พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐-๔๙
อุทุมพริกสูตร (๒๕)
[๑๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้น นิโครธปริพาชก อาศัยอยู่ในปริพาชการามของพระนางอุทุมพริกา พร้อมด้วยปริพาชก บริษัทหมู่ใหญ่ ประมาณ ๓,๐๐๐
ครั้งนั้น สันธานคฤหบดี ออกจากพระนครราชคฤห์ ในเวลาบ่ายวันหนึ่ง เพื่อจะเฝ้า พระผู้มีพระภาค สันธานคฤหบดีดำริว่า เวลานี้ยังไม่เป็นเวลาอันสมควร เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก่อนพระผู้มีพระภาค ยังกำลังทรงหลีกเร้นอยู่ แม้ภิกษุทั้งหลาย ผู้อบรมใจ ก็ไม่ใช่สมัยที่จะพบ ภิกษุทั้งหลายผู้อบรมใจ ก็ยังหลีกเร้นอยู่ ถ้ากระไร เราควรจะเข้าไปหานิโครธปริพาชก ยังปริพาชการาม ของพระนางอุทุมพริกา จึงเข้าไป ณ ที่นั้น
[๑๙] สมัยนั้น นิโครธปริพาชก นั่งอยู่กับปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่ กำลังสนทนา ติรัจฉานกถาต่างเรื่อง ด้วยเสียงดังลั่นอึกทึก คือพูดเรื่องพระราชา เรื่องโจรเรื่อง มหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้าเรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้านเรื่องนิคม เรื่องชนบท เรื่องนคร เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องดื่มสุรา เรื่องตรอกเรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับ ไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเลเรื่องความเจริญ และความเสื่อม
ด้วยประการนั้นๆ พอนิโครธปริพาชก ได้เห็น สันธานคฤหบดี มาแต่ไกล จึงห้ามบริษัทของตนให้สงบว่า ขอท่านทั้งหลายเบาๆเสียงหน่อย อย่าส่งเสียงอึงนัก สันธานคฤหบดีนี้ เป็นสาวกของพระสมณโคดมกำลังมา สาวกของพระสมณโคดม ที่เป็นคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาวมีประมาณเท่าใด อาศัยอยู่ในเมืองราชคฤห์ บรรดาสาวกเหล่านั้น สันธานคฤหบดีนี้เป็นสาวกคนหนึ่ง ท่านเหล่านั้นชอบเสียงเบา และกล่าวสรรเสริญคุณ ของเสียงเบา บางทีสันธานคฤหบดีนี้ทราบว่า บริษัทมีเสียงเบาแล้ว พึงสำคัญ ที่จะเข้ามาก็ได้ เมื่อนิโครธปริพาชกกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกเหล่านั้น ได้พากันนิ่งอยู่
[๒๐] ครั้งนั้นแล สันธานคฤหบดี เข้าไปหานิโครธปริพาชกถึงที่อยู่ ได้ปราศรัย กับ นิโครธปริพาชก ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะนิโครธปริพาชกว่า พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ผู้เจริญ เหล่านี้ มาพบมาประชุมพร้อมกันแล้วมีเสียงดังลั่นอึกทึก ขวนขวายติรัจฉานกถา ต่างเรื่องอยู่ โดยประการอื่นแล คือขวนขวายเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ ด้วยประการ นั้นๆ ส่วนพระผู้มีพระภาคนั้น พระองค์ทรงเสพราวไพร ในป่าเสนาสนะอันสงัด มีเสียง น้อย มีเสียงกึกก้องน้อย ปราศจากลมแต่ชนผู้เดินเข้าออก สมควรแก่การทำกรรม อันเร้นลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น โดยประการอื่นแล เมื่อสันธานคฤหบดี กล่าวอย่างนี้แล้ว
นิโครธปริพาชกได้กล่าวกะสันธานคฤหบดีว่า เอาเถิด คฤหบดี ท่านพึงรู้ พระสมณโคดม จะทรงเจรจากับใคร จะถึงการสนทนาด้วยใคร จะถึงความเป็นผู้ฉลาด ด้วยพระปัญญากว่าใคร พระปัญญาของพระสมณโคดม ฉิบหายเสีย ในเรือนอันสงัด พระสมณโคดมไม่กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท ไม่สามารถเพื่อจะทรงเจรจา พระองค์ท่าน ทรงเสพ ที่อันสงัด ณ ภายในอย่างเดียว อุปมาเหมือนแม่โคบอด เที่ยววนเวียน เสพที่อันสงัด ณ ภายใน ฉะนั้น เอาเถิด คฤหบดี พระสมณโคดม พึงเสด็จมาสู่บริษัทนี้ พวกข้าพเจ้าพึงสนทนากะพระองค์ท่าน ด้วยปัญหาข้อเดียวเท่านั้น เห็นจักพึงบีบรัด พระองค์ท่าน เหมือนบุคคลบีบรัดหม้อเปล่า ฉะนั้น
[๒๑] พระผู้มีพระภาค ได้ทรงสดับการเจรจา ของสันธานคฤหบดี กับนิโครธปริพาชก นี้ ด้วยพระทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏ แล้วเสด็จเข้าไปยังที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งสระโบกขรณีสุมาคธา
ครั้นแล้ว เสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ณ ที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งสระโบกขรณี สุมาคธา พอนิโครธปริพาชก ได้เห็นพระผู้มีพระภาค เสด็จจงกรม อยู่ในที่แจ้ง ณ ที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งสระโบกขรณีสุมาคธา จึงห้ามบริษัทของตน ให้สงบว่า ขอท่านทั้งหลายเบาๆ เสียงหน่อย อย่าส่งเสียงอึงนักพระสมณโคดมนี้ เสด็จจงกรม อยู่ในที่แจ้ง ณ ที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งสระโบกขรณีสุมาคธา พระองค์ท่าน โปรดเสียงเบา และกล่าวสรรเสริญคุณของเสียงเบา บางทีพระองค์ท่าน ทรงทราบว่า บริษัทนี้มีเสียงเบาแล้ว พึงสำคัญที่จะเสด็จเข้ามาก็ได้ ถ้าว่าพระสมณ โคดม จะพึงเสด็จมาสู่บริษัทนี้ไซร้ เราจะพึงทูลถามปัญหากะพระองค์ท่านว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพระผู้มีพระภาค สำหรับทรงแนะนำพระสาวกนั้น ชื่ออะไร ธรรมชื่ออะไร สำหรับรู้แจ้งชัด อาทิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่ง พระสาวก ที่พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำ แล้วถึงความยินดี เมื่อนิโครธปริพาชก กล่าวอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกเหล่านั้นได้พากันนิ่งอยู่
