พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๙-๑๖๐
๘. ภัตตาทกสูตร
ช้างทรง กินจุ ขวางที่ ขี้มาก
[๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นช้างกินจุ ขวางที่ ขี้มาก เป็นที่เต็มจำนวนนับ ถึงความนับว่าเป็นช้างทรง
องค์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไม่อดทนต่อรูป
๒ ไม่อดทนต่อเสียง
๓ ไม่อดทนต่อกลิ่น
๔ ไม่อดทนต่อรส
๕ ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๕ประการนี้แล เป็นช้างกินจุ ขวางที่ ขี้มาก เป็นที่เต็มจำนวนนับ ถึงความนับว่าเป็นช้างทรง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ฉันอาหารจุ ขวางที่ นั่งนอนมาก เป็นที่เต็มจำนวนนับถึงความนับว่าเป็นภิกษุ
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้ไม่อดทนต่อรูป
๒ เป็นผู้ไม่อดทนต่อเสียง
๓ เป็นผู้ไม่อดทนต่อกลิ่น
๔ เป็นผู้ไม่อดทนต่อรส
๕ เป็นผู้ไม่อดทนต่อโผฏฐัพพะ
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นผู้ฉันอาหารจุ ขวางที่ นั่งนอนมากเป็นที่เต็มจำนวนนับ ถึงความนับว่าเป็นภิกษุ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๔-๑๖๗
๑๐. โสตวสูตร
ช้างทรงที่อดทน
[๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ
ย่อมควรแก่พระราชา ควรเป็นช้างทรง ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะทีเดียวองค์ ๕ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาในโลกนี้
๑
เป็นสัตว์เชื่อฟัง
๒
เป็นสัตว์ฆ่าได้
๓
เป็นสัตว์รักษาได้
๔
เป็นสัตว์อดทนได้
๕
เป็นสัตว์ไปได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์เชื่อฟังอย่างไร ช้างของพระราชาในโลกนี้ ย่อมตั้งใจ ใฝ่ใจ สำรวมใจ เงี่ยโสตฟังเหตุการณ์ที่ควาญช้าง ให้กระทำ คือ เหตุการณ์ที่เคยกระทำหรือไม่เคยกระทำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของ พระราชาเป็นสัตว์เชื่อฟังอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ฆ่าได้อย่างไร ช้างของพระราชาในโลกนี้ เข้าสงครามแล้ว ย่อมฆ่าช้างบ้างฆ่าควาญช้างบ้าง ฆ่าม้า บ้าง ฆ่าคนขี่ม้าบ้าง ทำลายรถบ้าง ฆ่าพลรถบ้าง ฆ่าพลเดินเท้าบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ฆ่าได้อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์รักษาได้อย่างไร ช้างของพระราชาในโลกนี้เข้าสู่สงครามแล้ว ย่อมรักษากายเบื้องหน้า กายเบื้องหลัง เท้าหน้า เท้าหลัง ศีรษะหู งา งวง หาง ควาญช้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชา เป็นสัตว์รักษาได้อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์อดทนได้อย่างไร ช้างของพระราชาในโลกนี้ เข้าสงครามแล้ว ย่อมอดทนต่อการประหารด้วยหอก ต่อการ ถูกลูกศร ต่อการถูกง้าว ต่อเสียงกลอง บัณเฑาะว์ สังข์ มโหระทึกที่กระหึ่ม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาเป็นสัตว์อดทนได้อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไปได้อย่างไร ช้างของพระราชาในโลกนี้ย่อมเป็นสัตว์ไปสู่ทิศที่ควาญช้างไสไป คือ ทิศที่เคยไป หรือ ทิศ ที่ยังไม่เคยไปได้โดยเร็วพลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาเป็นสัตว์ไปได้ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ช้างของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการนี้แล ย่อมควรแก่พระราชา ควรเป็นช้างทรง ถึงการนับว่าเป็นราชพาหนะทีเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นผู้ควรแก่ของคำนับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำบุญ ควรแก่การทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้เชื่อฟัง
๒ เป็นผู้ฆ่าได้
๓ เป็นผู้รักษาได้
๔ เป็นผู้อดทนได้
๕ เป็นผู้ไปได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เชื่อฟังอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม ตั้งใจ ใฝ่ใจ สำรวมใจ เงี่ยโสตลงฟังธรรม ในเมื่อผู้อื่นแสดง ธรรมวินัยที่ตถาคต ประกาศ แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้เชื่อฟังอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ฆ่าได้อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมอดกลั้น ละ บรรเทา กำจัด ทำให้สิ้นไป ให้ถึงซึ่งความไม่มีแห่ง กามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ... พยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ... วิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้วย่อม อดกลั้น ละ บรรเทา กำจัด ทำให้สิ้นไป ให้ถึงซึ่งความไม่มีแห่งอกุศลธรรมที่ลามก ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ฆ่าได้อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้รักษาได้อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมไม่ถือโดยนิมิต ย่อมไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว พึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นบาป อกุศลคือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ย่อมรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวม ใน จักขุนทรีย์ ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่ถือโดยนิมิต ย่อมไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว พึงเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นบาป อกุศล คือ อภิชฌา และโทมนัสครอบงำได้ ย่อมรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้รักษาได้อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้อดทนได้อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้อดทนได้ต่อเย็น ร้อน หิว ระหาย สัมผัสแห่ง เหลือบ ยุง ลม แดดและสัตว์เลื้อยคลาน เป็นผู้อดทนได้ต่อคำหยาบระคาย เป็นผู้อดทนได้ต่อทุกข เวทนา ทางร่างกายที่บังเกิดขึ้นแล้ว อันกล้า แข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ชื่นใจ ไม่เป็นที่ ชอบใจ สามารถปลิดชีพเสียได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้อดทนได้อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ไปได้อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเป็นผู้ไปสู่ทิศ ที่ไม่เคยไป ตลอดกาลนานนี้ คือ ธรรมเป็นที่ระงับ สังขารทั้งปวงเป็นที่สละคืน อุปธิกิเลส ทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับหาเครื่องเสียบแทงมิได้ โดยเร็ว พลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้ไปได้ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรของ คำนับ ควรของต้อนรับควรแก่ทักขิณา ควรแก่การทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลกไม่มี นาบุญ อื่น ยิ่งกว่า
|