พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ] หน้าที่ ๒๘๔-๒๙๔
๕. นิวาปสูตร
ว่าด้วยเหยื่อล่อเนื้อ
[๒๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว
พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย นายพรานเนื้อมิได้ปลูกหญ้าไว้สำหรับฝูงเนื้อด้วยคิดว่า ‘เมื่อฝูงเนื้อกินหญ้าที่เราปลูกไว้นี้ จะมีอายุยั่งยืน มีผิวพรรณดี มีชีวิตอยู่ยืนนาน’
ที่แท้นายพรานเนื้อ ปลูกหญ้าไว้สำหรับฝูงเนื้อด้วยมีความประสงค์ว่า ‘ฝูงเนื้อ ที่เข้ามาสู่ ทุ่งหญ้าที่เราปลูกไว้นี้แล้ว จักลืมตัวกินหญ้า เมื่อเข้ามาแล้วลืมตัว กินหญ้า ก็จักเผลอตัว เมื่อเผลอตัวก็จักเลินเล่อ เมื่อเลินเล่อก็จักถูกเราทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ ในทุ่งหญ้านี้’ ฝูงเนื้อที่ถูกนายพรานจับ
[๒๖๒] ภิกษุทั้งหลาย บรรดาฝูงเนื้อเหล่านั้น เนื้อฝูงที่ ๑ เข้าไปสู่ทุ่งหญ้า ที่นายพราน ปลูกไว้แล้ว ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็เผลอตัว เมื่อเผลอตัวก็เลินเล่อ เมื่อเลินเล่อก็ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในทุ่งหญ้า นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงที่ ๑ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานเนื้อไปได้
[๒๖๓] ภิกษุทั้งหลาย เนื้อฝูงที่ ๒ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๑ ที่เข้าไป ในทุ่งหญ้า ของนายพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็เผลอตัว เมื่อเผลอตัวก็เลินเล่อ เมื่อเลินเล่อก็ถูกนายพรานเนื้อ ทำอะไรๆได้ตามใจชอบ ในทุ่งหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงที่ ๑ ก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานเนื้อไปได้ ทางที่ดีเราควรงดกินหญ้าโดยสิ้นเชิง เมื่องดกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ควรหลีกไปอยู่ ตามราวป่า’ แล้วจึงงดกินหญ้า โดยสิ้นเชิง เมื่องดกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็หลีกไปอยู่ ตามราวป่า
ครั้นถึงเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่หญ้า และน้ำหมดสิ้นแล้ว ฝูงเนื้อ ฝูงนั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกำลัง เรี่ยวแรง หมดไป จึงพากันกลับมาสู่ทุ่งหญ้าที่นายพรานนั้นปลูกไว้อีก เนื้อฝูงนั้นพากัน เข้าไปในทุ่งหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัว กินหญ้าอยู่ก็เผลอตัว เมื่อเผลอตัว ก็เลินเล่อ เมื่อเลินเล่อ ก็ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ ในทุ่งหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เนื้อฝูงที่ ๒ ก็ไม่รอดพ้น จากอำนาจของนายพรานเนื้อไปได้
[๒๖๔] ภิกษุทั้งหลาย เนื้อฝูงที่ ๓ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๑ เข้าไป ในทุ่งหญ้า ที่นายพรานเนื้อปลูกไว้ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงที่ ๑ ก็ไม่รอดพ้นจาก อำนาจของนายพราน เนื้อไปได้ และเนื้อฝูงที่ ๒ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
‘เนื้อฝูงที่ ๑ เข้าไปสู่ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูง ที่ ๑ ก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานเนื้อไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรงดกินหญ้า โดยสิ้นเชิง เมื่องดกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ควรหลีกไปอยู่ตามราวป่า’ จึงงดกินหญ้าโดย สิ้นเชิง เมื่องด กินหญ้า ที่เป็นภัยแล้ว ก็หลีกไปอยู่ตามราวป่า ครั้นถึงเดือนสุดท้ายแห่ง ฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลา ที่หญ้าและน้ำหมดสิ้น เนื้อฝูงนั้นมีร่างกายซูบผอมเมื่อมีร่างกาย ซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป จึงพากันกลับมาสู่ทุ่งหญ้า ที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้นอีก เนื้อฝูงนั้น พากันเข้าไปสู่ทุ่งหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ก็เผลอตัว เมื่อเผลอตัว ก็เลิ่นเล่อเมื่อเลินเล่อก็ถูก นายพรานเนื้อ ทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในทุ่งหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แม้เนื้อฝูงที่ ๒ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น