[๒๒] เมื่อพระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปหานิโครธปริพาชก ถึงที่อยู่แล้ว นิโครธปริพาชก จึงกราบทูลเชิญพระผู้มีพระภาคว่า ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเสด็จมาเถิด พระเจ้าข้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว นานๆ พระองค์จึงจะมีโอกาสเสด็จมาที่นี่ ขอเชิญประทับนั่ง นี้อาสนะที่จัดไว้ พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้ ฝ่ายนิโครธปริพาชก ถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
พระผู้มีพระภาค รับสั่งถามนิโครธปริพาชกว่า ดูกรนิโครธะ บัดนี้ พวกท่านนั่ง สนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ และเรื่องอะไรเล่าที่พวกท่านสนทนาค้างอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว นิโครธปริพาชกได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาค เสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ณ ที่ให้เหยื่อแก่นกยูง ที่ฝั่งสระโบกขรณีสุมาคธา จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าว่าพระสมณโคดม จะพึงเสด็จมาสู่บริษัทนี้ไซร้ พวกเราจะพึงถามปัญหานี้ กะพระองค์ท่านว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพระผู้มีพระภาค สำหรับทรงแนะนำพระสาวกนั้น ชื่ออะไรธรรมชื่ออะไร สำหรับรู้แจ้งชัด อาทิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวก ที่พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำ แล้วถึงความยินดี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องนี้แล ที่พวกข้าพระองค์สนทนาค้างอยู่ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรนิโครธะ การที่ท่านมีความเห็นไปทางหนึ่ง มีความพอใจไปทางหนึ่ง มีความชอบใจไปทางหนึ่ง ไม่มีความพยายาม ไม่มีลัทธิอาจารย์ ยากที่จะรู้ธรรม ที่เราแนะนำพระสาวก ยากที่จะรู้ธรรมสำหรับรู้แจ้งชัด อาทิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวกที่เราแนะนำ แล้วถึงความยินดี เชิญเถิดนิโครธะ ท่านจงถามปัญหาในการหน่ายบาปอย่างยิ่ง ในลัทธิอาจารย์ของตนกะเราว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญการหน่ายบาป ด้วยตบะที่บริบูรณ์ มีอย่างไรหนอแล ที่ไม่บริบูรณ์ มีอย่างไรเมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกเหล่านั้น ได้เป็นผู้มีเสียงดังลั่นอึกทึกขึ้นว่า อัศจรรย์นัก ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมา ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดมมีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก พระองค์จักหยุดวาทะของพระองค์ไว้ จักปวารณาด้วยวาทะของผู้อื่น
(การหน่ายบาปด้วยการบำเพ็ญตบะที่ทรมานตนเอง เป็นการหน่ายที่ไม่บริบูรณ์ )
[๒๓] ครั้งนั้น นิโครธปริพาชก ห้ามพวกปริพาชกเหล่านั้น ให้เบาเสียง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์แล กล่าวการหน่ายบาปด้วยตบะ ติดการหน่ายบาปด้วยตบะอยู่ การหน่ายบาปด้วยตบะ ที่บริบูรณ์มีอย่างไรหนอแล ที่ไม่บริบูรณ์ มีอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ เป็นคนเปลือย ไร้มรรยาท เลียมือ เขาเชิญให้รับภิกษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่รับภิกษา ที่เขานำมาไว้ก่อน ไม่รับภิกษาที่เขาทำเฉพาะ ไม่รับภิกษาที่เขานิมนต์ เขาไม่รับภิกษา ปากหม้อ ไม่รับภิกษาจากหม้อข้าว ไม่รับภิกษา ที่บุคคลยืนคร่อมธรณีประตูนำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมครกนำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมสากนำมา ไม่รับภิกษาที่บุคคล ยืนคร่อมท่อนไม้นำมา ไม่รับภิกษาของคน ๒ คนที่กำลังบริโภคอยู่ ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ไม่รับภิกษาของหญิงผู้กำลังให้ลูกดื่มนม ไม่รับภิกษา ที่เขานัดแนะกันทำไว้ ไม่รับภิกษาในที่ซึ่งสุนัขได้รับเลี้ยงดู ไม่รับในที่แมลงวัน ไต่ตอมเป็นกลุ่ม
ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัยภิกษา ไม่ดื่มยาดอง เขารับภิกษา ที่เรือนหลังเดียว เยียวยาอัตภาพ ด้วยข้าวคำเดียวบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๒ หลัง เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๒ คำบ้าง รับภิกษาที่เรือน ๗ หลังเยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง เยียวยาอัตภาพ ด้วยภิกษาในถาดน้อยใบเดียวบ้าง๒ ใบบ้าง ๗ ใบบ้าง กินอาหารที่มีระหว่างเว้นวันหนึ่งบ้าง ๒ วันบ้าง ๗ วันบ้าง
เป็นผู้ประกอบด้วยความขวนขวาย ในการบริโภคภัตที่เวียนมา มีระหว่างเว้น ตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้บ้าง เขาเป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มียางหรือสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร
บริโภคผลไม้หล่นเอง เยียวยาอัตภาพ เขาทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้างผ้าเปลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้างหนังเสือทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกปอกรองบ้าง ผ้าผลไม้กรองบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยขนปีกนกเค้าบ้าง เป็นผู้ถอนผมและหนวด คือประกอบความขวนขวายใ นการถอนผมและหนวดบ้าง เป็นผู้ยืนคือห้ามอาสนะบ้าง เป็นผู้กระโหย่ง คือประกอบความเพียร ในการกระโหย่งบ้าง
เป็นผู้นอนบนหนามคือ สำเร็จการนอนบนหนามบ้าง สำเร็จการนอนบนแผ่น กระดานบ้าง สำเร็จการนอนบนเนินดินบ้าง เป็นผู้นอนตะแคงข้างเดียวบ้าง เป็นผู้ หมักหมม ด้วยธุลีบ้าง เป็นผู้อยู่กลางแจ้งบ้าง เป็นผู้นั่งบนอาสนะตามที่ลาดไว้บ้าง เป็นผู้บริโภคคูถ คือประกอบความขวนขวายในการบริโภคคูถบ้าง เป็นผู้ห้ามน้ำเย็น คือขวนขวาย ในการห้ามน้ำเย็นบ้าง เป็นผู้อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือประกอบความ ขวนขวาย ในการลงน้ำบ้าง
ดูกรนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นอย่างไร ถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาปด้วยตบะ เป็นการหน่ายบริบูรณ์หรือไม่บริบูรณ์
นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาปด้วยตบะ เป็นการหน่ายบริบูรณ์หามิได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ เรากล่าวอุปกิเลสมากอย่าง ในการหน่าย บาป ด้วยตบะ แม้ที่บริบูรณ์แล้ว อย่างนี้แล
(บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ ยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น มัวเมา ลืมสติ สรรเสริญผู้ให้ลาภสักการะ...)
[๒๔] นิโครธปริพาชกทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค ตรัสอุปกิเลสมากอย่าง ในการหน่ายบาป ด้วยตบะที่บริบูรณ์แล้วอย่างนี้ อย่างไรเล่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ เขาเป็นผู้ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะดีใจ มีความดำริ บริบูรณ์ด้วยตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ยกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อมเมา ย่อมลืมสติ ย่อมถึงความเมาด้วยตบะนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะเมา ลืมสติ ถึงความเมาด้วยตบะนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภสักการะ และความสรรเสริญเกิดขึ้น ด้วยตบะนั้น เขาเป็นผู้ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภสักการะ และความสรรเสริญเกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่น ด้วยสักการะ และความสรรเสริญนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ยังลาภสักการะ และความสรรเสริญให้เกิดขึ้น ด้วยตบะนั้น ยกตนข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภ สักการะ และความสรรเสริญเกิดขึ้น ด้วยตบะนั้น เขาย่อมเมา ย่อมลืมสติย่อมถึง ความเมา ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น แม้ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะยังลาภ สักการะ และความสรรเสริญ ให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เมา ลืมสติ ถึงความเมาด้วยลาภ สักการะ และความสรรเสริญนั้น นี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ ย่อมถึงส่วน ๒ ในโภชนะทั้งหลายว่า สิ่งนี้ควรแก่เรา สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา ก็สิ่งใดแล ไม่ควรแก่เขา เขามุ่งละสิ่งนั้นเสีย แต่ส่วนสิ่งใดควรแก่เขา เขากำหนัด ลืมสติติดสิ่งนั้น ไม่แลเห็นโทษ ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคอยู่ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ ด้วยคิดว่า พระราชา มหาอำมาตย์ ของพระราชากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี เดียรถีย์ จักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่ลาภสักการะ และความสรรเสริญ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมเป็นผู้รุกรานสมณะ หรือพราหมณ์อื่นแต่ที่ไหนๆ ว่า ก็ไฉน ผู้นี้เลี้ยงชีพด้วยวัตถุหลายอย่าง กินวัตถุทุกๆ อย่าง คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผลพืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า ปลายฟันของผู้นี้คมประดุจสายฟ้าคนทั้งหลาย ย่อมจำกันได้ ด้วยวาทะว่า เป็นสมณะ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เห็นสมณะ หรือ พราหมณ์อื่น ที่เขาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ในสกุลทั้งหลาย เขาดำริอย่างนี้ว่า คนทั้งหลายย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา สมณะหรือพราหมณ์ชื่อนี้แล ผู้เลี้ยงชีพ ด้วยวัตถุหลายอย่าง ในสกุลทั้งหลาย แต่ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือไม่บูชาเรา ผู้มีตบะ เลี้ยงชีพด้วยวัตถุเศร้าหมอง เขาเป็นผู้ให้ความริษยา และความตระหนี่ เกิดขึ้นในสกุลทั้งหลาย