พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒ หน้าที่ ๑๖๙
ผู้ชำนาญในทางเดินแห่งวิตก
[๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาศัยนิมิตใดแล้ว มนสิการนิมิต ใดอยู่ วิตก อันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วย ฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ย่อมเกิดขึ้น เมื่อเธอมนสิการนิมิตอื่น จากนิมิตนั้น อันประกอบด้วยกุศลวิตก อัน เป็นบาปอกุศล ประกอบด้วย ฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึง ความตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะละวิตก อันเป็นบาปอกุศล เหล่านั้นได้ จิตย่อมตั้ง อยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นในภายในนั้นแล
เมื่อภิกษุนั้น พิจารณาโทษของวิตก เหล่านั้นอยู่ วิตกอันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วย ฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึงความ ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้ จิตย่อมตั้งอยู่ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอก ผุดขึ้น ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล
เมื่อภิกษุนั้นถึงความ ไม่นึก ไม่ใส่ใจวิตก เหล่านั้นอยู่ วิตก อันเป็น บาป อกุศล ประกอบด้วย ฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง อันเธอย่อมละเสียได้ ย่อมถึง ความ ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะละวิตก อันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้ จิตย่อมตั้งอยู่ ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล
เมื่อภิกษุนั้น มนสิการสัณฐานแห่งวิตกสังขาร ของวิตกเหล่านั้นอยู่ วิตกอัน เป็น บาปอกุศล ประกอบด้วยฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง อันเธอย่อม ละเสียได้ ย่อมถึง ความตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะละวิตกอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นได้ จิตย่อมตั้งอยู่ ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล
เมื่อภิกษุนั้น กัดฟันด้วยฟันดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วย จิตอยู่ วิตก อันเป็นบาปอกุศล ประกอบด้วย ฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง อันเธอ ย่อมละ เสียได้ ย่อมถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะละวิตก อันเป็นบาปอกุศล เหล่านั้นได้ จิตย่อมตั้งอยู่ ด้วยดี สงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ในภายในนั้นแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ชำนาญในทางเดินของวิตก เธอจักจำนงวิตกใด ก็จักตรึกวิตก นั้นได้ จักไม่จำนงวิตกใด ก็จักไม่ตรึกวิตกนั้นได้ ตัดตัณหา ได้แล้ว คลี่คลายสังโยชน์ได้แล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว เพราะละ มานะได้ โดยชอบ [ได้มารู้ยิ่งซึ่งธรรมของท่านที่เป็นพระอรหันต์โดยชอบ]
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดี ภาษิต ของผู้มีพระภาค แล้วแล. |