เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

ทัตวาอวชานาติสูตร ... อารภสูตร บุคคลผู้ต้องอาบัติ สารันททสูตร แก้ว ๕ ประการ ติกัณฑกีสูตร ปฏิกูล-ไม่ปฏิกูล

2217
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒

๑. ทัตวาอวชานาติสูตร บุคคลผู้ให้แล้วดูหมิ่น
ดูหมิ่น..ให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ แล้วยังดูหมิ่น
ดูหมิ่นเพราะอยู่ร่วมกัน..อยู่ร่วมกันมานาน แล้วยังดูหมิ่น
ผู้เชื่อง่าย..เชื่อคนง่าย เชื่อโดยพลัน
โลเล...มีศรัทธาเล็กน้อย มีความภักดีเล็กน้อย
หลงงมงาย..ย่อมไม่รู้กุศล-อกุศลธรรม ไม่รู้ธรรมที่มีโทษ-ไม่มีโทษ

๒. อารภสูตร บุคคลผู้ต้องอาบัติ
ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมเดือดร้อน..ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโต-ปัญญาวิมุติ..
ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน..ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง..
ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมเดือดร้อน..ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง..
ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน ..ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง..
ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน ...ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโต-ปัญญาวิมุติ

๓. สารันททสูตร ทรงแสดงธรรมที่สารันททเจดีย์
ความแตกต่างแก้ว ๕ ประการ ของเจ้าลิจฉวี กับ ของตถาคต

๔. ติกัณฑกีสูตร ทรงแสดงธรรมที่ป่าติกัณฑกีวัน
ภิกษุควร เห็นว่า
เห็นสิ่งไม่เป็นปฏิกูล ว่า เป็นปฏิกูล
เห็นสิ่งไม่เป็นปฏิกูล ว่า ไม่เป็นปฏิกูล
เห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูล ว่า เป็นปฏิกูล
เห็นสิ่งที่ไม่เป็นปฏิกูล ว่า ไม่เป็นปฏิกูล
ภิกษุควรเป็นผู้เว้นสิ่งทั้งสอง คือ สิ่งไม่ปฏิกูล และ สิ่งปฏิกูล แล้วเป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ (เห็นทั้งสองเป็นธาตุตามธรรมชาติ ไม่ยินดียินร้ายกับมัน)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๘

๑. ทัตวาอวชานาติสูตร
บุคคลผู้ให้แล้วดูหมิ่น

            [๑๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๕ จำพวก เป็นไฉน คือ
๑ บุคคลให้แล้วย่อมดูหมิ่น
๒ บุคคลย่อมดูหมิ่นเพราะอยู่ร่วมกัน
๓ บุคคลเป็นผู้เชื่อง่าย
๔ บุคคลเป็นผู้โลเล
๕ บคคลเป็นผู้เขลาหลงงมงาย

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลให้แล้วย่อมดูหมิ่นอย่างไร
บุคคลในโลกนี้ ให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารแก่บุคคล เขาย่อมคิดอย่างนี้ว่า เราให้ ผู้นี้รับ ดังนี้ ให้แล้วย่อมดูหมิ่นบุคคลนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลให้แล้วย่อมดูหมิ่น อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลย่อมดูหมิ่นเพราะอยู่ร่วมกันอย่างไร
บุคคลในโลกนี้ อยู่ร่วมกับบุคคลสองสามปี ย่อมดูหมิ่นผู้นั้นเพราะอยู่ร่วมกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ย่อมดูหมิ่นเพราะอยู่ร่วมกันอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้เชื่อง่ายอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เมื่อเขากล่าวคุณหรือโทษของผู้อื่น ย่อมน้อมใจเชื่อโดยเร็วพลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล เป็นผู้เชื่อง่ายอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้โลเลอย่างไร
บุคคลบางคนในโลก เป็นผู้มีศรัทธาเล็กน้อย มีความภักดีเล็กน้อย มีความรักเล็กน้อย มีความเลื่อมใสเล็กน้อย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้โลเลอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้เขลาหลงงมงายอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่รู้กุศลธรรมและอกุศลธรรม ย่อมไม่รู้ธรรมที่มีโทษ และ ไม่มีโทษ ย่อมไม่รู้ธรรม ที่เลว และประณีต ย่อมไม่รู้ธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้เขลาหลงงมงายอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล๕ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๙-๑๗๐

๒. อารภสูตร
บุคคลผู้ต้องอาบัติ

            [๑๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๕ จำพวก เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

๑ บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมเดือดร้อน
และย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ

๒ บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน
และย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ

๓ บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมเดือดร้อน
และย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ

๔ บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน
และย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ

๕ บุคคลบางคนในธรรมวินัยนี้ ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน
และย่อมทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาบุคคล ๕ จำพวกนั้น
            (๑)
บุคคลใดปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมเดือดร้อน และย่อมไม่ทราบชัดตาม ความ เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็น ที่ดับโดยไม่เหลือแห่งบาปอกุศล ซึ่งเกิดขึ้น แล้วแก่เธอ บุคคลนั้นพึงเป็นผู้ควรกล่าว ตักเตือนอย่างนี้ว่า อาสวะ ที่เกิดเพราะ ปรารภจะล่วงอาบัติของท่านยังมีอยู่ อาสวะที่เกิดเพราะความเดือดร้อน ของท่านยังเจริญ อยู่ ขอท่านจงละอาสวะที่เกิด เพราะ ปรารภจะล่วงอาบัติ บรรเทา อาสวะ ที่เกิดเพราะ ความเดือดร้อนแล้ว จึงอบรมจิต และปัญญา ท่านจักเป็นผู้เทียมทัน บุคคล จำพวกที่ ๕ โน้นเพราะการอบรมอย่างนี้

           (๒) บุคคลใด ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน และย่อมไม่ทราบชัด ตามความ เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็น บาป อกุศล ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ บุคคลนั้น พึงเป็นผู้ควรกล่าวตักเตือนอย่างนี้ว่า อาสวะที่เกิด เพราะปรารภ จะล่วงอาบัติของท่านยังมีอยู่ อาสวะที่เกิดเพราะความ เดือดร้อน ของท่าน ไม่เจริญ ขอท่านจงละอาสวะที่เกิด เพราะปรารภจะล่วงอาบัติแล้ว จึงอบรมจิตและ ปัญญา ท่านจักเป็นผู้เทียมทันบุคคลจำพวกที่ ๕ โน้น เพราะการอบรม อย่างนี้

            (๓) บุคคลใด ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมเดือดร้อน และย่อมไม่ทราบชัด ตามความ เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรม ที่เป็นบาปอกุศล ซึ่งเกิดแล้วแก่เธอ บุคคลนั้น พึงเป็นผู้ควรกล่าวตักเตือนอย่างนี้ว่า อาสวะที่เกิด เพราะ ปรารภ จะล่วงอาบัติของท่านไม่มี อาสวะที่เกิดเพราะความ เดือดร้อน ของท่าน ยังเจริญ อยู่ ขอท่านจงบรรเทาอาสวะที่เกิด เพราะความเดือดร้อน แล้ว จึงอบรมจิต และปัญญา ท่านจักเป็นผู้เทียมทันบุคคลจำพวกที่ ๕ โน้น เพราะการ อบรมอย่างนี้

            (๔) บุคคลใด ไม่ปรารภจะล่วงอาบัติ ย่อมไม่เดือดร้อน และย่อมไม่ทราบชัด ตาม ความเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ แห่งธรรมที่เป็น บาป อกุศล ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่เธอ บุคคลนั้น พึงเป็นผู้ควรกล่าวตักเตือนอย่างนี้ว่า อาสวะ ที่เกิดเพราะปรารภจะล่วงอาบัติของท่านไม่มี อาสวะที่เกิดเพราะความเดือดร้อน ของท่าน ไม่เจริญ ขอท่านจงอบรมจิตและปัญญา ท่านจักเป็นผู้เทียมทันบุคคลจำพวกที่ ๕ โน้น เพราะการอบรมอย่างนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคล ๕ จำพวกนี้ ถูกตักเตือนพร่ำสอนโดยเทียบกับบุคคลที่ ๕ โน้น ด้วยประการอย่างนี้แล ย่อมบรรลุความสิ้นอาสวะโดยลำดับ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๑-๑๗๒

๓. สารันททสูตร
แก้ว ๕ ประการ

            [๑๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ เมืองเวสาลี สมัยนั้น เจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐ คน นั่ง ประชุมกันอยู่ที่สารันททเจดีย์ ได้มีการสนทนากันว่า ความปรากฏแห่งแก้ว ๕ ประการ เป็นของหาได้ยากในโลก

แก้ว ๕ ประการ(ลัทธิเจ้าลิจฉวี) เป็นไฉน คือ
๑ ความปรากฏแห่งช้างแก้ว
๒ ความปรากฏแห่งม้าแก้ว
๓ ความปรากฏแห่งแก้วมณี
๔ ความปรากฏแห่งนางแก้ว
๕ ความปรากฏแห่งคฤหบดีแก้ว

            ความปรากฏแห่งแก้ว ๕ ประการนี้ เป็นของหาได้ยากในโลก ครั้งนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ได้ส่งบุรุษไปคอยดักที่หนทาง โดยสั่งว่า พ่อผู้เจริญ เมื่อท่านเห็น พระผู้มีพระภาคเสด็จมา พึงมาบอกแก่พวกฉัน บุรุษนั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาค เสด็จมาแต่ไกล จึงเข้าไปหาเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น แจ้งให้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังเสด็จมา ขอท่านทั้งหลายจงทราบกาลที่ควร ณ บัดนี้

