เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 ธรรมเจติยสูตร ว่าด้วยธรรมเจดีย์ พระเจ้าปเสนทิโกศล เลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง 1374
 

(โดยย่อ)

ธรรมเจติยสูตร ว่าด้วยธรรมเจดีย์
พระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้เลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไป ยังพระวิหาร ทรงซบพระเศียรลงแทบพระยุคลบาท ของ พ. ทรงจูบพระยุคลบาท ด้วยพระโอษฐ์ ทรงนวดพระยุคลบาทด้วยพระหัตถ์ และทรงประกาศพระนามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ๆ

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเห็นอำนาจ ประโยชน์อะไร จึงทรงกระทำ การเคารพนอบน้อม เป็นอย่างยิ่งเห็นปานนี้ ในสรีระนี้ และทรงแสดง อาการฉันทมิตร?

พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงตรัสถึงความเสื่อมใส ดังนี้
คุณข้อที่ ๑
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ต่างกับสมณะพราหมณ์พวกอื่น ที่กำหนด ๑๐ ปีบ้าง 20 ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง

คุณข้อที่ ๒ ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระธรรมตรัสไว้ดีแล้ว สงฆ์สาวกปฏิบัติดีแล้ว

คุณข้อที่ ๓ ทรงเห็นความสมัครสมานสามัคคีในบริษัทนี้ ต่างกับพระราชายังวิวาทกับราชา พราหมณ์ก็ยังวิวาทกับพราหมณ์

คุณข้อที่ ๔
สมณะพราหมณ์เหล่าอื่นซูบผม เศร้าหมอง ไม่ยินดี และโทษกรรมแต่ปางก่อน ต่างกับ สาวกของพระองค์มีใจร่าเริงเบิกบาน

คุณข้อที่ ๕ เมื่อทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุหลายร้อย ก็ไม่ได้เสียงไอกระแอมเลย น่าอัศจรรย์หนอ ที่ภิกษุถูกฝึกมาดีแล้ว

คุณข้อที่ ๖
กษัตริย์เหล่าใดได้ยินข่าวว่า พระโคดมเสด็จถึงนิคมโน้น ก็พากันไปเฝ้า พระองค์ก็ทรง ชี้แจง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา และพากันยอมเข้าเป็นสาวกฯ

คุณข้อที่ ๗
พราหมณ์เหล่าใดได้ยินข่าวว่า พระโคดมเสด็จถึงนิคมโน้น ก็พากันไปเฝ้า พระองค์ก็ทรง ชี้แจง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา และพากันยอมเข้าเป็นสาวกฯ ครั้นบวชแล้ว ได้ออก จากหมู่ ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งถึงที่สุด

คุณข้อที่ ๘
ช่างไม้สองคนที่กินอยู่กับหม่อมฉัน ได้แสดงความเคารพ พระผู้มีพระภาคหมากกว่า ให้ความเคารพหม่อมฉัน ได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ทิศใด เขาก็ผินศีรษะไปทิศนั้น แล้ว เหยียดเท้ามาทางหม่อมฉัน

คุณข้อที่ ๙ อีกประการหนึ่งพระผู้มีพระภาค ก็เป็นกษัตริย์ แม้หม่อมฉันก็เป็นกษัตริย์ แม้พระผู้มี พระภาค ก็เป็นชาวโกศล แม้หม่อมฉัน ก็เป็น ชาวโกศล แม้พระผู้มีพระภาค ก็มีพระชนมายุ ๘๐ ปี แม้หม่อมฉันก็มีอายุ ๘๐ ปี

เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปแล้วไม่นาน
พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาตรัสว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้ ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจา เคารพธรรม เธอทั้งหลายจงเรียน ธรรมเจดีย์ นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์ นี้ไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์.

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๓๘๓

๙. ธรรมเจติยสูตร

ว่าด้วยธรรมเจดีย์

        [๕๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของพวกเจ้าศากยะ อันมีชื่อว่า เมทฬุปะ ในแคล้นสักกะ. ก็สมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปถึงนครกนิคม ด้วยพระราช กรณียะบางอย่าง.

