช่แต่อุทกดาบส รามบุตรเท่านั้นที่มีวิริยะ แม้เราก็มีวิริยะ มิใช่แต่อุทกดาบส รามบุตรเท่านั้นที่มีสติ แม้เราก็มีสติ มิใช่แต่อุทกดาบส รามบุตรเท่านั้นที่มีสมาธิ แม้เราก็มีสมาธิ มิใช่แต่อุทกดาบส รามบุตรเท่านั้นที่มีปัญญา แม้เราก็มีปัญญา ทางที่ดี เราควรเริ่มบำเพ็ญเพียร เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่อุทกดาบส รามบุตรประกาศว่า ‘ข้าพเจ้า ทำให้แจ้งด้วยปัญญา อันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ จากนั้นไม่นาน เราก็ได้ทำให้แจ้งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่
จากนั้น เราจึงเข้าไปหาอุทกดาบส รามบุตรแล้วถามว่า ‘ท่านรามะ ท่านประกาศ ว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หรือ’
อุทกดาบส รามบุตรตอบว่า ‘ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้ง ธรรมนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล’
(เราจึงกล่าวว่า) ‘แม้ข้าพเจ้าก็ทำให้แจ้งธรรมนี้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้’
(อุทกดาบส รามบุตรกล่าวว่า) ‘ท่านผู้มีอายุ เป็นลาภของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าได้ดีแล้ว ที่ได้พบเพื่อนพรหมจารีเช่นท่าน เพราะ(ข้าพเจ้า)รามะ ประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมใด ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่’ ท่านก็ทำให้แจ้งธรรมนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ ท่านทำให้แจ้งธรรมใด ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ รามะก็ประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าทำให้แจ้งธรรมนั้น รามะทราบธรรมใด ท่านก็ทราบธรรมนั้น ท่านทราบธรรมใด รามะก็ทราบธรรมนั้น เป็นอันว่ารามะเป็นเช่นใด ท่านก็เป็นเช่นนั้น ท่านเป็นเช่นใด รามะก็เป็นเช่นนั้น มาเถิด บัดนี้ ท่านจงบริหารคณะนี้’
ภิกษุทั้งหลาย อุทกดาบส รามบุตรทั้งที่เป็นเพื่อนพรหมจารีของเรา ก็ยกย่องเรา ไว้ในฐานะอาจารย์ และบูชาเรา ด้วยการบูชาอย่างดี ด้วยประการอย่างนี้ แต่เราคิดว่า ‘ธรรมนี้ไม่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงเพื่อเข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เท่านั้น’ เราไม่พอใจ เบื่อหน่ายธรรมนั้น จึงลาจากไปตรัสรู้สัจธรรม
8)
ทรงบำเพ็ญเพียรด้วยพระองค์เอง
(ทรงแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศลเพื่อหาทางอันประเสริฐ คือความสงบ ซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า)
[๒๗๙] ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ขณะที่แสวงหาทาง อันประเสริฐ คือความสงบซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า เมื่อเที่ยวจาริกไปในแคว้นมคธ โดยลำดับ ได้ไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้เห็นภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีราวป่า น่าเพลิดเพลินใจ มีแม่น้ำไหลรินไม่ขาดสาย มีท่าน้ำสะอาดดี น่ารื่นรมย์ มีโคจรคามอยู่ โดยรอบ เราจึงคิดว่า ‘ภูมิประเทศเป็นที่น่ารื่นรมย์ มีราวป่าน่าเพลิดเพลินใจ มีแม่น้ำ ไหลริน ไม่ขาดสาย มีท่าน้ำสะอาดดี น่ารื่นรมย์ มีโคจรคามอยู่โดยรอบ เหมาะแก่การ บำเพ็ญเพียรของกุลบุตร ผู้ปรารถนาจะบำเพ็ญเพียร’
เราจึงนั่ง ณ ที่นั้นด้วยคิดว่า ‘ที่นี้เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร’
9)
ทรงแสวงหาหนทางอันประเสริฐ
(ทรงพิจารณาตามลำดับถึง ความเกิด ความแก่..และโทษ)
[๒๘๐] ภิกษุทั้งหลาย เราเองมีความเกิดเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มี ความเกิดเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาจนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่มีความเกิด ไม่มีธรรมอื่น ยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความแก่เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แล้วแสวงหา จนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่มีความแก่ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา แล้วแสวงหาจนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่มีความเจ็บไข้ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจาก โยคะ
เราเองมีความตายเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาจนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่มีความตาย ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษม จากโยคะ
เราเองมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเศร้าโศก เป็นธรรมดาแล้ว แสวงหาจนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
เราเองมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดา แล้วแสวงหาจนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าหมอง ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า และเกษมจากโยคะ
ทั้งญาณทัสสนะได้เกิดแก่เราว่า ‘วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก’
10) ทรงค้นพบหลักอิทัปปัจจยตา และปฏิจจสมุปบาท
(ทรงมีความขวนขวายน้อย)
[๒๘๑] ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความดำริว่า ‘ธรรม ที่เราได้บรรลุแล้วนี้ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอียดบัณฑิต(เท่านั้น) จึงจะรู้ได้ ส่วนหมู่ประชาผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัยเพลิดเพลินในอาลัย ฐานะที่หมู่สัตว์ผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย เพลิดเพลินในอาลัยนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เห็น ได้ยาก
กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท ถึงแม้ฐานะ อันนี้ก็เป็น สิ่งที่เห็น ได้ยากนัก กล่าวคือความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดทิ้งอุปธิทั้งปวง ความสิ้น ตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม และผู้อื่นจะไม่เข้าใจซึ้ง ต่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่า แก่เรา’
อนึ่งเล่า คาถาอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ ที่ไม่เคยสดับมาก่อน ได้ปรากฏแก่เราว่า ‘บัดนี้ เรายังไม่ควรประกาศธรรม ที่เราบรรลุด้วยความลำบาก เพราะธรรมนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ ถูกราคะ และโทสะครอบงำจะรู้ได้ง่าย แต่เป็นสิ่งพาทวนกระแส ละเอียด ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก ประณีตผู้กำหนัดด้วยราคะ ถูกกองโมหะหุ้มห่อไว้ จักรู้เห็นไม่ได้’
11)
พระองค์มีจิตน้อมไปที่จะไม่แสดงธรรม (สหัมบดีพรหมอาราธนาแสดงธรรม)
[๒๘๒] ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราพิจารณาดังนี้ จิตก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย มิได้น้อมไปเพื่อแสดงธรรม
ครั้งนั้น สหัมบดีพรหม ทราบความดำริในใจของเรา ด้วยใจของตน จึงได้มีความ รำพึงว่า ‘ท่านผู้เจริญ โลกจะฉิบหายหนอ โลกจะพินาศหนอ เพราะพระตถาคต อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระทัยไป เพื่อความขวนขวายน้อย มิได้น้อมพระทัยไป เพื่อทรงแสดงธรรม’
ลำดับนั้น สหัมบดีพรหม อันตรธานจากพรหมโลกมาปรากฏ ณ เบื้องหน้าเรา เปรียบเหมือนคนแข็งแรง เหยียดแขนออก หรือคู้แขนเข้าฉะนั้น แล้วห่มอุตตราสงค์ เฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง ประนมมือมาทางที่เราอยู่ ได้กล่าวกับเราว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดแสดงธรรม ขอพระสุคตเจ้าได้โปรดแสดงธรรม เพราะ สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย๑- มีอยู่ สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อม เพราะไม่ได้สดับธรรม สัตว์เหล่านั้น จักเป็นผู้รู้ทั่วถึงธรรม‘๒-
สหัมบดีพรหมได้ทูลอาราธนาดังนี้ แล้วได้ทูลเป็นคาถาประพันธ์ต่อไปว่า พรหมนิคมคาถา
‘ในกาลก่อน ธรรมที่ไม่บริสุทธิ์
อันคนที่มีมลทิน๓- คิดค้นไว้ ปรากฏในแคว้นมคธ
พระองค์โปรดเปิดประตูอมตธรรมนั้นเถิด
ขอสัตว์ทั้งหลายจงฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ปราศจากมลทิน ได้ตรัสรู้แล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระปัญญาดี มีพระสมันตจักษุ
บุรุษผู้ยืนอยู่บนยอดเขาศิลาล้วน
พึงเห็นหมู่ชนได้โดยรอบ แม้ฉันใด
พระองค์ผู้หมดความเศร้าโศกแล้ว
โปรดเสด็จขึ้นสู่ปราสาทคือธรรม
จักได้เห็นหมู่ชนผู้ตกอยู่ในความเศร้าโศก
และถูกชาติชราครอบงำได้ชัดเจน ฉันนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร
ผู้ชนะสงคราม๑- ผู้นำหมู่๒- ผู้ไม่มีหนี้๓-
ขอพระองค์โปรดลุกขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์โปรดแสดงธรรม
เพราะสัตว์ทั้งหลายจักเป็นผู้รู้ทั่วถึงธรรม’
12)
ทรงอุปมาอินทรีย์ของสัตว์ด้วยดอกบัว 3 เหล่า
เวไนยสัตว์เปรียบด้วยดอกบัว