ครั้นแล้วเราจะไม่เข้าไปสู่ทุ่งหญ้า ที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น จักไม่ลืมตัว กินหญ้าอยู่ เมื่อไม่เข้าไปแล้วไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็จักไม่เผลอตัว เมื่อไม่เผลอตัว ก็จักไม่เลินเล่อ เมื่อไม่เลินเล่อก็จักไม่ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ ในทุ่งหญ้า นั้น’ แล้วจึงเข้าไปซุ่ม อาศัยอยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น ครั้นซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้านั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไป สู่ ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อไม่เข้าไปใน ทุ่งหญ้านั้นไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ก็ไม่เผลอตัว เมื่อไม่เผลอตัว ก็ไม่เลินเล่อ เมื่อไม่เลินเล่อ ก็ไม่ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจ ชอบ ในทุ่งหญ้านั้น
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น นายพรานเนื้อกับบริวารมีความคิดว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๓ นี้เป็น สัตว์ฉลาด เหมือนมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ เราไม่รู้ทั้ง ทางมา และทางไป ของพวกมัน ทางที่ดีพวกเราควรเอาไม้มาขัด เป็นตาข่าย ล้อมรอบ ทุ่งหญ้าที่ปลูกไว้นี้ บางทีเรา จะพบที่อยู่ของเนื้อฝูงที่ ๓ ในที่ซึ่งเราจะไปจับ พวกมันได้’ พวกเขา จึง ช่วยกันเอาไม้ มาขัดเป็น ตาข่าย ล้อมรอบทุ่งหญ้าที่ปลูกไว้นั้น นายพรานเนื้อ กับ บริวารก็ได้พบที่อยู่ของเนื้อฝูงที่ ๓ ในที่ซึ่งเขาไปจับพวกมันได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เนื้อฝูงที่ ๓ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจ ของนายพรานเนื้อไปได้
ฝูงเนื้อที่รอดมือนายพราน
[๒๖๕] ภิกษุทั้งหลาย เนื้อฝูงที่ ๔ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่าเนื้อฝูงที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้เนื้อฝูงที่ ๑ ก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานเนื้อไปได้ และเนื้อฝูงที่ ๒ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงที่ ๑ นั้นก็ไม่รอดพ้น จากอำนาจ ของนายพรานเนื้อไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรงดกินหญ้า โดยสิ้นเชิง เมื่องดกินหญ้า ที่เป็นภัย แล้วก็หลีกไปอยู่ตามราวป่า’แล้วจึงงดกินหญ้า โดยสินเชิง ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เนื้อฝูงที่ ๒ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานเนื้อไปได้
อนึ่ง เนื้อฝูงที่ ๓ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ ‘เนื้อฝูงที่ ๑ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของนายพรานไปได้ และเนื้อฝูงที่ ๒ คิดเห็นร่วม กันอย่างนี้ว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงที่ ๑ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของ นายพรานเนื้อไปได้ ทางที่ดี เราควรงดกินหญ้าโดยสิ้นเชิง เมื่องดกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็หลีกไปอยู่ตามราวป่า’ แล้วจึงงดกินหญ้าโดยสิ้นเชิง ฯลฯเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เนื้อฝูงที่ ๒ นั้นก็ไม่รอดพ้นจากอำนาจของ นายพรานเนื้อไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรซุ่มอาศัย อยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น