        ครั้งนั้นท้าวเธอรับสั่งกะ ทีฆการายนะ เสนาบดี ว่า ดูกรการายนะผู้สหาย ท่านจง เทียมยานที่ดีๆ ไว้ เราจะไปดูภูมิภาค อันดีในพื้นที่อุทยาน. ทีฆการายนะ เสนาบดี รับสนอง พระราชดำรัสแล้ว ให้เทียมราชยานที่ดีๆ ไว้แล้วกราบทูลแก่ พระเจ้า ปเสนทิโกศลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเทียมพระราชยานที่ดีๆ ไว้ เพื่อใต้ฝ่าละออง ธุลีพระบาท พร้อมแล้ว ขอใต้ฝ่าพระบาท ทรงทราบกาลอันควร ในบัดนี้เถิด ขอเดชะ.

        [๕๖๐] ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จขึ้นทรงยาน พระที่นั่งอย่างดี เสด็จออกจาก นครกนิคม โดยกระบวนพระราชยานอย่างดีๆ ด้วยพระราชานุภาพ อันยิ่งใหญ่ เสด็จไปยังสวนอันรื่นรมย์ เสด็จพระราชดำเนินด้วยยานพระที่นั่ง จนสุด ภูมิประเทศ ที่ยานพระที่นั่งจะไปได้ จึงเสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าไปยังสวน. เสด็จพระราชดำเนินเที่ยวไปๆ มาๆ เป็นการพักผ่อนได้ทอดพระเนตร เห็นต้นไม้ ล้วนน่าดู ชวนให้เกิดความผ่องใส เงียบสงัด ปราศจากเสียงอื้ออึง ปราศจากคน สัญจรไปมา ควรแก่การงานอันจะพึงทำในที่ลับของมนุษย์ สมควรเป็นที่อยู่ ของผู้ต้องการความสงัด

        ครั้นแล้วทรงเกิดพระปีติ ปรารภพระผู้มีพระภาคว่า ต้นไม้เหล่านี้นั้นล้วนน่าดู ชวนให้เกิดความผ่องใส เงียบ ปราศจากเสียงอื้ออึง ปราศจากคนสัญจรไปมา ควรแก่ การงานอันจะพึงทำในที่ลับของมนุษย์ สมควรเป็นที่อยู่ของผู้ต้องการความสงัด เหมือนดังว่าเป็นที่ที่เราเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า.

        ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล รับสั่งกะทีฆการายนะเสนาบดีว่า ดูกรทีฆการายนะ ผู้สหาย ต้นไม้เหล่านี้นั้นล้วนน่าดู ชวนให้ เกิดความผ่องใส ... สมควรเป็นที่อยู่ของ ผู้ต้องการความสงัด เหมือนดังว่าเป็นที่ที่เราเข้าไปเฝ้า พระผู้มี พระภาค อรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า

        ดูกรทีฆการายนะผู้สหาย เดี๋ยวนี้พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ นั้น ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ?

        ทีฆการายนะเสนาบดี กราบทูลว่าข้าแต่มหาราชา มีนิคมของพวกเจ้าศากยะ ชื่อว่า เมทฬุปะ เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ประทับอยู่ ณ นิคมนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

     ป. ดูกรการายนะผู้สหาย ก็นิคมของพวกเจ้าศากย ะชื่อว่าเมทฬุปะ มีอยู่จากนิคม นครกะไกลเพียงไร?

     ที. ข้าแต่มหาราช ไม่ไกลนัก ระยะทาง ๓ โยชน์ อาจเสด็จถึงได้โดยไม่ถึงวัน ขอเดชะ.

     ป. ดูกรการายนะผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเทียมยานที่ดีๆ ไว้ เราจักไปเฝ้า พระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.

