พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๐-๓๐๒
สุวีรสูตรที่ ๑ (อสูรรบกับเทวดา)
[๘๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก มหาเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
[๘๔๘] พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกอสูรได้รบกับพวกเทวดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทวดา ตรัสเรียก สุวีรเทพบุตร มาบัญชาว่า พ่อสุวีระ พวกอสูรเหล่านี้ กำลังพากันมารบพวก เทวดา พ่อจงไปป้องกันพวกอสูรไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุวีรเทพบุตรรับบัญชาของ ท้าวสักกะ จอมเทวดาว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญดังนี้ แล้วมัวประมาทเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๒ แลท้าวสักกะจอมเทวดา ก็ได้ตรัสเรียก สุวีรเทพบุตร มาสั่งว่า พ่อสุวีระ พวกอสูรเหล่านี้ กำลังพากันมารบพวกเทวดา พ่อจงไป ป้องกันพวกอสูรไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๒ สุวีรเทพบุตร รับบัญชาของ ท้าวสักกะจอมเทวดา ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ แล้วมัวประมาทเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๓ ท้าวสักกะจอมเทวดา ก็ได้ตรัสเรียกสุวีรเทพบุตร มาสั่งว่า พ่อสุวีระ พวกอสูรเหล่านี้ กำลังพากันมารบพวกเทวดา พ่อจงไปป้องกัน พวกอสูรไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๓ สุวีรเทพบุตร รับบัญชาของท้าวสักกะ จอมเทวดาว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ แล้วมัวประมาทเสีย
[๘๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทวดา ตรัสกะสุวีร เทพบุตร ด้วยคาถาว่า บุคคลไม่หมั่น ไม่พยายาม จะประสพสุขได้ ณ ที่ใด ดูกร สุวีระ เจ้าจงไป ณ ที่นั้น และจงพาเราไปให้ถึง ณ ที่ นั้นด้วยเถิด
[๘๕๐] สุวีรเทพบุตรกราบทูลว่า บุคคลเป็นผู้เกียจคร้าน ไม่หมั่น และไม่ใช้ใครๆ ให้กระ ทำกิจทั้งหลายอีกด้วย เขาพึงพรั่งพร้อมด้วยกามทุกอย่าง ข้า แต่ท้าวสักกะ ขอพระองค์จงตรัสบอกฐานะอันประเสริฐนั้น แก่ข้าพระองค์
[๘๕๑] ท้าวสักกะตรัสตอบว่า
ที่ใด บุคคลเกียจคร้าน ไม่หมั่น ถึงความสุข ล่วงส่วนได้ สุวีระ เจ้าจงไป ณ ที่นั้นและจงพาเราไปให้ถึง ณ ที่นั้น
ด้วยเถิด
[๘๕๒] สุวีรเทพบุตรทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักกะผู้ประเสริฐกว่าเทวดา ข้าพระองค์ ทั้งหลายจะ พึงได้ความสุขใด โดยไม่ต้องทำการงาน ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอพระองค์ จงตรัสบอกความสุขนั้นอันประเสริฐ ที่ไม่มีความ แห้งใจ ไม่มีความคับแค้น แก่ข้าพระองค์เถิด
[๘๕๓] ท้าวสักกะตรัสตอบว่า หากความสุขจะมีได้โดยไม่ต้องทำการงาน ไม่ว่าในที่ไหนๆ ใครๆ ย่อมทรงชีพอยู่ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นทางแห่งนิพพาน สุวีระ เจ้าจงไป ณ ที่นั้น และจงพาเราไปให้ถึง ณ ที่ นั้นด้วยเถิด
[๘๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ท้าวสักกะจอมเทวดาพระองค์นั้น อาศัยผลบุญ ของ พระองค์เป็นอยู่ เสวยรัชสมบัติ อันมีความเป็นใหญ่ยิ่ง ด้วยความเป็นอิสระแห่ง เทวดา ชั้นดาวดึงส์ จึงจักพรรณนาคุณแห่งความเพียร คือความหมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบวชในธรรมวินัย ที่เรากล่าวชอบแล้วอย่างนี้ พึงหมั่น เพียรพยายาม เพื่อบรรลุมรรคผลที่ยังไม่บรรลุ เพื่อได้มรรคผลที่ยังไม่ได้ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล ที่ยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง ข้อนี้จะพึงงดงามในธรรมวินัยนี้ โดยแท้