ครั้นแล้วเราจะไม่เข้าไปยังทุ่งหญ้า ที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น จะไม่ลืมตัว กินหญ้า เมื่อไม่เข้าไปแล้วไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ก็จักไม่เผลอตัว เมื่อไม่เผลอตัวก็จัก ไม่เลินเล่อ เมื่อไม่เลินเล่อก็จักไม่ถูกนายพรานเนื้อทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในทุ่งหญ้า นั้น’ แล้วจึงเข้าไป ซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น ครั้นซุ่มอาศัย อยู่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้านั้นแล้ว ไม่เข้าไปสู่ทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้า อยู่ เมื่อไม่เข้าไปยังทุ่งหญ้านั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ก็ไม่เผลอตัว เมื่อไม่เผลอตัว ก็ไม่เลินเล่อเมื่อไม่เลินเล่อ ก็ไม่ถูกนายพรานเนื้อ ทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในทุ่งหญ้านั้น
ครั้งนั้น นายพรานเนื้อกับบริวารมีความคิดว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๓ นี้เป็นสัตว์ฉลาด เหมือนมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา ฯลฯ นายพรานเนื้อกับบริวารก็ได้พบที่อยู่ของเนื้อฝูงที่ ๓ ในที่ซึ่งเขาจะไปจับ พวกมันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เนื้อฝูงที่ ๓ นั้นก็ไม่รอดพ้นจาก อำนาจของนายพรานเนื้อไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรอาศัยอยู่ ในที่ซึ่งนายพรานเนื้อ กับบริวารไปไม่ถึง
ครั้นแล้วไม่ควรเข้าไปยังทุ่งหญ้าที่นายพรานเนื้อปลูกไว้นั้น เมื่อไม่ลืมตัว กินหญ้า ก็จักไม่เผลอตัว เมื่อไม่เผลอตัวก็จักไม่เลินเล่อ เมื่อไม่เลินเล่อ ก็จักไม่ถูก นายพรานเนื้อ ทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในทุ่งหญ้านั้น’ แล้วจึงซุ่มอาศัยอยู่ในที่ ซึ่งนายพรานเนื้อ กับ บริวารไปไม่ถึง ครั้นซุ่มอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปยังทุ่งหญ้า ที่นายพรานเนื้อ ปลูกไว้นั้น ไม่ลืมตัว กินหญ้าอยู่ เมื่อไม่เข้าไปยังทุ่งหญ้านั้น ไม่ลืมตัว กินหญ้าอยู่ ก็ไม่เผลอตัว เมื่อไม่เผลอตัว ก็จักไม่เลินเล่อ เมื่อไม่เลินเล่อ ก็จักไม่ถูกนายพรานเนื้อ ทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในทุ่งหญ้านั้น
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พรานเนื้อกับบริวารคิดเห็นว่า ‘เนื้อฝูงที่ ๔ นี้เป็นสัตว์ฉลาด เหมือนมีฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ อนึ่ง เราไม่ทราบทางมา และ ทางไป ของพวกมันเลย ทางที่ดี พวกเราควรเอาไม้มาขัด เป็นตาข่ายล้อมรอบทุ่งหญ้า ที่ปลูกไว้โดยรอบ บางทีเราจะพบที่อยู่ของเนื้อฝูงที่ ๔ ในที่ซึ่งเราจะไปจับพวกมันได้’ พวกเขาจึงเอาไม้ มาขัด เป็นตาข่ายล้อมรอบทุ่งหญ้า ที่ปลูกไว้นั้น แต่ก็ไม่พบที่อยู่ ของเนื้อ ฝูงที่ ๔ ในที่ซึ่งตน จะไปจับเอา
ครั้งนั้น นายพรานเนื้อกับบริวารจึงคิดตกลงใจว่า ‘ถ้าเราจักขืนรบกวนเนื้อฝูงที่ ๔ ให้ตกใจ เนื้อเหล่านั้นที่ถูกเราทำให้ตกใจแล้ว ก็จะพลอยทำให้เนื้อฝูงอื่นๆ ตกใจไปด้วย ฝูงเนื้อทั้งหลายคงจะไปจากทุ่งหญ้าที่ปลูกไว้จนหมดสิ้น ทางที่ดี พวกเราควรวางเฉย ในเนื้อฝูงที่ ๔ เสียเถิด’ นายพรานเนื้อกับบริวาร ก็วางเฉยเนื้อฝูงที่ ๔ เสีย เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงที่ ๔ จึงรอดพ้นจากอำนาจ ของนายพรานเนื้อไปได้
[๒๖๖] ภิกษุทั้งหลาย เราจะเปรียบเทียบ เพื่อให้เข้าใจเนื้อความได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในคำเปรียบเทียบนั้น มีคำอธิบายดังต่อไปนี้
คำว่า ทุ่งหญ้า นั้นเป็นชื่อแห่งกามคุณ ๕
คำว่า นายพรานเนื้อ นั้นเป็นชื่อของมารผู้มีบาป
คำว่า บริวารของนายพรานเนื้อ นั้นเป็นชื่อของบริวารของมาร
คำว่า ฝูงเนื้อ นั้นเป็นชื่อของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
เปรียบเทียบนักบวชกับฝูงเนื้อ
[๒๖๗] ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิส แล้วลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อเข้าไปหากามคุณ ๕ นั้น ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท เมื่อประมาทก็ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในกามคุณ ๕ นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์ พวกที่ ๑ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารไปได้
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสมณพราหมณ์พวกที่ ๑ ว่า เปรียบเหมือนเนื้อฝูงที่ ๑ นั้น
