เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 ปัญจัตตยสูตร ว่าด้วย ความเห็นผิด(ทิฐิ) ๕ ประการ 1336
 

(โดยย่อ)


ปัญจัตตยสูตร ว่าด้วย ความเห็นผิด(ทิฐิ) ๕ ประการ


พวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีทิฐิคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ย่อมปรารภขันธ์ ส่วนอนาคต กล่าวยืนยันบทแห่ง ความเชื่อมั่นหลายประการ คือ
  1. พวกหนึ่ง กล่าวว่าอัตตาที่มีสัญญา เป็นของยั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป
  2. พวกหนึ่ง กล่าวว่า อัตตาที่ไม่มีสัญญา เป็นของยั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป
  3. พวกหนึ่ง กล่าวว่า อัตตา ที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เป็นของยั่งยืน
  4. พวกหนึ่ง บัญญัติความขาดศูนย์ ความพินาศ ความไม่เกิดของสัตว์ที่มีอยู่
  5. พวกหนึ่ง ยืนยันนิพพานในปัจจุบัน

เป็นอันว่าสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
  1. ย่อมบัญญัติอัตตา ที่มีอยู่ว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป พวกหนึ่ง
  2. บัญญัติความขาดศูนย์ ความพินาศ ความไม่เกิดของสัตว์ที่มีอยู่ พวกหนึ่ง
  3. กล่าวยืนยันนิพพาน ในปัจจุบัน อีกพวกหนึ่ง

รวมบทแห่งความเชื่อมั่นเหล่านี้
เป็น ๕ บท แล้ว เป็น ๓ บท เป็น ๓ ขยายเป็น ๕ นี้ อุเทศของบทห้า ๓ หมวด ของความเชื่อมั่น

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง  เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๐

๒. ปัญจัตตยสูตร (๑๐๒)


             [๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว

             [๒๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ ส่วนอนาคต มีทิฐิคล้อยตามขันธ์ ส่วนอนาคต ย่อมปรารภขันธ์ ส่วนอนาคต กล่าวยืนยันบทแห่ง ความเชื่อมั่นหลายประการ คือ

          
  (๑) พวกหนึ่งกล่าวยืนยันอย่างนี้ว่าอัตตาที่มีสัญญา เป็นของยั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป (๒) พวกหนึ่งกล่าวยืนยัน อย่างนี้ว่าอัตตาที่ไม่มีสัญญาเป็น ของยั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป (๓) พวกหนึ่งกล่าวยืนยันอย่างนี้ว่า อัตตาที่มี สัญญาก็มิใช่ไม่มี สัญญาก็มิใช่ เป็นของยั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป (๔) อีกพวกหนึ่ง บัญญัติความขาด ศูนย์ ความพินาศความไม่เกิดของสัตว์ที่มีอยู่ (๕) และอีกพวกหนึ่ง กล่าวยืนยันนิพพานในปัจจุบัน

             เป็นอันว่าสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมบัญญัติอัตตา ที่มีอยู่ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป พวกหนึ่ง บัญญัติความขาดศูนย์ ความพินาศ ความไม่เกิดของ สัตว์ที่มีอยู่พวกหนึ่ง กล่าวยืนยันนิพพานในปัจจุบัน อีกพวกหนึ่ง

             รวมบทแห่งความเชื่อมั่นเหล่านี้ เป็น ๕ บท แล้ว เป็น ๓ บท เป็น ๓ ขยายเป็น ๕ นี้ อุเทศของบทห้า ๓ หมวด ของความเชื่อมั่น

             [๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ท่านสมณ พราหมณ์ พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมบัญญัติ อัตตาที่มีสัญญา
             (๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๕) ชนิดมีสัญญาอย่างเดียวกัน ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๖) ชนิดมีสัญญาต่างกัน ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๗) ชนิดมีสัญญาย่อมเยา ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๘) ชนิดมีสัญญาหาประมาณมิได้ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี

             แต่ยังมีอีกพวกหนึ่ง กล่าวยืนยันวิญญาณกสิณของอัตตา มีสัญญาชนิดใด ชนิดหนึ่งเหล่านี้ ที่เป็นไปล่วงชนิดทั้ง ๗ ว่า หาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณพราหมณ์ พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ ตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่มีสัญญา
             (๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๕) ชนิดมีสัญญาอย่างเดียวกัน ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๖) ชนิดมีสัญญาต่างกัน ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๗) ชนิดมีสัญญาย่อมเยา ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๘) ชนิดมีสัญญาหาประมาณมิได้ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี

            แต่ยังมีอีกพวกหนึ่ง กล่าวยืนยันอากิญจัญญายตนะว่า หาประมาณมิได้ ไม่หวั่นไหว ด้วยเหตุที่สัญญาอันบัณฑิตกล่าวว่าบริสุทธิ์ เยี่ยมยอด ไม่มีสัญญาอื่น ยิ่งกว่าสัญญา เหล่านี้ ทั้งที่เป็นสัญญาในรูป ทั้งที่เป็นสัญญาในอรูป ทั้งที่เป็นสัญญา อย่างเดียวกัน ทั้งที่เป็นสัญญาต่างกัน ไม่มีสักน้อยหนึ่ง เรื่องสัญญาดังนี้นั้น อันปัจจัย ปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ตถาคตทราบว่า สิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ท่านสมณ พราหมณ์ พวกบัญญัติอัตตา ที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมบัญญัติ อัตตาที่ไม่มีสัญญา
             (๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์พวก บัญญัติอัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์ พวกอสัญญีวาทะนั้น นั่นเพราะเหตุไร เพราะสัญญาเป็นเหมือนโรค เป็นเหมือนหัวฝี เป็นเหมือนลูกศร สิ่งดี ประณีต นี้คือความไม่มีสัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลายตถาคต ย่อมทราบเรื่องนี้ดี


             ท่านสมณพราหมณ์พวก บัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้า แต่ตายไป ย่อมบัญญัติอัตตา ที่ไม่มีสัญญา
             (๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจัก บัญญัติการมาเกิด หรือการไปเกิด การจุติ การอุปบัติ ความเจริญ ความงอกงาม ความไพบูลย์ นอกจากรูป นอกจากเวทนา นอกจากสัญญา นอกจากสังขารนอกจาก วิญญาณ คำกล่าวดังนี้ของสมณพราหมณ์นั้น ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ เรื่องไม่มีสัญญาดังนี้ นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง มีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก จากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง นั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ท่านสมณพราหมณ์ พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
             (๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์พวก บัญญัติ อัตตาที่มีสัญญาว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์ พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาทะนั้น แม้ท่านสมณพราหมณ์พวกบัญญัติอัตตา ที่ไม่มี สัญญา ว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ก็ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์ พวกเนวสัญญี นาสัญญีวาทะนั้น นั่นเพราะเหตุไร เพราะสัญญาเป็นเหมือนโรค เป็นเหมือนหัวฝี เป็นเหมือนลูกศร ความไม่มีสัญญา เป็นความหลง สิ่งดี ประณีตนี้ คือ ความมีสัญญา ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณพราหมณ์ พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ย่อมบัญญัติอัตตา ที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
             (๑) ชนิดมีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๒) ชนิดไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๓) ชนิดทั้งมีรูปและไม่มีรูป ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี
             (๔) ชนิดมีรูปก็มิใช่ไม่มีรูปก็มิใช่ ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็มี