     ทีฆการายนะ เสนาบดีทูลรับสนองพระราชดำรัส แล้วสั่งให้เทียมยานที่ดีๆ ไว้ แล้วกราบทูลแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเทียมยานที่ดีๆ ไว้พร้อมแล้ว พระเจ้าข้าขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้โปรดทรงทราบกาล อันควร ในบัดนี้เถิด.

พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

        [๕๖๑] ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จขึ้นทรงยานพระที่นั่งอย่างดี เสด็จจากนครกนิคม โดยกระบวนพระราชยานอย่างดี เสด็จไปยังนิคมของพวกเจ้า ศากยะ ชื่อว่าเมทฬุปะ เสด็จถึงนิคมนั้นโดยไม่ถึงวัน เสด็จเข้าไปยังสวน เสด็จ พระราชดำเนิน ด้วยยานพระที่นั่งไปจนสุดภูมิประเทศที่ ยานพระที่นั่งจะไปได้ เสด็จลงจากยานพระที่นั่งแล้ว ทรงดำเนินเข้าไปยังสวน.

        ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากเดินจงกรรมอยู่ในที่แจ้ง. ครั้งนั้นพระเจ้าปเสน ทิโกศล เสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลาย ผู้เจริญ เดี๋ยวนี้พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ อยู่ ณ ที่ไหน ข้าพเจ้า ประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. ภิกษุเหล่านั้น ถวายพระพรว่า

        ดูกรมหาบพิตร นั่นพระวิหารพระทวารปิดเสียแล้ว เชิญมหาบพิตร เงียบเสียง ค่อยๆเสด็จเข้าไปถึงระเบียงแล้ว ทรงกระแอม เคาะพระทวาร เข้าเถิด พระผู้มีพระภาค จักทรงเปิดพระทวาร รับมหาบพิตร ขอถวายพระพร ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงมอบพระแสงขรรค์ และพระอุณหิศ แก่ ทีฆการายนะ เสนาบดีในที่นั้น

        ครั้งนั้น ทีฆการายนะเสนาบดี มีความดำริว่า บัดนี้ พระมหาราชาจักทรง ปรึกษาความลับ เราควรจะยืนอยู่ในที่นี้แหละ. ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเงียบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหาร ซึ่งปิดพระทวาร ทรงค่อยๆ เสด็จเข้าไปถึง พระระเบียง ทรงกระแอมแล้วทรงเคาะพระทวาร.

        พระผู้มีพระภาค เปิดพระทวาร ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไป ยังพระวิหาร ทรงซบพระเศียรลง แทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค ทรงจูบ พระยุคลบาท ของพระผู้มีพระภาคด้วยพระโอษฐ์ ทรงนวดพระยุคลบาท ด้วยพระหัตถ์ และทรงประกาศพระนามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล.

        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตรทรงเห็นอำนาจ ประโยชน์อะไร จึงทรงกระทำการเคารพนอบน้อม เป็นอย่างยิ่งเห็นปานนี้ ในสรีระนี้ และทรงแสดง อาการฉันทมิตร?

ทรงสรรเสริญพระธรรมวินัย

        [๕๖๒] พระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน มีความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคตรัสรู้เองโดยชอบ พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ปฏิบัติ ดีแล้ว.

(คุณข้อที่ ๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีวิต)

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส หม่อมฉันเห็นสมณพราหมณ์ พวกหนึ่ง ประพฤติพรหมจรรย์กำหนดที่สุด ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง.

        สมัยต่อมา สมณพราหมณ์เหล่านั้น อาบน้ำดำเกล้าลูบไล้อย่างดี แต่งผมและ หนวด บำเรอตนให้เอิบอิ่มพรั่ง พร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่ หม่อมฉัน ได้เห็นภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ บริบูรณ์ มีชีวิตเป็นที่สุดจนตลอดชีวิต. อนึ่ง หม่อมฉันมิได้เห็นพรหมจรรย์อื่น อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์อย่างนี้ นอกจากธรรมวินัยนี้.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๒ ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระธรรมตรัสไว้ดีแล้ว สงฆ์สาวกปฏิบัติ ดีแล้ว)

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใส ในธรรมในพระผู้มีพระภาค ของ หม่อมฉันว่า พระผู้มีพระภาค ตรัสรู้เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มี พระภาค ตรัสดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ปฏิบัติดีแล้ว.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๓ เห็นความสมัครสมานสามัคคีในบริษัทนี้ แม้พระราชาก้ยังวิวาทกับพระราชา แม้พราหมณ์ก็ยังวิวาทกับพราหมณ์)

        [๕๖๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง พระราชาก็ยังวิวาทกับพระราชา แม้กษัตริย์ ก็ยังวิวาทกับกษัตริย์ แม้พราหมณ์ก็ยังวิวาทกับพราหมณ์ แม้คฤหบดี ก็ยังวิวาท กับคฤหบดีแม้มารดาก็ยังวิวาทกับบุตร แม้บุตรก็ยังวิวาทกับมารดา แม้บิดา ก็ยังวิวาทกับบุตร แม้บุตรก็ยังวิวาทกับบิดา แม้พี่น้องชายก็ยังวิวาท กับพี่น้องหญิง แม้พี่น้องหญิงก็ยังวิวาทกับพี่น้องชาย แม้สหายก็ยังวิวาทกับสหาย ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ แต่หม่อมฉันได้เห็นภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ สมัครสมานกัน ชื่นชมกัน ไม่วิวาทกัน เข้ากันได้สนิทเหมือนน้ำกับน้ำนม มองดูกันและกันด้วยจักษุ อันเปี่ยมด้วย ความรักอยู่.

        ข้าแต่พระองค์เจริญ เมื่อ หม่อมฉันไม่เคยเห็นบริษัทอื่น ที่สมัครสมานกัน อย่างนี้ นอกจากธรรมวินัยนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใส ในธรรม ในพระผู้มีพระภาคของหม่อมฉัน.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๔ สมณะพราหมณ์เหล่าอื่นซูบผม เศร้าหมอง ไม่ยินดี และโทษกรรม และสาวก ของพระองค์มีใจร่าเริงเบิกบาน )

        [๕๖๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันเดินเที่ยวไปตาม อาราม ทุกอาราม ตามอุทยาน ทุกอุทยานอยู่เนืองๆ ในที่นั้นๆ หม่อมฉันได้เห็น สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ซูบผอมเศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่าจะไม่ตั้งใจแลดูคน.

        หม่อมฉันนั้นได้เกิดความคิดว่า ท่านเหล่านี้คงไม่ยินดี ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นแน่ หรือว่าท่านเหล่านั้น มีบาปกรรมอะไร ที่ทำแล้วปกปิดไว้ ท่านเหล่านี้จึงซูบ ผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่า ไม่ตั้งใจแลดูคน.

        หม่อมฉันเข้าไปหา สมณพราหมณ์เหล่านั้น แล้วถามว่า ดูกรท่านมีอายุ ทั้งหลาย เหตุไรหนอท่านทั้งหลาย จึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่าไม่ตั้งใจแลดูคน? สมณพราหมณ์เหล่านั้น ได้ตอบอย่างนี้ว่า

        ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพทั้งหลาย เป็นโรคพันธุกรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่ หม่อมฉันได้เห็น ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ร่าเริงยิ่งนัก มีใจชื่นบาน มีรูปอันน่า ยินดี มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความขวนขวายน้อย มีขนอันตกเลี้ยงชีพด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดังมฤคอยู่.