(พ้นน้ำ เสมอน้ำ อยู่ในน้ำ)
[๒๘๓] ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เรารับคำทูลอาราธนาของพรหม และเพราะความ มีกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุเมื่อตรวจดูโลกด้วยพุทธ-จักษุ ได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย มีธุลีในดวงตามาก มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม สอนให้รู้ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยากบางพวกเห็น ปรโลก และโทษว่าเป็นสิ่งน่ากลัว บางพวกเห็นปรโลก และโทษว่า เป็นสิ่งไม่น่ากลัว
ในกออุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก
ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ใต้น้ำ และมีน้ำหล่อเลี้ยงไว้
ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่เสมอน้ำ
ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่พ้นน้ำไม่แตะน้ำ แม้ฉันใด
เราเมื่อตรวจดูโลก ด้วยพุทธจักษุ ได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย มีธุลีในดวงตามาก มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทรามสอนให้รู้ ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยาก บางพวกเห็นปรโลกและโทษว่า เป็นสิ่งน่ากลัวบางพวก มักเห็น ปรโลกและโทษว่า เป็นสิ่งไม่น่ากลัว ฉันนั้น
ลำดับนั้น เราจึงได้กล่าวคาถา ตอบสหัมบดีพรหมว่า ‘พรหม สัตว์เหล่าใด มีโสตประสาท จงปล่อยศรัทธามาเถิด เรามิได้ปิดประตูอมตธรรม สำหรับสัตว์เหล่านั้น แต่เรารู้สึกว่าเป็นการยากลำบาก จึงไม่คิดจะแสดงธรรมอันประณีต ที่เราคล่องแคล่ว ในหมู่มนุษย์’
ครั้งนั้น สหัมบดีพรหมทราบว่า ‘พระผู้มีพระภาค ได้ทรงประทานโอกาส เพื่อจะแสดงธรรมแล้ว’ จึงถวายอภิวาทเรา กระทำประทักษิณ แล้วได้หายไปจากที่นั้น
13)
ใครหนอที่ควรรับธรรมเทศนา
[๒๘๔] ภิกษุทั้งหลาย เราดำริว่า ‘เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ธรรมนี้ ได้ฉับพลัน’ แล้วดำริต่อไปว่า ‘อาฬารดาบส กาลามโคตรนี้ เป็นบัณฑิต ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีในดวงตาน้อยมานาน ทางที่ดี เราควรแสดงธรรม แก่ อาฬารดาบส กาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน’
ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่งเข้ามาหาเราแล้วกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อาฬารดาบส กาลามโคตรทำกาละได้ ๗ วันแล้ว’
อนึ่ง เราก็ได้เกิดญาณทัสสนะขึ้นว่า ‘อาฬารดาบส กาลามโคตร ทำกาละได้ ๗ วันแล้ว’ จึงดำริว่า ‘อาฬารดาบส กาลามโคตร เป็นผู้มีความเสื่อมจากคุณอันยิ่งใหญ่ แล้วหนอ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ ก็จะพึงรู้ได้ฉับพลัน’
เราจึงดำริว่า ‘เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน’ จึงดำริต่อไปว่า ‘อุทกดาบส รามบุตรนี้ เป็นบัณฑิต ฉลาดเฉียบแหลมมีปัญญา มีธุลีในดวงตาน้อยมานาน ทางที่ดี เราควรแสดงธรรมแก่อุทกดาบสรามบุตรก่อน เธอจักรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน’
ลำดับนั้น เทวดาองค์หนึ่งเข้ามาหาเราแล้วกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุทกดาบส รามบุตร ได้ทำกาละเมื่อวานนี้’
อนึ่ง เราก็ได้เกิดญาณทัสสนะขึ้นว่า ‘อุทกดาบส รามบุตร ได้ทำกาละเมื่อวานนี้’ จึงดำริว่า ‘อุทกดาบส รามบุตร เป็นผู้มีความเสื่อมจากคุณอันยิ่งใหญ่แล้วหนอ เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ ก็จะพึงรู้ได้ฉับพลัน’
เราจึงดำริว่า ‘เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจักรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน ’จึงดำริว่า ‘ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามาก ที่ได้เฝ้าปรนนิบัติเราผู้มุ่งบำเพ็ญเพียร ทางที่ดี เราควรแสดงธรรม แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ก่อน’ แล้วดำริต่อไปว่า ‘บัดนี้ภิกษุ ปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ’ ก็ได้เห็นภิกษุปัญจวัคคีย์ อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เราพักอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา ตามความต้องการ แล้วจึงหลีก จาริกไปทางกรุงพาราณสี
14)
ระหว่างเดินทางไปกรุงพาราณสี พบอาชีวกชื่ออุปกะ (ทรงพบอุปกาชีวก)
[๒๘๕] ภิกษุทั้งหลาย อาชีวกชื่ออุปกะ ได้พบเราผู้กำลังเดินทางไกล ณ ระหว่างแม่น้ำคยากับต้นโพธิพฤกษ์ ได้ถามเราว่า ‘อาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่าน ชอบใจธรรมของใคร’