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง บัญญัติ การ เข้าอายตนะนี้ ด้วยเหตุเพียงสังขาร ที่ตนรู้แจ้ง โดยได้เห็นได้ยินและได้ทราบ การบัญญัติของสมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นความพินาศ ของการเข้า อายตนะนี้ เพราะอายตนะนี้ ท่านไม่กล่าวว่า พึงบรรลุด้วยความถึงพร้อม ของสังขาร แต่ท่านกล่าวว่า พึงบรรลุด้วยความถึงพร้อม ของขันธ์ที่เหลือจากสังขาร เรื่องเนวสัญญานาสัญญายตนะ ดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และ ความ ดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ มีอยู่ ตถาคตทราบว่า สิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบาย เป็นเครื่อง สลัดออก จากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต นั้น สมณพราหมณ์พวกบัญญัติอัตตาที่มีสัญญา ว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไปย่อม คัดค้าน สมณพราหมณ์พวกบัญญัติความขาดศูนย์ ความพินาศ ความไม่เกิดของสัตว์ ที่มีอยู่ แม้ท่านสมณพราหมณ์พวกบัญญัติอัตตาที่ไม่มีสัญญา ว่ายั่งยืน เบื้องหน้าแต่ ตายไป ก็ย่อมคัดค้านสมณพราหมณ์พวกอุจเฉทวาทะนั้น แม้ท่านสมณพราหมณ์พวก บัญญัติ อัตตาที่มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ว่ายั่งยืนเบื้องหน้าแต่ตายไป ก็ย่อม คัดค้าน สมณพราหมณ์ พวกอุจเฉทวาทะนั้น

            นั่นเพราะเหตุไร

            เพราะท่านสมณ พราหมณ์ เหล่านี้ แม้ทั้งหมด ย่อมหมายมั่นกาลข้างหน้า กล่าวยืนยันความหวัง อย่างเดียวว่า เราละโลกไปแล้ว จักเป็นเช่นนี้ๆ เปรียบเหมือน พ่อค้า ไปค้าขายย่อมมี ความหวังว่า ผลจากการค้าเท่านี้ จักมีแก่เรา เพราะการค้า ขายนี้ เราจักได้ผลเท่านี้ ดังนี้ฉันใด ท่านสมณพราหมณ์พวกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ชะ รอยจะเห็นปรากฏ เหมือนพ่อค้า จึงหวังว่า เราละโลกไปแล้ว จักเป็นเช่นนี้ๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณพราหมณ์พวกบัญญัติความขาดศูนย์ ความพินาศ ความไม่เกิด ของสัตว์ที่มีอยู่ เป็นผู้กลัวสักกายะ เกลียดสักกายะ แต่ยังวนเวียนไปตามสักกายะ อยู่นั่นแล เปรียบเหมือนสุนัขที่เขาผูกโซ่ล่ามไว้ที่เสาหรือที่หลักมั่น ย่อมวนเวียนไป ตามเสาหรือหลักนั่นเอง ฉันใด

            ท่านสมณพราหมณ์พวกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันเป็น ผู้กลัว สักกายะ เกลียด สักกายะ แต่ยังวนเวียนไปตามสักกายะอยู่นั่นแล เรื่องสักกายะ ดังนี้นั้น อันปัจจัย ปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่า สิ่งนี้ ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก จากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง นั้น เป็นไปล่วง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กำหนดขันธ์ ส่วนอนาคต มีทิฐิคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคต ย่อมปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าว ยืนยัน บทแห่งความเชื่อมั่นหลายประการ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมกล่าว ยืนยันอายตนะ ๕ นี้ทั้งมวล หรือเฉพาะอายตนะใดอายตนะหนึ่ง

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีทิฐิ คล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต ย่อมปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวยืนยันบทแห่งความเชื่อมั่น หลายประการ คือ

            พวกหนึ่งกล่าวยืนยันอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่น เปล่า
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกไม่เที่ยง...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกทั้งเที่ยงและไม่เที่ยง...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกเที่ยงก็มิใช่ ไม่เที่ยงก็มิใช่...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีที่สุด...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกไม่มีที่สุด...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกทั้งมีที่สุดและไม่มีที่สุด...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาอย่างเดียวกัน...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาต่างกัน...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาย่อมเยา...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาหาประมาณมิได้...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีสุขโดยส่วนเดียว...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีทุกข์โดยส่วนเดียว...
            พวกหนึ่ง...ว่า อัตตาและโลกมีทั้งสุขและทุกข์...
            พวกหนึ่งกล่าวยืนยันอย่างนี้ว่า อัตตาและโลก มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่
นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า

