พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๖๙-๑๗๒
โคธิกสูตรที่ ๓
[๔๘๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่
พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ ก็สมัยนั้นแล ท่านโคธิกะ อยู่ที่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ
[๔๘๙] ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสื่อมจากเจโตวิมุติ อันเป็น โลกีย์นั้น
แม้ครั้งที่ ๒ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรมีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุ เจโตวิมุติ อันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ ๒ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น
แม้ครั้งที่ ๓ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุ เจโตวิมุติ อันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ ๓ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น
แม้ครั้งที่ ๔ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ ๔ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น
แม้ครั้งที่ ๕ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุ เจโตวิมุติ อันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ ๕ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น
แม้ครั้งที่ ๖ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุ เจโตวิมุติ อันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ ๖ ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น
แม้ครั้งที่ ๗ ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ก็ได้บรรลุ เจโตวิมุติ อันเป็นโลกีย์อีก
ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เสื่อมจากเจโตวิมุติ อันเป็นโลกีย์ถึง ๖ ครั้งแล้ว ถ้ากระไรเราพึงนำศัสตรามา
[๔๙๐] ลำดับนั้นแล มารผู้มีบาป ทราบความปริวิตกแห่งจิต ของท่านโคธิกะ ด้วยจิตแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ มีเพียรใหญ่ มีปัญญามาก รุ่งเรือง ด้วยฤทธิ์และยศ ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอ ถวายบังคมพระบาททั้งคู่ ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ สาวก ของพระองค์ อันมรณะ ครอบงำแล้ว ย่อมคิดจำนง หวังความตาย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไว้ ซึ่งความรุ่งเรือง ขอพระองค์จง ห้ามสาวกของพระองค์นั้นเสียเถิด
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ ยินดีในพระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ อันตัดเสียซึ่ง มานะ ยังเป็นพระเสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทำกาล เสียเล่า
ก็เวลานั้น ท่านโคธิกะได้นำศัสตรามาแล้ว
[๔๙๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะ มารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนี้แล ย่อมไม่ห่วงใยชีวิต โคธิกะภิกษุ ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว
[๔๙๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เรามาไปสู่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ อันเป็นที่โคธิกกุลบุตร นำศัสตรา มาแล้ว
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุหลายรูป ได้เข้าไปยังกาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ
พระผู้มีพระภาค ได้ทอดพระเนตร เห็นโคธิกะ มีคออันพลิกแล้ว นอนอยู่บนเตียง ที่ไกลเทียว ก็เวลานั้นแล ควันหรือหมอก พลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ
[๔๙๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนั้น พลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัส แล้วจึงตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นมารผู้มีบาป เที่ยวแสวงหา วิญญาณของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิดว่า วิญญาณของโคธิกกุลบุตร ตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย โคธิกกุลบุตร มีวิญญาณ อันไม่ตั้งอยู่แล้วปรินิพพานแล้ว
[๔๙๔] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปถือพิณ มีสีเหลืองเหมือนมะตูมสุก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ข้าพระองค์ได้ค้นหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ทั้งในทิศ เบื้องบน ทั้งทิศเบื้องต่ำ ทั้งทางขวาง ทั้งทิศใหญ่ ทิศน้อย ทั่วแล้ว มิได้ประสบ โคธิกะนั้นไป ณ ที่ไหน
[๔๙๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า นักปราชญ์ผู้ใด สมบูรณ์ด้วยธิติ มีปรกติ เพ่งพินิจ ยินดีแล้ว ในฌานทุกเมื่อ พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความ อาลัย ในชีวิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว ไม่กลับมาสู่ภพ ใหม่ นักปราชญ์นั้นคือ โคธิกกุลบุตร ได้ถอนตัณหาพร้อม ด้วยราก ปรินิพพานแล้ว
พิณได้พลัดตกจากรักแร้ ของมารผู้มีความเศร้าโศก ในลำดับนั้น ยักษ์นั้นมีความโทมนัส หายไปในที่นั้นนั่นเอง
|