            ครั้งนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคทรงเอ็นดู เสด็จเข้าไปสู่สารันททเจดีย์เถิด พระผู้มีพระภาค ทรงรับโดยดุษณีภาพ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้เสด็จเข้าไปยังสารันททเจดีย์ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสถามเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นว่า

            ดูกรเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย บัดนี้ ท่านทั้งหลาย ประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร การสนทนาอะไรของท่านทั้งหลาย ยังค้างอยู่ในระหว่าง เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายนั่งประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ได้มีการสนทนากันว่า ความปรากฏแห่งแก้ว ๕ ประการเป็นของหาได้ยากในโลก แก้ว ๕ ประการเป็นไฉน คือ ความปรากฏแห่งช้างแก้ว ๑ ความปรากฏแห่งม้าแก้ว ๑ ความปรากฏแห่งแก้วมณี ๑ ความปรากฏแห่งนางแก้ว ๑ ความปรากฏแห่งคฤหบดีแก้ว ๑ ความปรากฏแห่งแก้ว ๕ประการนี้ เป็นของหาได้ยากในโลก

            พ. ดูกรเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้มุ่งไปในกาม จึงได้มีการ สนทนากัน ปรารภเฉพาะกาม ดูกรเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ความปรากฏแห่งแก้ว ๕ ประการ เป็นของหาได้ยากในโลก

แก้ว ๕ ประการ(ในพุทธศาสนา)เป็นไฉน คือ
๑ ความปรากฏแห่งตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒ บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
๓ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
๔ บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว ซึ่งผู้อื่นแสดงให้ฟังแล้ว ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม
๕ กตัญญูกตเวทีบุคคล

            ดูกรเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ความปรากฏแห่งแก้ว ๕ ประการนี้แล เป็นของหา ได้ยากในโลก


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๒-๑๗๓

๔. ติกัณฑกีสูตร
ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่เป็นปฏิกูล

            [๑๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าติกัณฑกีวัน ใกล้เมืองสาเกต ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญใน สิ่งอันไม่เป็นปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูล อยู่ตลอดกาล

-ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญใน สิ่งอันเป็นปฏิกูลว่า ไม่เป็นปฏิกูลอยู่ตลอดกาล

-ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญใน สิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งอันเป็นปฏิกูลว่า เป็นปฏิกูลอยู่ ตลอดกาล

-ขอภิกษุพึงเป็นผู้มีความสำคัญใน สิ่งอันเป็นปฏิกูล และสิ่งอันไม่เป็นปฏิกูลว่า เป็นสิ่งไม่ ปฏิกูลอยู่ตลอดกาล

-ขอภิกษุพึงเว้นสิ่งทั้งสอง คือ สิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดกาล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควร เป็นผู้มีความ สำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ ว่า ความกำหนัด ในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความ สำคัญ ในสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่

            เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูล เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความขัดเคืองในธรรมอันเป็น ที่ตั้งแห่งความขัดเคืองอย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่ง ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่

            เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญ ในสิ่งไม่ ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูลว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความ กำหนัดในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความขัดเคืองในธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญ ในสิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลอยู่

            เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญ ในสิ่งปฏิกูล และสิ่งไม่ปฏิกูล ว่าเป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ว่า ความขัดเคือง ในธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความกำหนัดในธรรมอันเป็น ที่ตั้ง แห่งความกำหนัด อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ภิกษุจึงควรเป็นผู้มีความสำคัญ ในสิ่งปฏิกูล และสิ่งไม่ปฏิกูลว่า เป็นสิ่งไม่ปฏิกูลอยู่

            เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ภิกษุจึงควรเว้นสิ่งทั้งสอง คือสิ่งไม่ปฏิกูล และสิ่งปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ เพราะอาศัยอำนาจ ประโยชน์ นี้ว่า ความกำหนัดในธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ในอารมณ์ไหนๆ ในส่วนไหนๆ แม้มีประมาณน้อย อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความขัดเคืองในธรรม อันเป็นที่ตั้ง แห่งความขัดเคืองในอารมณ์ไหนๆ ในส่วนไหนๆแม้มีประมาณน้อย อย่าเกิดขึ้นแก่เรา ความหลงในธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงในอารมณ์ไหนๆ ในส่วนไหนๆ แม้มี ประมาณ น้อย อย่าเกิดขึ้นแก่เรา

            ภิกษุจึงควรเป็นผู้เว้นสิ่งทั้งสอง คือ สิ่งไม่ปฏิกูล และ สิ่งปฏิกูลแล้ว เป็นผู้มีความวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่




 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์