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๒-๓๐๔
สุสิมสูตรที่ ๒ (อสูรรบกับเทวดา)
[๘๕๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ ท่านอนาถบิณฑิก มหาเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๘๕๖] พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกอสูรได้พากันมารบกับพวกเทวดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น ท้าวสักกะ จอมเทวดา ตรัสเรียก สุสิมเทพบุตร มาบัญชาว่า พ่อสุสิมะ พวกอสูรเหล่านี้ กำลังพากัน มารบพวกเทวดา พ่อจงไปป้องกันพวกอสูรไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุสิมเทพบุตรรับ บัญชา ท้าวสักกะ จอมเทวดาว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญดังนี้ แล้วมัวประมาทเสีย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ แม้ครั้งที่ ๓ ท้าวสักกะจอมเทวดาก็ได้ตรัส เรียกสุสิมเทพบุตร มาบัญชาว่า พ่อสุสิมะ พวกอสูรเหล่านี้กำลังพากันมารบพวกเทวดา พ่อจงไปป้องกันพวกอสูรไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้ในครั้งที่ ๓ สุสิมเทพบุตรรับบัญชา ท้าวสักกะจอมเทวดาว่า ขอเดชะขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ดังนี้ แล้วมัวประมาทเสีย
[๘๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทวดา ตรัสกะสุสิม เทพบุตร ด้วยคาถาว่า บุคคลไม่หมั่น ไม่พยายาม แต่ประสบความสุขได้ ณ ที่ใด ดูกรสุสิมะ เจ้าจงไป ณ ที่นั้น และจงพาเราไปให้ถึง ณ ที่นั้น ด้วยเถิด
[๘๕๘] สุสิมเทพบุตรกราบทูลว่า บุคคลเป็นผู้เกียจคร้าน ไม่หมั่น และไม่ใช้ ใครๆ ให้ กระทำกิจทั้งหลายอีกด้วย เขาพึงพรั่งพร้อมด้วยกามทุกอย่าง ข้าแต่ ท้าวสักกะ ขอพระองค์จงตรัสบอกฐานะอันประเสริฐ นั้นแก่ข้าพระองค์
[๘๕๙] ท้าวสักกะตรัสตอบว่า ที่ใด บุคคลเกียจคร้าน ไม่หมั่น ถึงความสุข ล่วงส่วนได้ สุสิมะ เจ้าจงไป ณ ที่นั้น และจงพาเราไปให้ถึง ณ ที่นั้น ด้วยเถิด
[๘๖๐] สุสิมเทพบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักกะผู้ประเสริฐกว่าเทวดา ข้าพระองค์ทั้งหลาย จะพึงได้ความสุขใด โดยไม่ต้องทำการงาน ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอพระองค์จงตรัสบอกความสุขนั้นอันประเสริฐ ที่ไม่มีความ แห้งใจ ไม่มีความคับแค้น แก่ข้าพระองค์เถิด
[๘๖๑] ท้าวสักกะตรัสตอบว่า หากความสุขจะมีได้โดยไม่ต้องทำการงาน ไม่ว่าในที่ไหนๆ ใครๆ ย่อมยังชีพอยู่ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นทางแห่งนิพพาน สุสิมะ เจ้าจงไป ณ ที่นั้น และจงพาเราไปให้ถึง ณ ที่นั้น ด้วยเถิด
[๘๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ท้าวสักกะจอมเทวดาพระองค์นั้น อาศัยผลบุญ ของพระองค์เป็นอยู่ เสวยรัชสมบัติมีความเป็นใหญ่ยิ่ง ด้วยความเป็นอิสระแห่งเทวดา ชั้นดาวดึงส์ จึงจักพรรณนาคุณแห่งความเพียร คือความหมั่น ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ บวชแล้ว ในธรรมวินัยอันเรากล่าวชอบแล้วอย่างนี้ พึงหมั่นเพียร พยายาม เพื่อบรรลุ มรรคผล ที่ยังไม่บรรลุ เพื่อได้มรรคผลที่ยังไม่ได้ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่ง มรรคผล อันตนยังมิได้ทำให้แจ้ง ข้อนี้จะพึงงดงาม ในธรรมวินัยนี้โดยแท้
|