ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๓๐
๒. จุนทิสูตร
[๓๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทก นิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ราชกุมารีชื่อว่าจุนที แวดล้อมด้วยรถ ๕๐๐ คัน และกุมารี ๕๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ราชกุมารพระนามว่าจุนทะ พระภาดาของหม่อมฉัน กล่าวอย่างนี้ว่า หญิงหรือชาย เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้า เป็น สรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาด จากอทินนาทาน เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจากมุสาวาท เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ผู้นั้นตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้าถึงทุคติ ดังนี้
หม่อมฉันจึงขอทูลถามว่า ผู้ที่เลื่อมใสในศาสดาเช่นไร เมื่อตายไปแล้ว จึงเข้าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้าถึงทุคติ ผู้ที่เลื่อมใสในธรรมเช่นไร เมื่อตายไปแล้ว จึงเข้าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้าถึงทุคติ ผู้ที่เลื่อมใสในสงฆ์เช่นไร เมื่อตายไปแล้ว จึงเข้าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้าถึงทุคติ ผู้ที่ทำให้บริบูรณ์ในศีลเช่นไร เมื่อตายไป แล้ว จึงเข้าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้าถึงทุคติ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรจุนที สัตว์ที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี มีประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่า สัตว์เหล่านั้น (สัตว์เหล่านี้ คือสัตว์ในคติ ๕ ทั้งหมด)
ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่า เลื่อมใสในสิ่ง ที่เลิศ ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้ที่เลื่อมใส ในสิ่งที่เลิศ
ธรรมที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งก็ดี ที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่งก็ดี มีประมาณเท่าใด วิราคะ คือ ธรรมอันย่ำยีความเมา กำจัดความกระหายถอนเสียซึ่งอาลัย เข้าไปตัด วัฏฏะ เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่คลายกำหนัด เป็นที่ดับ นิพพาน บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าธรรมเหล่านั้น
ชนเหล่าใดเลื่อมใสใน วิราคธรรม ชนเหล่านั้นชื่อว่า เลื่อมใสในสิ่ง ที่เลิศ ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่บุคคล ผู้เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ
หมู่ก็ดี คณะก็ดีมีประมาณเท่าใด สงฆ์สาวกของพระตถาคต คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี้ สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควร ของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มี นาบุญอื่น ยิ่งกว่า บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าหมู่ หรือคณะเหล่านั้น
ชนเหล่าใดเลื่อมใสในสงฆ์ ชนเหล่านั้นชื่อว่า เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่บุคคลผู้ที่เลื่อมใส ในสิ่งที่เลิศ
ศีลมีประมาณเท่าใด ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว คือ ศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อยเป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหา และทิฐิไม่ลูบคลำ เป็นไป เพื่อสมาธิบัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าศีลเหล่านั้น
ชนเหล่าใดย่อมทำให้บริบูรณ์ ในอริยกันตศีล ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำให้ บริบูรณ์ ในสิ่งที่เลิศ ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่บุคคลผู้ทำให้บริบูรณ์ในสิ่งที่เลิศ
บุญอันเลิศ คือ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขและกำลัง ย่อมเจริญแก่บุคคล ผู้รู้แจ้ง ธรรมที่เลิศ เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศคือ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็น ทักขิเณย บุคคล ชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมที่เลิศ อันปราศจากราคะ เป็นที่เข้าไป สงบ เป็นสุข เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ เป็นนาบุญชั้นเยี่ยม ให้ทาน ในสิ่งที่เลิศ ปราชญ์ ผู้ถือมั่นธรรมที่เลิศ ให้ สิ่งที่เลิศ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมถึง สถานที่เลิศ บันเทิงใจอยู่
จบสูตรที่ ๒ |