        ข้าแต่พระองค์เจริญ หม่อมฉันได้มีความคิดว่าท่านเหล่านี้ คงรู้คุณวิเศษยิ่งขึ้น ไปกว่าเดิม ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเป็นแน่ ท่านเหล่านี้จึงร่าเริงยิ่งนัก มีใจ ชื่นบาน มีรูปอันน่ายินดี มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความขวนขวายน้อย มีขนอันตกเลี้ยง ชีพ ด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดังมฤคอยู่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความ เลื่อมใสในธรรม ในพระผู้มีพระภาคของหม่อมฉัน.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๕- เมื่อทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุหลายร้อย ก็ไม่ได้เสียงไอ กระแอมเลย น่าอัศจรรย์หนอ ที่ภิกษุถูกฝึกมาดีแล้ว)

        [๕๖๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันเป็น ขัตติยราช ได้มูรธาภิเษกแล้ว ย่อมสามารถจะให้ฆ่าคน ที่ควรฆ่าได้ จะให้ริบคนที่ควรริบก็ได้ จะให้เนรเทศคนที่ควรเนรเทศก็ได้. เมื่อหม่อมฉันนั่งอยู่ในที่วินิจฉัยความ ก็ยังมีคน ทั้งหลายพูดสอดขึ้นในระหว่างๆ หม่อมฉันจะห้ามว่า

        ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อเรานั่งอยู่ในที่วินิจฉัยความ ท่านทั้งหลายอย่า พูดสอดขึ้นในระหว่าง จงรอคอย ให้สุดถ้อยคำของเราเสียก่อน ดังนี้ ก็ไม่ได้ คนทั้งหลายก็ยังพูดสอดขึ้น ในระหว่างถ้อยคำของหม่อมฉัน.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่หม่อมฉันได้เห็นภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ ในสมัยใด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม แก่บริษัทหลายร้อย ในบริษัทนั้น สาวกทั้งหลาย ของพระผู้มีพระภาค ไม่มีเสียงจามหรือไอเลย.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้วพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมแก่ บริษัทหลายร้อย ในบริษัทนั้น สาวกของพระผู้มีพระภาครูปหนึ่งได้ไอขึ้น.

        เพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่ง ได้เอาเข่ากะตุ้นเธอรูปนั้น ด้วยความประสงค์จะให้ เธอ รู้สึกตัวว่า ท่านจงเงียบเสียง อย่าได้ทำเสียงดังไป พระผู้มีพระภาคผู้เป็นศาสดา ของเราทั้งหลายกำลังทรงแสดงธรรมอยู่.

        หม่อมฉันเกิดความคิดขึ้นว่า น่าอัศจรรย์หนอ  ไม่เคยมีมา ได้ยินว่าบริษัท จักเป็น อันพระผู้มีพระภาค ทรงฝึกดีแล้วอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา โดยไม่ต้อง ใช้ศาสตรา.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่เคยได้เห็นบริษัทอื่น ที่ฝึกได้ดีอย่างนี้ นอกจาก ธรรมวินัยนี้. แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาค ของหม่อมฉัน.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๖ - กษัตริย์เหล่าใดได้ยินข่าวว่า พระโคดมเสด็จถึงนิคมโน้น ก็พากันไปเฝ้า พระองค์ก็ทรงชี้แจงให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา และพากันยอมเข้าเป็นสาวก)

        [๕๖๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันได้เห็นกษัตริย์ ผู้เป็น บัณฑิตบางพวกในโลกนี้ เป็นผู้ฉลาด อาจย่ำยีถ้อยคำอันเป็นข้าศึกได้ มีปัญญา สามารถ ยิงขนทรายได้.

        กษัตริย์เหล่านั้น เหมือนดังเที่ยวทำลายทิฏฐิของผู้อื่น ด้วยปัญญา. พอได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดม จักเสด็จถึงบ้าน หรือนิคมชื่อโน้น. กษัตริย์เหล่านั้น ก็พากันแต่งปัญหา ด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักพากันเข้าไปหาพระสมณโคดม แล้วถาม ปัญหานี้ ถ้าพระสมณโคดม อันพวกเราถามอย่างนี้แล้ว จักพยากรณ์อย่างนี้ไซร้ พวกเราจักยกวาทะอย่างนี้ แก่พระสมณโคดม ถ้าแม้พระสมณโคดม อันเรา ทั้งหลายถาม อย่างนี้ แล้ว จักพยากรณ์อย่างนี้ไซร้ พวกเราก็จักยกวาทะแม้อย่างนี้ แก่พระสมณโคดม.

