พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๕-๑๕๗
๕. ปัตถนาสูตรที่ ๑
[๑๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชา ผู้กษัตริย์ได้ มูรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ ย่อมทรงปรารถนาราชสมบัติ
องค์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชาผู้กษัตริย์ ได้มูรธาภิเษกแล้วในโลกนี้ ย่อม
๑ ทรงเป็นอุภโตสุชาติ ทั้งฝ่ายพระมารดา ทั้งฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ หมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ เป็นผู้อันใครๆ จะคัดค้าน ตำหนิ โดยอ้างถึงพระชาติ ไม่ได้
๒ ทรงมีพระรูปสวยงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องดียิ่ง
๓ ทรงเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยแห่งพระมารดาพระบิดา
๔ ทรงเป็นที่รักเป็นที่พอใจแห่งชาวนิคมชนบท
๕ ทรงศึกษาสำเร็จดีแล้วในศิลปศาสตร์แห่งพระราชา ผู้กษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว เช่นในศิลปศาสตร์ในเพราะช้าง ม้า รถ หรือธนู พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น ย่อมทรงดำริ อย่างนี้ว่า
-เราแลเป็นอุภโตสุชาติ ทั้งฝ่ายพระมารดาทั้งฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ หมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ เป็นผู้อันใครๆจะคัดค้าน ตำหนิ โดยอ้างถึงพระชาติ ไม่ได้ ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาราชสมบัติเล่า
-เราเป็นผู้มีรูปสวยงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยฉวีวรรณผุดผ่องดียิ่ง ไฉนเราจะไม่ พึงปรารถนาราชสมบัติเล่า
-เราแลเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยแห่งพระมารดาและพระบิดา ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา ราชสมบัติเล่า
-เราแลเป็นที่รักเป็นที่พอใจแห่งชาวนิคมชนบท ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาราชสมบัติเล่า
-เราแลเป็นผู้ได้ศึกษาสำเร็จดีแล้ว ในศิลปศาสตร์แห่งพระราชาผู้กษัตริย์ ได้มูรธาภิเษก แล้ว เช่นในศิลปศาสตร์ในเพราะช้าง ม้า รถ หรือธนู ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาราช สมบัติเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระราชาผู้กษัตริย์ ได้มูรธา ภิเษก แล้ว ประกอบด้วยองค์ ๕ ประการนี้แล ย่อมทรงปรารถนาราชสมบัติ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมปรารถนาความ สิ้นอาสวะ ฉันนั้นเหมือนกัน
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑ เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อพระปัญญา เครื่องตรัสรู้ของตถาคต ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
๒ เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย ประกอบด้วยไฟธาตุ สำหรับย่อยอาหารสม่ำเสมอดี ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นปานกลาง ควรแก่การบำเพ็ญเพียร
๓ เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เปิดเผยตนตามเป็นจริงในพระศาสดา หรือเพื่อน พรหมจรรย์ผู้รู้แจ้ง
๔ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม
๕ เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญา เครื่องหยั่งเห็นความเกิดและความดับ อันประเสริฐ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า
- เราเป็นผู้มีศรัทธา เชื่อต่อพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ของตถาคต ว่าแม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความสิ้น อาสวะเล่า
- เราแลเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อยประกอบด้วยไฟธาตุ สำหรับย่อยอาหาร สม่ำเสมอ ดี ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นปานกลาง ควรแก่การบำเพ็ญเพียร ไฉนเราจะไม่พึง ปรารถนา ความสิ้นอาสวะเล่า
- เราแลเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา เปิดเผยตนตามเป็นจริงในพระศาสดา หรือเพื่อน พรหมจรรย์ผู้รู้แจ้ง ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความสิ้นอาสวะเล่า
- เราแลเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา ความ สิ้นอาสวะเล่า
- เราแลเป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาเครื่องหยั่งเห็นความเกิดความดับ อันประเสริฐ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา ความสิ้นอาสวะเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม๕ ประการนี้แล ย่อมปรารถนา ความสิ้น อาสวะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๗-๑๕๙
๖. ปัตถนาสูตรที่ ๒
[๑๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชา ผู้กษัตริย์ได้ มูรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ ย่อมทรงปรารถนาเป็นอุปราช
องค์ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชา ผู้กษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้วในโลกนี้ เป็นอุภโตสุชาติทั้งฝ่ายพระมารดาทั้งฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ หมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ อันใครๆจะคัดค้าน ตำหนิ โดยอ้างถึงพระชาติไม่ได้
๒ ทรงมีพระรูปสวยงาม น่าดูน่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณผุดผ่องดียิ่ง
๓ ทรงเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยแห่งพระมารดาพระบิดา
๔ ทรงเป็นที่รักที่พอใจแห่งกองทหาร
๕ ทรงเฉียบแหลมฉลาด มีปัญญา สามารถคิดเหตุการณ์ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น ย่อมทรงดำริอย่างนี้ว่า เราแลเป็นอุภโตสุชาติ ทั้งฝ่าย พระมารดาทั้งฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ อันใครๆ จะคัดค้าน ตำหนิ โดยอ้างถึงชาติไม่ได้ ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา เป็นอุปราชเล่า
เราแลเป็นผู้มีรูปสวยงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยฉวีวรรณผุดผ่องดียิ่ง ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาเป็นอุปราชเล่า เราแลเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยแห่ง พระมารดาพระบิดา ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาเป็นอุปราชเล่า เราแลเป็นที่รักที่พอใจแห่ง กองทหาร ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาเป็นอุปราชเล่าเราแลเป็นผู้เฉียบแหลม ฉลาด มีปัญญา สามารถคิดเหตุการณ์ทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา เป็นอุปราชเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระราชาผู้กษัตริย์ได้ มูรธาภิเษก แล้ว ประกอบด้วยองค์๕ ประการนี้แล ย่อมทรงปรารถนาเป็นอุปราช ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมปรารถนา
ความสิ้น อาสวะ ฉันนั้นเหมือนกัน
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
๑ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
๒ เป็นพหูสูต ฯลฯ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
๓ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐานทั้ง ๔
๔ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม ฯลฯ ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม
๕ เป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
๖ เธอย่อมคิดอย่างนี้ว่า
-เราแลเป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา ความสิ้นอาสวะเล่า
-เราแลเป็นพหูสูต ฯลฯ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความ สิ้นอาสวะเล่า
-เราแลเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐานทั้ง ๔
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความ สิ้นอาสวะเล่า
-เราแลเป็นผู้ปรารภความเพียร ฯลฯ ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนา ความ สิ้นอาสวะเล่า
-เราแลเป็นผู้มีปัญญา ฯลฯ ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
ไฉนเราจะไม่พึงปรารถนาความ สิ้นอาสวะเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมปรารถนา ความสิ้นอาสวะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๙
๗. อัปปสุปติสูตร
[๑๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๕ จำพวกนี้ ย่อมหลับน้อย ตื่นมาก ในราตรี
๕ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑ สตรีผู้คิดมุ่งถึงบุรุษ
๒ บุรุษผู้คิดมุ่งถึงสตรี
๓ โจรผู้คิดมุ่งลักทรัพย์
๔ พระราชาผู้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณีย์
๕ ภิกษุผู้คิดมุ่งถึงธรรมที่ปราศจากสังโยชน์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๕ จำพวกนี้แล ย่อมหลับน้อยตื่นมากในราตรี
|