ดังนี้ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้นั่งในที่เป็นทาง ที่คนแลเห็น แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมเที่ยวแสดงตน ไปในสกุลทั้งหลายว่า กรรมแม้นี้อยู่ในตบะของเรา กรรมแม้นี้อยู่ในตบะของเรา แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมเสพโทษอันปกปิด บางอย่าง เขาถูกผู้อื่นถามว่า โทษนี้ควรแก่ท่านหรือ กล่าวโทษที่ไม่ควรว่า ควรกล่าวโทษ ที่ควรว่าไม่ควร เขาเป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ดังนี้ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็น อุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เมื่อพระตถาคต หรือ สาวกของพระตถาคต แสดงธรรมอยู่ ย่อมไม่ผ่อนตามปริยาย ซึ่งควรจะผ่อนตามอันมีอยู่ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้มักโกรธมัก ผูกโกรธ แม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลสแก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้มีความลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด มีมารยา กระด้าง ถือตัวจัด เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ไปสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก เป็นมิจฉาทิฐิ ประกอบด้วยทิฐิอันดิ่งถึงที่สุด เป็นผู้ลูบคลำทิฐิเอง เป็นผู้ถือมั่น สละคืนได้ยากแม้ข้อนี้แล ย่อมเป็นอุปกิเลส แก่บุคคลผู้มีตบะ
ดูกรนิโครธะ ท่านจะพึงสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน การหน่ายบาป ด้วยตบะ เหล่านี้ เป็นอุปกิเลสหรือไม่เป็นอุปกิเลส
นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การหน่ายบาป ด้วยตบะ เหล่านี้ เป็นอุปกิเลสแน่แท้ ไม่เป็นอุปกิเลสหามิได้ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ พึงเป็นผู้ ประกอบด้วย อุปกิเลสเหล่านี้ มีครบทุกอย่าง ข้อนี้แล เป็นฐานะที่จะมีได้ จะป่วยกล่าว ไปไย ถึงอุปกิเลสเพียงบางข้อๆ
[๒๕] ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ ย่อมถือมั่นตบะ เขาเป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยตบะนั้น ข้อที่ผู้มีตบะ ถือมั่นตบะ ไม่ดีใจไม่มีความดำริบริบูรณ์ ด้วยตบะนั้น อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อม ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยตบะนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาย่อม ไม่เมา ไม่ลืมสติ ย่อมไม่ถึงความเมา ด้วยตบะนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภสักการะ และความสรรเสริญ เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเป็นผู้ไม่ดีใจไม่มีความ ดำริบริบูรณ์ ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น ... อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ เขาให้ลาภสักการะ และความสรรเสริญ เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาย่อมไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น ด้วยลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น ... อย่างนี้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ ย่อมไม่ถึงส่วน ๒ ในโภชนะทั้งหลายว่า สิ่งนี้ควรแก่เรา สิ่งนี้ไม่ควรแก่เราก็สิ่งใดแล ไม่ควรแก่เขา เขาไม่มุ่งละสิ่งนั้นเสีย ส่วนสิ่งใดควรแก่เขา เขาไม่กำหนัด ไม่ลืมสติ ไม่ติดสิ่งนั้น แลเห็นโทษ มีปัญญาคิดสลัดออก บริโภคอยู่ อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมถือมั่นตบะ แต่เขา ไม่คิดว่า พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีเดียรถีย์ จักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่ลาภสักการะ และความสรรเสริญอย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ไม่เป็นผู้รุกรานสมณะ หรือพราหมณ์อื่นว่า ก็ไฉน ผู้นี้เลี้ยงชีพด้วยวัตถุหลายอย่าง กินวัตถุทุกๆ อย่าง คือ พืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอดพืช เกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า ปลายฟันของผู้นี้คมประดุจสายฟ้า คนทั้งหลายย่อมจำกันได้ ด้วยวาทะ เป็นสมณะ อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เห็นสมณะ หรือ พราหมณ์อื่น ที่เขาสักการะเคารพนับถือบูชา อยู่ในสกุลทั้งหลาย เขาไม่ดำริอย่างนี้ว่า คนทั้งหลายย่อมสักการะ เคารพนับถือ บูชาสมณะหรือพราหมณ์ชื่อนี้แล ผู้เลี้ยงชีพ ด้วยวัตถุหลายอย่าง ในสกุลทั้งหลาย แต่ไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือไม่บูชาเรา ผู้มีตบะ เลี้ยงชีพด้วยวัตถุเศร้าหมอง เขาไม่ให้ความริษยา และความตระหนี่ เกิดขึ้น ในสกุล ทั้งหลาย ดังนี้ อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้ไม่นั่งในที่เป็นทาง ที่คนแลเห็น อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมไม่เที่ยวแสดงตน ไปในสกุลทั้งหลายว่า กรรมแม้นี้อยู่ในตบะ ของเรา กรรมแม้นี้อยู่ในตบะของเรา อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ย่อมไม่เสพโทษ อันปกปิดบางอย่าง เขาถูกผู้อื่นถามว่า โทษนี้ควรแก่ท่านหรือ กล่าวโทษที่ไม่ควรว่า ไม่ควร กล่าวโทษที่ควรว่าควร เขาเป็นผู้ไม่กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ดังนี้อย่างนี้ เขาย่อมเป็น ผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ เมื่อพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต แสดงธรรมอยู่ ย่อมผ่อนตามปริยาย ซึ่งควรผ่อน ตามอันมีอยู่อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มักผูกโกรธ อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ คำอื่นที่ควรกล่าวยังมีอยู่อีก บุคคลผู้มีตบะ ไม่เป็นผู้มีความลบหลู่ ไม่ตีเสมอ ไม่ริษยา ไม่ตระหนี่ ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ไม่กระด้างไม่ถือตัวจัด ไม่เป็นผู้มี ความปรารถนาลามก ไม่ไปสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ประกอบด้วยทิฐิ อันดิ่งถึงที่สุด ไม่เป็นผู้ลูบคลำทิฐิเองไม่เป็นผู้ถือมั่น สละคืนได้ง่าย อย่างนี้ เขาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
ดูกรนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยตบะ จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยตบะเหล่านี้ บริสุทธิ์แน่แท้ ไม่บริสุทธิ์หามิได้ เป็นกิริยาที่ถึง ยอด และถึงแก่น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรนิโครธะ การหน่ายบาปด้วยตบะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นกิริยาที่ถึงยอด ถึงแก่น หามิได้ ที่แท้ เป็นกิริยาที่ถึงสะเก็ดเท่านั้น
[๒๖] นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การหน่ายบาป ด้วยตบะ เป็นกิริยาที่ถึงยอดและถึงแก่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงให้ข้าพระองค์ถึงยอดถึงแก่น แห่งการหน่ายบาปด้วยตบะเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ เป็นผู้สังวรแล้ว ด้วยสังวร ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ใช้ผู้อื่นให้ฆ่าสัตว์ เมื่อผู้อื่นฆ่าสัตว์ ไม่เป็นผู้ดีใจ
๒. ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ไม่ใช้ให้ผู้อื่นถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของเขา ไม่ได้ให้ เมื่อผู้อื่นถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของไม่ได้ให้ ไม่เป็นผู้ดีใจ
๓. ไม่พูดเท็จ ไม่ใช้ผู้อื่นให้พูดเท็จ เมื่อผู้อื่นพูดเท็จ ไม่เป็นผู้ดีใจ
๔. ไม่เสพกามคุณ ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเสพกามคุณ เมื่อผู้อื่นเสพกามคุณ ไม่เป็นผู้ดีใจ
ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร ๔ ประการอย่างนี้
ดูกรนิโครธะ เพราะว่าบุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร ๔ ประการ ข้อที่จะกล่าว ต่อไปนี้ จึงเป็นลักษณะของเขา เพราะเป็นผู้มีตบะ เขารักษายิ่งซึ่งศีล ไม่เวียนมา เพื่อเพศ อันเลว เขาเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขาซอกเขา ถ้ำในภูเขา ป่าช้า ป่าชัด ที่แจ้ง ลอมฟาง ในปัจฉาภัต
เขากลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า เขาละความเพ่งเล็งในโลกเสียแล้ว มีใจปราศจากความเพ่งเล็ง ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้าย คือ พยาบาท ไม่พยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความประทุษร้าย คือพยาบาทได้ ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมาย อยู่ที่แสงสว่าง มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากถีนมิทธะ ได้ละอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จาก อุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉา เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรม ทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากวิจิกิจฉาได้
เขาละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ อันเป็นอุปกิเลสแห่งใจ ที่ทำให้ปัญญาถอยกำลัง มีใจ ประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ ทุกสถาน ด้วยใจ อันประกอบด้วยเมตตา อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
เขามีใจประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่างเบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ ทุกเหล่า ในที่ทุกสถานด้วยใจอันประกอบด้วยกรุณา อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
เขามีใจประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สองทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวางแผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยมุทิตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
เขามีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สามทิศ ที่สี่ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ ทุกเหล่า ในที่ทุกสถานด้วยใจอันประกอบด้วย อุเบกขาอันไพบูลย์ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ดูกรนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยตบะ จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยความเพียร บริสุทธิ์แน่แท้ ไม่บริสุทธิ์หามิได้ เป็นกิริยาที่ถึงยอดและถึงแก่น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ การหน่ายบาปด้วยตบะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นกิริยาที่ถึงยอด หรือถึงแก่นหามิได้ ที่แท้ เป็นกิริยาที่ถึงเปลือกเท่านั้น