[๒๖๘] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่ ๒ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘สมณพราหมณ์ พวกที่ ๑ เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิส แล้วลืมตัว บริโภค กามคุณ ๕ เมื่อเข้าไปหากามคุณ ๕ นั้นแล้วลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท เมื่อประมาทก็ถูกมารทำอะไรๆ ตามใจชอบในกามคุณ ๕ นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณ พราหมณ์พวกที่ ๑ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารได้ ทางที่ดี พวกเราควรงดบริโภค กามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสโดยสิ้นเชิง เมื่องดบริโภคที่เป็นภัย แล้ว ควรหลีกไปอยู่ใน ราวป่า’ แล้วจึงงดบริโภคกามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสโดยสิ้นเชิง เมื่องดบริโภค ที่เป็นภัย แล้ว ก็หลีกไปอยู่ตามราวป่า
สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีผักดองเป็นอาหารบ้าง มีข้าวฟ่างเป็นอาหารบ้าง มีลูกเดือย เป็นอาหารบ้าง มีกากข้าวเป็นอาหารบ้าง มีสาหร่ายเป็นอาหารบ้าง มีรำ เป็นอาหารบ้าง มีข้าวตังเป็นอาหารบ้าง มีกำยานเป็นอาหารบ้าง มีหญ้าเป็น อาหารบ้าง มีมูลโคเป็นอาหารบ้าง มีเหง้าไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารบ้าง บริโภคผลไม้ ที่หล่นเอง ดำรงอัตภาพอยู่ในราวป่านั้น
ครั้นถึงเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่อาหาร(ป่า)และน้ำหมดสิ้น เธอเหล่านั้น ก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบ ผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อ กำลังเรี่ยวแรงหมดไป เจโตวิมุตติ๑- ก็เสื่อมเมื่อเจโตวิมุตติเสื่อมแล้ว พวกเธอ ก็กลับหันหน้า เข้าหากามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสนั้นอีก เมื่อเข้าไปหาแล้วลืมตัว บริโภคกามคุณ ๕ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท เมื่อประมาทก็ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในกามคุณ ๕ นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แม้สมณพราหมณ์พวกที่ ๒ นั้น ก็ไม่พ้นจาก อำนาจของมารไปได้
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสมณพราหมณ์พวกที่ ๒ นี้เปรียบเหมือนเนื้อฝูงที่ ๒ นั้น
[๒๖๙] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่ ๓ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ นั้น ก็ไม่พ้นจาก อำนาจของมารไปได้ และสมณพราหมณ์พวกที่ ๒ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘สมณ พราหมณ์ พวกที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจ ของมาร ไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรงดบริโภคกามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสโดยสิ้นเชิง เมื่องดบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ควรหลีกไปอยู่ตามราวป่า’ แล้วจึงงดบริโภคกามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสโดยสิ้นเชิง เมื่องดบริโภคที่เป็นภัย แล้วก็หลีกไปอยู่ตามราวป่า เธอเหล่านั้น มีผักดองเป็นอาหารบ้าง ฯลฯ บริโภคผลไม้ที่หล่นเองดำรง อัตภาพอยู่ใน ราวป่า นั้น
ครั้นถึงเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่อาหารและน้ำหมดสิ้น เธอเหล่านั้น ก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป เจโตวิมุตติก็เสื่อม เมื่อเจโตวิมุตติเสื่อมแล้ว พวกเธอก็กลับ หันหน้าเข้าหากามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสนั้นอีก เมื่อเข้าไปหาแล้วลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมาก็ประมาท เมื่อประมาทก็ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบใน กามคุณ ๕ นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่ ๒ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมาร ไปได้ ทางที่ดี พวกเรา ควรจะเข้าไปอาศัยอยู่ใกล้ๆ กามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสนั้น