             [๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์ พวกใด มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่น เปล่า ข้อที่ญาณเฉพาะตัวอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของสมณพราหมณ์พวกนั้น จักมีเองได้ นอกจากความเชื่อ ความชอบใจ การฟังตามเขาว่า ความตรึกตามอาการความปักใจ ดิ่งด้วยทิฐิ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อไม่มีญาณเฉพาะตัว อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าน สมณพราหมณ์ พวกนั้น ย่อมให้เพียงส่วนของความรู้แม้ใดในญาณนั้นแจ่มแจ้ง แม้ส่วนของความรู้นั้น บัณฑิตก็เรียกว่า อุปาทานของท่านสมณพราหมณ์ พวกนั้น เรื่องอุปาทานดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับ ของสิ่งที่ปัจจัย ปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบาย เป็นเครื่องสลัดออกจากสิ่ง ที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์ พวกใด มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกไม่เที่ยง นี้เท่านั้นจริงอย่างอื่น เปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกทั้งเที่ยงและไม่เที่ยง นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกเที่ยงก็มิใช่ ไม่เที่ยงก็มิใช่ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีที่สุด นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกไม่มีที่สุด นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกทั้งมีที่สุดและไม่มีที่สุด นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่น เปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีที่สุดก็มิใช่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า
            ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาอย่างเดียวกัน นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาต่างกัน นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาย่อมเยา นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีสัญญาหาประมาณมิได้ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีสุขโดยส่วนเดียว นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีทุกข์โดยส่วนเดียว นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลกมีทั้งสุขและทุกข์ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า...
            ว่า อัตตาและโลก มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ นี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า

            ข้อที่ญาณเฉพาะตัวอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของสมณพราหมณ์พวกนั้นๆ จักมีเอง ได้นอกจากความเชื่อ ความชอบใจ การฟังตามเขาว่า ความตรึกตามอาการ ความ ปักใจดิ่งด้วยทิฐิ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อไม่มีญาณเฉพาะตัว อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านสมณ พราหมณ์พวกนั้นๆ ย่อมให้เพียงส่วนของความรู้แม้ใด ในญาณนั้นแจ่มแจ้ง แม้ส่วน ของความรู้นั้น บัณฑิตก็เรียกว่าอุปาทาน ของท่านสมณพราหมณ์พวกนั้นๆ เรื่องอุปาทานดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัย ปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก จากสิ่งที่ ปัจจัย ปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