[๒๗] นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การหน่ายบาป ด้วยตบะ เป็นกิริยาที่ถึงยอดและถึงแก่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงให้ข้าพระองค์ ถึงยอดถึงแก่นแห่งการหน่ายบาปด้วยตบะเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ เป็นผู้สังวรแล้ว ด้วยสังวร ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน ฯลฯ ดูกรนิโครธะ เพราะว่า บุคคลผู้มีตบะ เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร ๔ ประการ ข้อที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงเป็นลักษณะของเขา เพราะเป็นผู้มีตบะ เขารักษายิ่งซึ่งศีล ไม่เวียนมาเพื่อเพศอันเลว เขาเสพเสนาสนะ อันสงัด ฯลฯ
เขาละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ อันเป็นอุปกิเลสแห่งใจ ที่ทำให้ปัญญาถอยกำลัง มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ฯลฯ เขาย่อมระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้างสองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง ฯลฯ สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัป เป็นอันมาก บ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหาร อย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เขาย่อมระลึกถึง ชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้
ดูกรนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยตบะ จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยตบะ บริสุทธิ์แน่แท้ ไม่บริสุทธิ์หามิได้เป็นกิริยา ที่ถึงยอดและถึงแก่น พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรนิโครธะ การหน่ายบาปด้วยตบะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นกิริยาที่ถึงยอด หรือถึงแก่นหามิได้ ที่แท้ เป็นกิริยาที่ถึงกระพี้เท่านั้น
[๒๘] นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การหน่ายบาป ด้วยตบะ เป็นกิริยาที่ถึงยอดและถึงแก่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค จงให้ข้าพระองค์ ถึงยอดถึงแก่นแห่งการหน่ายบาปด้วยตบะเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้ เป็นผู้สังวรแล้วด้วย สังวร ๔ ประการ ฯลฯ เขาย่อมระลึกถึงชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ
เขาระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เขาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำ ด้วยอำนาจ สัมมาทิฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้
เขาย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูกรนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาปด้วยตบะ จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ การหน่ายบาป ด้วยตบะ บริสุทธิ์แน่แท้ ไม่บริสุทธิ์ หามิได้ เป็นกิริยาที่ถึงยอดและถึงแก่น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ การหน่ายบาปด้วยตบะ เป็นกิริยาที่ถึงยอด และถึงแก่น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ดูกรนิโครธะ ท่านได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ธรรมของ พระผู้มีพระภาค สำหรับทรงแนะนำสาวกนั้น ชื่ออะไร ธรรมชื่ออะไรสำหรับรู้แจ้งชัด อาทิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวก ที่พระผู้มีพระภาคทรงแนะนำแล้ว ถึงความยินดี
ดูกรนิโครธะ ฐานะที่ยิ่งกว่าและประณีตกว่า ดังนี้แล เป็นธรรมสำหรับเราแนะนำ สาวก เป็นธรรมสำหรับรู้แจ้งชัด อาทิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวก ที่เราแนะนำแล้ว ถึงความยินดี เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชก เหล่านั้น ได้เป็นผู้มีเสียงดังลั่นอึกทึกว่า พวกเรากับอาจารย์ ยังไม่เห็นในคัมภีร์ มีคัมภีร์อเจลกเป็นต้นนี้ พวกเรากับอาจารย์ยังไม่เห็นในบาลี มีบาลีอเจลกเป็นต้นนี้ พวกเรายังไม่รู้ชัด การบรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งไปกว่านี้
[๒๙] ในกาลที่สันธานคฤหบดี ได้ทราบว่า บัดนี้ พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เหล่านี้ตั้งใจฟัง เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ถึงภาษิตของพระผู้มีพระภาคโดยแท้แล จึงได้กล่าวกะนิโครธปริพาชกว่า
ดูกรท่านนิโครธะ ท่านได้กล่าวกะเราอย่างนี้แลว่า เอาเถิด คฤหบดี ท่านพึงรู้ พระสมณโคดม จะทรงเจรจากับใคร จะถึงการสนทนาด้วยใคร จะถึงความเป็นผู้ฉลาด ด้วยพระปัญญากว่าใคร พระปัญญาของพระสมณโคดมฉิบหายเสีย ในเรือนอันสงัด พระสมณโคดมไม่กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท ไม่สามารถเพื่อจะทรงเจรจา พระองค์ท่าน ทรงเสพ ที่อันสงัด ณภายในอย่างเดียว อุปมาเหมือนแม่โคบอด เที่ยววนเวียน เสพที่อันสงัด ณ ภายใน ฉะนั้น เอาเถิด คฤหบดี พระสมณโคดม พึงเสด็จมาสู่บริษัทนี้ พวกข้าพเจ้า พึงสนทนากะพระองค์ท่าน ด้วยปัญหาข้อเดียวเท่านั้น เห็นจะพึงบีบรัด พระองค์ท่าน เหมือนบุคคลบีบรัดหม้อเปล่า ฉะนั้น