เมื่ออุปกาชีวกถามอย่างนี้แล้ว เราจึงได้กล่าวคาถาตอบอุปกาชีวกว่า
‘เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง
รู้ธรรมทั้งปวง
มิได้แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง๓-
ละธรรมทั้งปวง ได้สิ้นเชิง
หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา ตรัสรู้ยิ่งเอง
แล้วจะพึงกล่าวอ้างใครเล่า
เราไม่มีอาจารย์ เราไม่มีผู้เสมอเหมือน
เราไม่มีผู้ทัดเทียมในโลกกับทั้งเทวโลก
เพราะเราเป็นอรหันต์ เป็นศาสดาผู้ยอดเยี่ยม
เราผู้เดียวเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
เป็นผู้เยือกเย็น ดับกิเลสในโลกได้แล้ว
เราจะไปเมืองหลวงของชาวกาสี ประกาศธรรมจักร
ตีกลองอมตธรรมไปในโลกอันมีความมืดมน‘
อุปกาชีวกกล่าวว่า
‘อาวุโส ท่านสมควรเป็นพระอนันตชินะตามที่ท่านประกาศ’
เราจึงกล่าวตอบเป็นคาถาว่า
‘ชนเหล่าใดได้ถึงความสิ้นอาสวะแล้ว
ชนเหล่านั้นย่อมเป็นพระชินะเช่นเรา
อุปกะ เราชนะความชั่วได้แล้ว
เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่าพระชินะ’
เมื่อเรากล่าวอย่างนั้นแล้ว อุปกาชีวกจึงกล่าวว่า ‘อาวุโส ควรจะเป็นอย่างนั้น ’โคลงศีรษะ แล้วเดินสวนทางหลีกไป
15)
ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุปัญจวัคคีย์
[๒๘๖] ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น เราจาริกไปโดยลำดับ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตกรุงพาราณสี ได้เข้าไปหาภิกษุปัญจวัคคีย์ถึงที่อยู่ ภิกษุปัญจวัคคีย์เห็นเราเดินมา แต่ไกล จึงนัดหมายกันและกันว่า ‘อาวุโส พระสมณโคดมนี้ เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก กำลังเสด็จมาพวกเราไม่พึงกราบไหว้ ไม่พึงลุกรับ ไม่พึงรับบาตรและจีวรของพระองค์ แต่จะจัดอาสนะไว้ ถ้าพระองค์ปรารถนา ก็จักประทับนั่ง’
เราเข้าไปหาภิกษุปัญจวัคคีย์ ภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ลืมข้อนัดหมายของตน บางพวก ต้อนรับเรา แล้วรับบาตรและจีวร บางพวกปูลาดอาสนะ บางพวกจัดหาน้ำล้างเท้าแต่ภิกษุ ปัญจวัคคีย์เรียกเราโดยออกนามและใช้คำว่า ‘อาวุโส‘๒-
เมื่อภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนั้นแล้ว เราจึงห้ามภิกษุปัญญจวัคคีย์ว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าเรียกตถาคต โดยออกชื่อ และใช้คำว่า ‘อาวุโส’ ตถาคต เป็นอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ เธอทั้งหลายจงเงี่ยโสตสดับ เราจะสั่งสอน อมตธรรม ที่เราได้บรรลุแล้ว จะแสดงธรรม เธอทั้งหลายเมื่อปฏิบัติตามที่เราสั่งสอน ไม่นานนัก ก็จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่เหล่า กุลบุตร ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึง อยู่ ในปัจจุบันนี้แน่แท้’
เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้กล่าวกับเราว่า ‘อาวุโสโคดมแม้ด้วย จริยานั้น ด้วยปฏิปทานั้น ด้วยทุกกรกิริยานั้น พระองค์ก็ยังมิได้บรรลุญาณทัสสนะ ที่ประเสริฐอันสามารถ วิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ บัดนี้ พระองค์เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุญาณทัสสนะ ที่ประเสริฐ อันสามารถ วิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ได้เล่า’
เมื่อภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนั้นแล้ว เราจึงได้กล่าวกับภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่ได้เป็นคนมักมาก ไม่ได้คลายความเพียร ไม่ได้เวียนมาเพื่อ ความเป็นคนมักมาก ตถาคตเป็นอรหันต์ตรัสรู้ ด้วยตนเองโดยชอบ เธอทั้งหลายจงเงี่ย โสต สดับ เราจะสั่งสอนอมตธรรมที่เราได้บรรลุแล้ว จะแสดงธรรม เธอทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติ ตามที่เราสั่งสอน ไม่นานนักก็จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุด แห่งพรหมจรรย์ ที่เหล่ากุลบุตร ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันนี้แน่แท้’