             [๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เพราะไม่ตั้ง กามสัญโญชน์ ไว้โดยประการทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้ ย่อมเข้าถึงปีติอันเกิดแต่วิเวก อยู่ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต คือปีติเกิดแต่วิเวกอยู่ ปีติเกิดแต่ วิเวกนั้น ของเธอ ย่อมดับไปได้ เพราะปีติเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดโทมนัส เพราะ โทมนัสดับ ย่อมเกิดปีติเกิดแต่วิเวก เปรียบเหมือนร่มเงาละที่แห่งใด แดดย่อมแผ่ไป ยังที่แห่งนั้น แดดละที่แห่งใด ร่มเงาก็ย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน แล เพราะปีติเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดโทมนัส เพราะโทมนัสดับ ย่อมเกิดปีติเกิด แต่วิเวก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้ โดยประการ ทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ ส่วนอนาคตเสียได้ ย่อมเข้าถึงปีติอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึ งสิ่งที่ดี ประณีต คือปีติเกิดแต่วิเวกอยู่ ปีติเกิดแต่วิเวกนั้นของเธอ ย่อมดับไปได้ เพราะปีติเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดโทมนัส เพราะโทมนัสดับ ย่อมเกิดปีติเกิดแต่วิเวก เรื่องปีติเกิดแต่วิเวกดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของหยาบ และความดับของสิ่ง ที่ปัจจัย ปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก จากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่สมณะหรือพราหมณ์ บางคนในโลกนี้ เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้ โดยประการทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิ อันคล้อยตามขันธ์ ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้ และเพราะก้าวล่วงปีติเกิด แต่วิเวกได้ ย่อมเข้าถึงสุขเสมือนปราศจากอามิสอยู่ ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่ง ที่ดี ประณีต คือนิรามิสสุขอยู่ สุขเสมือนปราศจาก อามิสนั้น ของเธอย่อมดับไปได้ เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ ย่อมเกิดปีติอันเกิดแต่วิเวก เพราะปีติอันเกิดแต่ วิเวกดับ ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจาก อามิส เปรียบเหมือนร่มเงาละที่แห่งใด แดดย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น แดดละที่แห่งใด ร่มเงาก็ย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล เพราะสุขเสมือน ปราศจากอามิสดับ ย่อมเกิดปีติอันเกิดแต่วิเวก เพราะปีติอันเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ ไว้โดยประการ ทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิ อันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ ส่วนอนาคตเสียได้ และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวกได้ ย่อมเข้าถึงสุขเสมือน ปราศจากอามิสอยู่ ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต คือนิรามิสสุขอยู่ สุขเสมือนปราศจา กอามิสนั้น ของเธอ ย่อมดับไปได้ เพราะสุขเสมือน ปราศจาก อามิสดับ ย่อมเกิดปีติ อันเกิดแต่วิเวก เพราะปีติอันเกิดแต่วิเวกดับ ย่อมเกิดสุข เสมือนปราศจากอามิส เรื่องสุขเสมือนปราศจากอามิสดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก จากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

             [๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เพราะไม่ตั้ง กามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตาม ขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิ อัน คล้อยตาม ขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้ และเพราะก้าวล่วงปีติ อันเกิดแต่วิเวก ก้าวล่วง สุขเสมือน ปราศจากอามิสได้ ย่อมเข้าถึงเวทนาอันเป็นทุกข์ ก็มิใช่สุขก็มิใช่อยู่ ด้วยสำคัญว่า เรากำลังเข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต คืออทุกขมสุขเวทนา อยู่เวทนา อันเป็น ทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่นั้นของเธอ ย่อมดับไปได้ เพราะเวทนาอันเป็น ทุกข์ ก็มิใช่สุข ก็มิใช่ดับ ย่อมเกิดสุขเสมือนปราศจากอามิส เพราะสุขเสมือนปราศ จากอามิสดับ ย่อมเกิดเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ เปรียบเหมือนร่มเงา ละที่ แห่งใด แดดย่อม แผ่ไปยังที่แห่งนั้น แดดละที่แห่งใด ร่มเงาก็ย่อมแผ่ไปยังที่แห่งนั้น ฉันใด ฉันนั้น เหมือนกันแล เพราะเวทนา อันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ดับ ย่อมเกิดสุข เสมือน ปราศจาก อามิส เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ ย่อมเกิดเวทนาอัน เป็น ทุกข์ ก็มิใช่สุขก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้ โดยประการ ทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วน อนาคต เสียได้ และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวก ก้าวล่วงสุขเสมือนปราศจาก อามิสได้ ย่อมเข้าถึงเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่อยู่ ด้วยสำคัญว่า เรากำลัง เข้าถึงสิ่งที่ดี ประณีต คืออทุกขมสุขเวทนาอยู่ เวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุข ก็มิใช่ นั้นของเธอ ย่อมดับไปได้ เพราะเวทนาอันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุข ก็มิใช่ดับย่อมเกิดสุข เสมือน ปราศจากอามิส เพราะสุขเสมือนปราศจากอามิสดับ ย่อมเกิดเวทนาอันเป็น ทุกข์ ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ เรื่องเวทนาอันทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ยังมีอยู่ จึงเห็นอุบายเป็น เครื่องสลัดออกจากสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัย ปรุงแต่งนั้นได้