ดูกรท่านนิโครธะ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เสด็จถึงแล้ว ณ ที่นี้ ก็พวกท่านจงทำพระองค์ท่าน ไม่ให้กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท จงทำให้เป็นเหมือนแม่โคบอดเที่ยววนเวียน จงสนทนากะพระองค์ท่านด้วยปัญหา ข้อเดียวเท่านั้น เห็นจะบีบรัดพระองค์ท่าน เหมือนบุคคลบีบรัดหม้อเปล่า ฉะนั้น เมื่อสันธานคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว นิโครธปริพาชกเป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ
[๓๐] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบซึ่งนิโครธปริพาชก เป็นผู้นิ่งเก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ จึงตรัสกะนิโครธปริพาชก ว่าดูกรนิโครธะ วาจานี้ท่านกล่าวจริงหรือ นิโครธปริพาชกทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วาจานี้ ข้าพระองค์กล่าวจริง ด้วยความเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเคย ได้ยินปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวว่ากระไร พระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ทั้งหลาย ได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคทั้งหลายเหล่านั้น ประชุมพร้อมกันแล้ว มีเสียงดังลั่นอึกทึก ขวนขวายติรัจฉานกถาต่างเรื่องอยู่ คือขวนขวายเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญ และความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ เหมือนท่านกับอาจารย์ในบัดนี้ อย่างนี้หรือ หรือว่า พระผู้มีพระภาค ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมทรงเสพราวไพรในป่า เสนาสนะอันสงัด ซึ่งมีเสียงน้อย มีเสียงกึกก้องน้อย ปราศจากลมแต่ชนผู้เดินเข้าออก สมควรแก่การทำกรรม อันเร้นลับ แห่งมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น เหมือนเราในบัดนี้ นิโครธปริพาชกกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เคยได้ยินปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์ และปาจารย์กล่าวว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคทั้งหลายนั้น ประชุมพร้อมกันแล้ว มีเสียงดังลั่นอึกทึก ขวนขวาย ติรัจฉานกถาต่าง เรื่องอยู่อย่างนี้ คือ ขวนขวายเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและความเสื่อม ด้วยประการนั้นๆ เหมือนข้าพระองค์กับอาจารย์ในบัดนี้ อย่างนี้ หามิได้ พระผู้มีพระภาคทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมทรงเสพราวไพรในป่า เสนาสนะ อันสงัด มีเสียงน้อย มีเสียงกึกก้องน้อย ปราศจากลมแต่ชนผู้เดินเข้าออก สมควรแก่การ ทำกรรม อันเร้นลับแห่งมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น เหมือนพระผู้มีพระภาคในบัดนี้ อย่างนี้แล
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่าดูกรนิโครธะ ท่านแลเป็นผู้รู้ เป็นผู้แก่ ไม่ได้ดำริว่า พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นพระพุทธะ ย่อมทรงแสดงธรรม เพื่อความตรัสรู้ พระผู้มีพระภาค นั้น เป็นผู้ฝึกแล้วย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความฝึก พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นผู้สงบระงับ แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบระงับ พระผู้มีพระภาคนั้น เป็นผู้ข้ามได้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรม เพื่อความข้าม พระผู้มีพระภาคนั้นเป็นผู้ดับแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรม เพื่อความดับ
[๓๑] เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว นิโครธปริพาชก ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้ครอบงำ ข้าพระองค์ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด จึงได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับทราบความผิดของข้าพระองค์นั้น โดยเป็นความผิด เพื่อสำรวมต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จริง จริง นิโครธะ ความผิดได้ครอบงำท่าน ซึ่งเป็นคน เขลา คนหลง ไม่ฉลาด จึงได้กล่าวกะเราอย่างนี้ เราขอรับทราบความผิดของท่าน เพราะท่านได้เห็นความผิด โดยเป็นความผิด แล้วสารภาพตามเป็นจริง ก็การที่บุคคล เห็นความผิด โดยเป็นความผิดจริง แล้วสารภาพตามเป็นจริง รับสังวรต่อไปนี้ เป็นความเจริญในพระวินัย ของพระอริยเจ้าแล
ดูกรนิโครธะ ก็เรากล่าวอย่างนี้ว่า บุรุษผู้รู้ ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา มีชาติตรง จงมาเถิด เราจะสั่งสอนเราจะแสดงธรรม เขาปฏิบัติอยู่ตามคำสั่งสอน จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการ อันอันเป็นที่สุด แห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ตลอดเจ็ดปี