ครั้นอาศัยอยู่ใกล้ๆแล้วก็ไม่เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิส ไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็จะไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็จะไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็จะไม่ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในกามคุณ ๕ นั้น’ จึงอาศัยอยู่ใกล้ๆกามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิสนั้น
ครั้นอาศัยอยู่ใกล้ๆ กามคุณ ๕แล้วไม่เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็น โลกามิส ไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบใน กามคุณ นั้น แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘โลกเที่ยง หรือโลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด หรือโลกไม่มีที่สุดชีวะกับสรีระ เป็นอย่างเดียวกัน หรือชีวะกับสรีระ เป็นคนละอย่างกัน หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีก หรือหลังจากตายแล้ว ตถาคต ไม่เกิดอีก หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก หรือหลังจากตายแล้ว ตถาคต จะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่’ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๓ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารไปได้
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์พวกที่ ๓ นี้เปรียบเหมือนเนื้อฝูง
ที่ ๓ นั้น
[๒๗๐] ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกที่ ๔ มีความคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ นั้น ก็ไม่พ้นจาก อำนาจของมารไปได้ และสมณพราหมณ์พวกที่ ๒ มีความคิดเห็นร่วมกัน อย่างนี้ว่า ‘สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ นั้น ก็ไม่พ้นจาก อำนาจของมารไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรงดบริโภคกามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสโดย สิ้นเชิง เมื่องดบริโภคที่เป็นภัยแล้ว ควรหลีกไปอยู่ตามราวป่า เธอเหล่านั้นงดเว้นจาก กามคุณ ๕ ที่เป็นโลกามิสโดยสิ้นเชิง ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่ ๒ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารไปได้
อนึ่ง สมณพราหมณ์พวกที่ ๓ มีความคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ‘สมณพราหมณ์ พวกที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมาร ไปได้ และสมณพราหมณ์พวกที่ ๒ มีความคิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า‘สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๑ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรงดบริโภคกามคุณ ๕ อันเป็นโลกามิสโดยสิ้นเชิง เมื่องดบริโภค ที่เป็นภัยแล้ว ควรหลีกไปอยู่ตามราวป่า เธอเหล่านั้นงดบริโภคกามคุณ ๕ อันเป็น โลกามิส ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณพราหมณ์พวกที่ ๒ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมาร ไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรจะเข้าไปอาศัยอยู่ใกล้ๆ กามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็น โลกามิส
ครั้นอาศัยอยู่ใกล้ๆ กามคุณ ๕ แล้วก็ไม่เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็น โลกามิส ไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบใน กามคุณ๕ นั้น’ แล้วจึงอาศัยอยู่ใกล้ๆ กามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิสนั้น
ครั้นอาศัยอยู่ใกล้ๆ กามคุณ ๕ แล้วก็ไม่เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็น โลกามิส ไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบใน กามคุณ๕ นั้น แต่สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘โลกเที่ยง ฯลฯ หรือหลังจาก ตายแล้ว ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่’ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สมณ พราหมณ์ พวกที่ ๓ นั้นก็ไม่พ้นจากอำนาจของมารไปได้ ทางที่ดี พวกเราควรอาศัย อยู่ในที่ซึ่งมาร และบริวารของมารไปไม่ถึง