        กษัตริย์เหล่านั้นได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดมเสด็จถึงบ้าน หรือนิคมโน้นแล้ว ก็พากัน ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้กษัตริย์ เหล่านั้น เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา.

        กษัตริย์เหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ไม่ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาค ที่ไหน จักยกวาทะแก่พระองค์เล่า ที่แท้ ก็พากันยอมตนเข้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มี พระภาค ของ หม่อมฉัน.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๗ - พราหมณ์เหล่าใดได้ยินข่าวว่า พระโคดมเสด็จถึงนิคมโน้น ก็พากันไปเฝ้า พระองค์ก็ทรงชี้แจง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา และพากันยอมเข้าเป็นสาวก ของพระผู้มีพระภาค ครั้นบวชแล้ว ได้ออกจากหมู่ ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งถึงที่สุด)

        [๕๖๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันได้เห็นพราหมณ์ ผู้เป็นบัณฑิต ฯลฯคฤหบดีผู้เป็นบัณฑิต ... สมณะผู้เป็นบัณฑิตบางพวกในโลกนี้ เป็นผู้ฉลาด อาจย่ำยีถ้อยคำ อันเป็นข้าศึกได้ มีปัญญา สามารถยิงขนทรายได้. สมณะเหล่านั้น เหมือนดังเที่ยวทำลายทิฏฐิของผู้อื่นด้วยปัญญา.

        พอได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดม จักเสด็จถึงบ้านหรือนิคมโน้น. สมณะเหล่านั้น ก็พากันแต่งปัญหาด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักพากันเข้าไปหา พระสมณ โคดมแล้ว ถามปัญหานี้ ถ้าพระสมณโคดม อันพวกเราถามอย่างนี้แล้ว จักพยากรณ์ อย่างนี้ไซร้ พวกเราจักยกวาทะอย่างนี้แก่พระสมณโคดม ถ้าแม้พระสมณโคดมอันเรา ทั้งหลาย ถามอย่างนี้แล้ว จักพยากรณ์อย่างนี้ไซร้ พวกเราก็จักยกวาทะแม้อย่างนี้ แก่พระสมณโคดม.

        สมณะเหล่านั้น ได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดมเสด็จถึงบ้าน หรือนิคมโน้นแล้ว. ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ. พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้สมณะ เหล่านั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.

        สมณะเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วย ธรรมีกถาแล้ว ไม่ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาค ที่ไหนจักยกวาทะแก่พระองค์เล่า ที่แท้ ย่อมขอโอกาสกะพระผู้มีพระภาค เพื่อขอออกบวชเป็นบรรพชิต.

        พระผู้มีพระภาค ก็ทรงให้เขาเหล่านั้นบวช. ครั้นเขาเหล่านั้นได้บวชอย่างนี้ แล้ว เป็นผู้หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ ไม่นานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุด แห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็น บรรพชิต โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.

        ท่านเหล่านั้น พากันกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราทั้งหลาย ย่อมไม่พินาศละซิหนอ ด้วยว่า เมื่อก่อนเราทั้งหลาย ไม่ได้เป็นสมณะเลย ก็ปฏิญาณว่า เป็นสมณะ ไม่ได้เป็นพราหมณ์เลย ก็ปฏิญาณว่าเป็นพราหมณ์ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เลย ก็ปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์ บัดนี้ พวกเราเป็นสมณะ เป็นพราหมณ์ เป็น พระอรหันต์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใส ในธรรม ในพระผู้มี พระภาค ของหม่อมฉัน.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

(คุณข้อที่ ๘ - ช่างไม้สองคน คนหนึ่งชื่อ อิสิทันตะ คนหนึ่งชื่อปุราณะ ที่กินอยู่กับหม่อมฉัน ได้แสดงความเคารพหท่อมฉัน ไม่เท่ากับพระผู้มีพระภาค เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ทิศใด เขาก็ผินศีรษะไปทิศนั้น พร้อมกับนอนเหยียดเท้ามาทางหม่อมฉัน)