แม้ครั้งที่ ๒ ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็ได้กล่าวกับเราว่า ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๒ เราก็ได้กล่าวกับภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็ได้กล่าวกับเราว่า ‘อาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยานั้น ด้วยปฏิปทา นั้น ด้วยทุกกรกิริยานั้น พระองค์ก็ยังมิได้บรรลุญาณทัสสนะ ที่ประเสริฐ อันสามารถ วิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ได้ บัดนี้ พระองค์เป็นผู้มักมากคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุญาณทัสสนะ ที่ประเสริฐอันสามารถ วิเศษยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ได้เล่า’
เมื่อภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนั้นแล้ว เราได้กล่าวกับภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายยังจำได้หรือไม่ว่า ถ้อยคำเช่นนี้ เราได้เคยกล่าวในกาลก่อน แต่นี้’
ภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวว่า ‘ถ้อยคำเช่นนี้ไม่เคยได้ฟังมาก่อน พระพุทธเจ้าข้า’
เราจึงกล่าวว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ เธอทั้งหลายจงเงี่ยโสตสดับ เราจะสั่งสอนอมตธรรม ที่เราได้บรรลุแล้ว จะแสดงธรรม
เธอทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติตามที่เราสั่งสอน ไม่นานนักก็จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ ยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่เหล่ากุลบุตร ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันนี้แน่แท้’
เราสามารถทำให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ยินยอมได้แล้ว เรากล่าวสอนภิกษุ ๒ รูปภิกษุ ๓ รูปก็เที่ยวบิณฑบาต เราทั้ง ๖ ฉันบิณฑบาตที่ภิกษุ ๓ รูปนำมาเรากล่าวสอนภิกษุ ๓ รูป ภิกษุ ๒ รูปก็เที่ยวบิณฑบาต เราทั้ง ๖ ฉันบิณฑบาตที่ภิกษุ ๒ รูปนำมา๑-
ต่อมา ภิกษุปัญจวัคคีย์ที่เราสั่งสอน และพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ เป็นผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ด้วยตนแล้ว จึงแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเกิด อันเป็นแดนเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยม ได้บรรลุนิพพานที่ไม่มี ความเกิด อันเป็นแดนเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยมแล้ว
เป็นผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา ด้วยตนแล้ว จึงแสวงหานิพพานที่ไม่มีความแก่ อันเป็นแดนเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยม ได้บรรลุนิพพานที่ไม่มีความแก่ อันเป็นแดนเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยมแล้ว
เป็นผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดา ฯลฯ
เป็นผู้มีความตายเป็นธรรมดา ฯลฯ
เป็นผู้มีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ฯลฯ
เป็นผู้มีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ทราบชัดถึงโทษ ในสิ่งที่มีความเศร้าหมอง เป็นธรรมดาด้วยตนแล้ว จึงแสวงหานิพพาน ที่ไม่มีความเศร้าหมอง อันเป็นแดนเกษม จากโยคะอันยอดเยี่ยม ได้บรรลุนิพพานที่ไม่มีความเศร้าหมอง อันเป็นแดนเกษมจาก โยคะอันยอดเยี่ยมแล้ว
อนึ่ง ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ได้เกิดญาณทัสสนะขึ้นมาว่า ‘วิมุตติของพวกเรา
ไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ไม่มีอีกต่อไป’
16)
ตรัสสอน กามคุณ ๕ ประการ คุณและโทษ
[๒๘๗] ภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการนี้
กามคุณ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. รูปที่จะพึงรู้แจ้งทางตา ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รักชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด
๒. เสียงที่จะพึงรู้แจ้งทางหู ฯลฯ
๓. กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งทางจมูก ฯลฯ
๔. รสที่จะพึงรู้แจ้งทางลิ้น ฯลฯ
๕. โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งทางกาย ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด
กามคุณมี ๕ ประการนี้
สมณะ หรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน ไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเครื่องสลัดออก บริโภคกามคุณ ๕ ประการนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ‘สมณพราหมณ์พวกนั้น เป็นผู้ถึงความเสื่อม ความพินาศ ถูกมารใจบาปทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ’
เปรียบเทียบนักบวชกับฝูงเนื้อ