             [๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้โดยประการทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตาม ขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอัน คล้อยตามขันธ์ส่วนอนาคตเสียได้ และเพราะก้าวล่วงปีติ อันเกิดแต่วิเวก ก้าวล่วงสุข เสมือนปราศจากอามิส ก้าวล่วงเวทนาอันเป็นทุกข์ ก็มิใช่สุข ก็มิใช่ได้ย่อม เล็งเห็น ตัวเองว่า เป็นผู้สงบแล้ว เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มี อุปาทาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมทราบเรื่องนี้ดี

             ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้แล เพราะไม่ตั้งกามสัญโญชน์ไว้ โดยประการ ทั้งปวง เหตุสลัดทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วนอดีต และทิฐิอันคล้อยตามขันธ์ส่วน อนาคต เสียได้ และเพราะก้าวล่วงปีติอันเกิดแต่วิเวก ก้าวล่วงสุขเสมือนปราศจาก อามิส ก้าวล่วงเวทนา อันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ได้ ย่อมเล็งเห็นตัวเองว่า เป็นผู้ สงบแล้ว เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปาทาน ท่านผู้นี้ ย่อมกล่าวยืนยันปฏิปทา ที่ให้สำเร็จ นิพพาน อย่างเดียวโดยแท้ แต่ก็ท่านสมณะหรือพราหมณ์นี้ เมื่อถือมั่นทิฐิ อันคล้อย ตามขันธ์ ส่วนอดีต ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่ หรือเมื่อถือมั่นทิฐิอันคล้อยตาม ขันธ์ ส่วนอนาคต ก็ชื่อว่า ยังถือมั่นอยู่ หรือเมื่อถือมั่นกามสัญโญชน์ ก็ชื่อว่ายังถือมั่น อยู่ หรือเมื่อถือมั่นปีติ อันเกิดแต่วิเวก ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่ หรือเมื่อถือมั่นสุขเสมือน ปราศจากอามิส ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่ หรือเมื่อถือมั่นเวทนา อันเป็นทุกข์ก็มิใช่สุขก็มิใช่ ก็ชื่อว่ายังถือมั่นอยู่ และแม้ข้อที่ท่านผู้นี้เล็งเห็นตัวเองว่า เป็นผู้สงบแล้ว เป็นผู้ดับ แล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปาทานนั้น บัณฑิตก็เรียกว่าอุปาทานของท่าน สมณพราหมณ์ นี้ เรื่องอุปาทานดังนี้นั้น อันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบ และความดับของสิ่งที่ปัจจัย ปรุงแต่งมีอยู่ ตถาคตทราบว่าสิ่งนี้ ยังมีอยู่จึงเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก จากสิ่งที่ ปัจจัยปรุงแต่งนั้น เป็นไปล่วงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งนั้นได้

--------------------------------------------------------------------------------

๓. กินติสูตร (ฉบับมหาจุฬา มีชื่อพระสูตร)

             [๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บทอันประเสริฐ สงบ ไม่มีบทอื่นยิ่งกว่า ที่ตถาคต ตรัสรู้เองด้วยปัญญาอันยิ่งนี้แล คือ ความรู้เหตุเกิด เหตุดับ คุณ โทษและ อุบายเป็น เครื่อง ออกไปแห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง แล้วหลุดพ้นได้ ด้วยไม่ถือมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บทอันประเสริฐ สงบ ไม่มีบทอื่นกว่านี้นั้นคือ ความรู้เหตุเกิด เหตุดับ คุณ โทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไปแห่งผัสสายตนะทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง แล้วหลุดพ้นได้ด้วยไม่ถือมั่น

             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล

จบ ปัญจัตตยสูตรที่ ๒






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์