ครั้นอาศัยอยู่ในที่นั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิส ไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทก็ไม่ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในกามคุณ ๕ นั้น’ แล้วจึงอาศัยอยู่ในที่ซึ่งมาร และบริวารของมารไปไม่ถึง ครั้นอาศัยในที่นั้นแล้ว ไม่เข้าไปหากามคุณ ๕ ที่มารล่อไว้ซึ่งเป็นโลกามิสนั้น ไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ เมื่อไม่ลืมตัวบริโภคกามคุณ ๕ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมาก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาท ก็ไม่ถูกมารทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบในกามคุณ ๕ ซึ่งเป็นโลกามิสนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สมณพราหมณ์พวกที่ ๔ นั้น จึงพ้นจากอำนาจของมารไปได้
ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์พวกที่ ๔ นี้เปรียบเหมือนเนื้อฝูงที่ ๔ นั้น
แดนที่มารตามไปไม่ถึง (เจริญอานาปานสติ)
[๒๗๑] ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย แล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุข อันเกิดจาก วิเวกอยู่ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด๑- คือทำลายดวงตาของมาร เสีย อย่างไม่มี ร่องรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น
อีกประการหนึ่ง เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความ ผ่องใส ในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิอยู่ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น
อีกประการหนึ่ง เพราะปีติจางคลายไป ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขามีสติ อยู่เป็นสุข’ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น
อีกประการหนึ่ง เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัส ดับไป ก่อนแล้ว ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย ถึงการที่ มารใจบาป มองไม่เห็น
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน อยู่โดยกำหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตา ของมารเสีย อย่างไม่มีร่องรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
เชิงอรรถ :
๑ ทำมารให้ตาบอด หมายถึงภิกษุนั้น มิได้ทำลายนัยน์ตาของมาร แต่จิตของภิกษุผู้เข้าถึง ฌาน ที่เป็นบาทของ
วิปัสสนาอาศัยอารมณ์นี้เป็นไป (เกิดดับ) เหตุนั้น มารจึงไม่สามารถ มองเห็น ทำลายดวงตา ของมารเสีย อย่างไม่มีร่องรอย หมายถึงทำลาย โดยที่นัยน์ตาของมาร ไม่มีทาง หมดหนทาง ไม่มีที่พึ่ง ปราศจาก
อารมณ์โดยปริยายนี้ ถึงการที่มารใจบาป มองไม่เห็น หมายถึงโดยปริยายนั่นเอง มารจึงไม่สามารถมอเห็นร่างคือญาณของภิกุผู้เข้าฌาน
ซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนานั้นด้วยมังสจักษุของตนได้
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุ บรรลุ วิญญาณัญจายตนฌาน อยู่โดยกำหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุ อากิญจัญญายตนฌาน อยู่โดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาป มองไม่เห็น’
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุ บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อยู่ เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาป มองไม่เห็น’
ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยประการทั้งปวง ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ก็เพราะเห็นด้วยปัญญา เธอย่อมมีอาสวะสิ้นไป เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตา ของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น และข้ามพ้นตัณหา อันเป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกได้แล้ว”
พระผู้มีพระภาคตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดี ต่างชื่นชมพระภาษิต ของ พระผู้มีพระภาค ดังนี้แล
นิวาปสูตรที่ ๕ จบ
|