ดูกรนิโครธะ เจ็ดปีจงยกไว้ บุรุษผู้รู้ ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา มีชาติตรงจงมาเถิด เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เขาปฏิบัติอยู่ตามคำสั่งสอน จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ตลอดหกปี ... ห้าปี ... สี่ปี ... สามปี ... สองปี ... ปีหนึ่ง
ดูกรนิโครธะ ปีหนึ่ง จงยกไว้ บุรุษผู้รู้ ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา มีชาติตรงจงมาเถิด เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เขาปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ตามคำสั่งสอน จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ตลอดเจ็ดเดือน
ดูกรนิโครธะ เจ็ดเดือนจงยกไว้ บุรุษผู้รู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา มีชาติตรง จงมา เถิด เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เขาปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ตามคำสั่งสอน จักทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต โดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ตลอดหกเดือน ...ห้าเดือน ... สี่เดือน ... สามเดือน ... สองเดือน ... เดือนหนึ่ง ... กึ่งเดือน
ดูกรนิโครธะ กึ่งเดือนจงยกไว้ บุรุษผู้รู้ ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา มีชาติตรง จงมาเถิด เราจะสั่งสอน เราจะแสดงธรรม เขาปฏิบัติอยู่ตามคำสั่งสอน จักทำให้แจ้ง ประโยชน์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ตลอดเจ็ดวัน
ดูกรนิโครธะ แต่บางทีท่านจะพึงดำริอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ตรัสอย่างนี้ เพราะใคร่ได้อันเตวาสิก ข้อนั้นท่านไม่พึงเห็นอย่างนี้ ผู้ใดเป็นอาจารย์ของท่านได้อย่างนี้ ผู้นั้นแหละจงเป็นอาจารย์ของท่าน
ดูกรนิโครธะ แต่บางทีท่านจะพึงดำริอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ปรารถนา จะให้เราเคลื่อนจากอุเทศ [เสื่อมจากการเล่าเรียน] จึงตรัสอย่างนี้ข้อนั้น ท่านไม่พึงเห็น อย่างนั้น อุเทศใดของท่านได้อย่างนี้ อุเทศนั้นแหละจงเป็นอุเทศของท่าน
ดูกรนิโครธะ แต่บางทีท่านจะพึงดำริอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ปรารถนา จะให้เรา เคลื่อนจากอาชีวะ จึงตรัสอย่างนี้ ข้อนั้นท่านไม่พึงเห็นอย่างนั้น ก็อาชีวะ ของท่านนั้นแหละ จงเป็นอาชีวะของท่าน
ดูกรนิโครธะ แต่บางทีท่านจะพึงดำริอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ปรารถนาจะให้ เรา กับอาจารย์ ตั้งอยู่ในอกุศลธรรมซึ่งเป็นส่วนอกุศล จึงตรัสอย่างนี้ ข้อนั้น ท่านไม่พึงเห็นอย่างนั้น อกุศลธรรมเหล่านั้นแหละ จงเป็นส่วนอกุศลของท่านกับอาจารย์
ดูกรนิโครธะ แต่บางทีท่านจะพึงดำริอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ปรารถนา จะให้เรา กับอาจารย์ห่างจากกุศลธรรม ซึ่งเป็นส่วนกุศล จึงตรัสอย่างนี้ ข้อนั้น ท่านไม่พึงเห็นอย่างนั้น กุศลธรรมเหล่านั้นแหละ จงเป็นส่วนกุศลของท่านกับอาจารย์
ดูกรนิโครธะ ด้วยประการดังนี้แล เรากล่าวอย่างนี้ เพราะใคร่ได้อันเตวาสิก หามิได้ เราปรารถนาจะให้ท่านเคลื่อนจากอุเทศ จึงกล่าวอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ ปรารถนาจะให้เคลื่อนจากอาชีวะ จึงกล่าวอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ ปรารถนา จะให้ท่านกับ อาจารย์ ตั้งอยู่ในอกุศลธรรม ซึ่งเป็นส่วนอกุศล จึงกล่าวอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ ปรารถนาจะให้ ท่านกับอาจารย์ ห่างจากกุศลธรรม ซึ่งเป็นส่วนกุศล จึงกล่าวอย่างนี้ ก็ไม่ใช่
ดูกรนิโครธะ ก็อกุศลธรรม อันเป็นเครื่องเศร้าหมอง มีปรกติทำภพใหม่ มีความกระวนกระวาย มีทุกข์เป็นผลเป็นปัจจัย แห่งชาติชรามรณะต่อไป ซึ่งท่านยังละ ไม่ได้ มีอยู่ ที่เราจะแสดงธรรมเพื่อละเสีย ธรรมเป็นเครื่องเศร้าหมอง อันท่านปฏิบัติแล้ว อย่างไร จักละได้ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความผ่องแผ้ว จักเจริญยิ่ง ท่านจักทำให้แจ้ง ซึ่งความบริบูรณ์แห่งมรรคปัญญา และความไพบูลย์แห่งผลปัญญา ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยตนเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชก เหล่านั้น เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณ เหมือนถูกมารดลใจ ฉะนั้น
[๓๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า พวกโมฆบุรุษเหล่านี้ แม้ทั้งหมด ถูกมารดลใจแล้ว ในพวกเขาแม้สักคนหนึ่ง ไม่มีใครคิดอย่างนี้ว่าเอาเถิด พวกเราจะพฤติพรหมจรรย์ ในพระสมณโคดม เพื่อความรู้ทั่วถึงบ้าง เจ็ดวันจักทำอะไร
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงบันลือสีหนาท ในปริพาชการามของ พระนาง อุทุมพริกา แล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส ปรากฏอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏสันธาน คฤหบดีเข้าไปสู่ พระนครราชคฤห์ ในขณะนั้นเอง ดังนี้แล
จบ อุทุมพริกสูตร ที่ ๒
|