ภิกษุทั้งหลาย เนื้อป่าที่ติดบ่วง นอนทับบ่วง พึงทราบว่า ‘เป็นสัตว์ที่ถึง ความเสื่อม ความพินาศ ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ’ เมื่อนายพรานเนื้อ เดินเข้ามา ก็หนีไปไม่ได้ตามปรารถนา แม้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน ไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเครื่องสลัดออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ ประการนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า‘สมณพราหมณ์พวกนั้น เป็นผู้ถึง ความเสื่อม ความพินาศ ถูกมารใจบาปทำอะไรๆได้ตามใจชอบ’ แต่สมณะหรือพราหมณ์ พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลงไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาเครื่องสลัดออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ ประการนี้บัณฑิตพึงทราบว่า ‘สมณพราหมณ์พวกนั้น เป็นผู้ไม่ถึง ความเสื่อม ความพินาศไม่ถูกมารใจบาปทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ’
เนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง นอนทับบ่วง พึงทราบว่า ‘เป็นสัตว์ไม่ถึงความเสื่อม ไม่ถึง ความ พินาศ ไม่ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ’ เมื่อนายพรานเนื้อเดินเข้ามา ก็หนีไปได้ตามปรารถนา แม้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ก็ฉันนั้น เหมือนกัน ไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาเครื่องสลัดออก๑- ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ ประการนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ‘สมณพราหมณ์พวกนั้น เป็นผู้ไม่ถึง ความเสื่อม ไม่ถึงความพินาศ ไม่ถูกมารใจบาปทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ’
17)
การล่วง
รูปสัญญา รูปสัญญา การเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
(การบรรลุ รูปสัญญา)
อนึ่ง เนื้อป่าเมื่อเที่ยวไปตามป่าใหญ่ ย่อมวางใจเดิน ยืน นั่ง นอน ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะไม่ได้พบกับนายพรานเนื้อ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน สงัดจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุข อันเกิดจากวิเวกอยู่ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ผู้ทำให้มารตาบอด คือทำลายดวงตาของมาร อย่างไม่มีร่องรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
อีกประการหนึ่ง เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส ในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจาก สมาธิอยู่ ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง เพราะปีติจางคลายไป ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุข ด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขามีสติ อยู่เป็นสุข’ ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัส ดับไป ก่อนแล้ว ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ผู้ทำให้มารตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมาร อย่างไม่มีร่องรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(การล่วงอรูปสัญญา)
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน อยู่โดยกำหนดว่า ‘อากาศหา ที่สุด มิได้’ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ผู้ทำให้มารตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมาร อย่างไม่มีร่องรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน อยู่โดยกำหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุอากิญจัญญายตนฌานอยู่ โดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อยู่ ฯลฯ
(การบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ)
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ก็เพราะเห็นด้วยปัญญา เธอย่อมมี อาสวะสิ้นไป เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ผู้ทำให้มารตาบอด คือ เป็นผู้ที่มารใจบาป มองไม่เห็น เพราะทำลายดวงตาของมาร อย่างไม่มีร่องรอย’ เป็นผู้ข้ามพ้นตัณหา อันข้องอยู่ใน อารมณ์ต่างๆ ในโลกได้ ย่อมวางใจ เดิน ยืน นั่ง นอน
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่ได้ดำเนินอยู่ในทางของมารใจบาป”
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น มีใจยินดีต่างชื่นชมพระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล
ปาสราสิสูตรที่ ๖ จบ
|