        [๕๖๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง ช่างไม้สองคน คนหนึ่งชื่อ อิสิทันตะ คนหนึ่งชื่อปุราณะ กินอยู่ของหม่อมฉัน ใช้ยวดยานของหม่อมฉัน หม่อมฉัน ให้เครื่องเลี้ยงชีพแก่เขา นำยศมาให้เขา แต่ถึงกระนั้น เขาจะได้ทำความเคารพนบนอบในหม่อมฉัน เหมือนในพระผู้มีพระภาคก็หาไม่.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว หม่อมฉันยกกองทัพออกไป เมื่อจะทดลอง ช่างไม้อิสิทันตะ และช่างไม้ปุราณะนี้ดู จึงเข้าพักอยู่ในที่พัก อันคับแคบแห่งหนึ่ง.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งนั้น แลนายช่างอิสิทันตะ และนายช่างปุราณะ เหล่านี้ ยังกาลให้ล่วงไปด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีเป็นอันมากได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ทิศใด เขาก็ผินศีรษะไปทางทิศนั้น นอนเหยียดเท้ามาทางหม่อมฉัน.

        หม่อมฉันมีความคิดว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์นักหนอ ไม่เคยมีมา แล้วหนอ นายช่างอิสิทันตะและนายช่างปุราณะเหล่านี้ กินอยู่ของเรา ใช้ยวดยาน ก็ของเรา เราให้เครื่องเลี้ยงชีพแก่เขา นำยศมาให้เขา แต่ถึงกระนั้น เขาจะได้ทำ ความเคารพ นบนอบในเรา เหมือนในพระผู้มีพระภาคก็หาไม่.

        ท่านเหล่านี้คงจะรู้คุณวิเศษยิ่งขึ้น ไปกว่าเดิม ในศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น เป็นแน่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรมใน พระผู้มีพระภาคของหม่อมฉัน ...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
(คุณข้อที่ ๙ -อีกประการหนึ่งพระผู้มีพระภาค ก็เป็นกษัตริย์ แม้หม่อมฉันก็เป็นกษัตริย์ แม้พระผู้มีพระภาค ก็เป็นชาวโกศล แม้หม่อมฉัน ก็เป็น ชาวโกศล แม้พระผู้มีพระภาค ก็มีพระชนมายุ ๘๐ ปี แม้หม่อมฉันก็มีอายุ ๘๐ ปี)

         พระพุทธเจ้ากับพระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระชนม์เท่ากัน

        [๕๖๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง แม้พระผู้มีพระภาค ก็เป็นกษัตริย์ แม้หม่อมฉันก็เป็นกษัตริย์ แม้พระผู้มีพระภาคก็เป็นชาวโกศล แม้หม่อมฉัน ก็เป็น ชาวโกศล แม้พระผู้มีพระภาคก็มีพระชนมายุ ๘๐ ปี แม้หม่อมฉันก็มีอายุ ๘๐ ปี.

        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเหตุนี้แล หม่อมฉันจึงได้ทำความเคารพ นบนอบ เป็น อย่างยิ่งในพระผู้มีพระภาค และแสดงอาการเป็นฉันทมิตร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอทูลลาไป ณ บัดนี้ หม่อมฉัน มีกิจมาก มีกรณียะมาก.

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร มหาบพิตร จงทรงทราบกาลอันควร ในบัดนี้เถิด. ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงถวาย อภิวาท พระผู้มีพระภาค ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป.

        [๕๗๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปแล้วไม่นาน พระผู้มี พระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาตรัสว่า

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์นี้ ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจา เคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จ หลีกไป

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์ นี้ไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์.

     พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชม ยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.

จบ ธรรมเจติยสูตร ที่ ๙.




 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์